เท่าทัน e-Commerce ข้ามชาติ
28 Oct 2019

ปัจจุบัน สถานการณ์ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ (e-Commerce) ในประเทศไทยโดน 3 ธุรกิจยักษ์ใหญ่จากประเทศจีน รุกคืบอย่างหนัก ทั้งแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ อย่างลาซาด้า ภายใต้ปีกธุรกิจ อีคอมเมิร์ซระดับโลก อย่างอาลีบาบา รวมทั้ง ช้อปปี้ ที่ให้บริการโดย Sea Group ซึ่งมี Tencent หนุนหลัง และ JD CENTRAL โดยการร่วมมือระหว่าง JD.com ค้าปลีกออนไลน์รายใหญ่ของจีน และเซ็นทรัลกรุ๊ป เจ้าพ่อค้าปลีกของไทย

รูปเกม คือ การแข่งขันเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยที่สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA ประเมินว่าในปี 2562 นี้ จะมีมูลค่าถึง 3.2 ล้านล้านบาท ยิ่งทำให้การแข่งขันทวีความร้อนแรงขึ้น ผ่านการทุ่มลงทุนทำแคมเปญโฆษณา เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้า มีการจัดโปรโมชัน ลด แลก แจก แถม และฟรีค่าขนส่ง ประมาณว่าศึกนี้ใครเงินหมดก่อนแพ้ ผู้ชนะสามารถกินรวบตลาดนี้ แต่เพียงผู้เดียว

คำถาม คือ ท่ามกลางการแข่งขันอย่างดุเดือดของธุรกิจต่างชาติ ผู้ประกอบการไทยจะได้รับผลกระทบและปรับตัวอย่างไร ?

 

ถอดบทเรียนค้าปลีกในสหรัฐอเมริกา

ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ CEO and Founder Tarad Dot Com Group และอดีตนายกสมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทย กล่าวว่า เปรียบเทียบกรณีบริษัท Amazon ธุรกิจอีคอมเมิร์ซอันดับหนึ่งของโลก ที่เริ่มต้นจากร้านขายหนังสือในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 1995 สู่การเป็นธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่ขายทุกอย่างในปัจจุบัน

Amazon ตีโจทย์การค้าออนไลน์ในปัจจุบันว่ามีจุดอ่อนที่ค่าขนส่งผู้ซื้อไม่อยากจ่ายค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้นจากค่าสินค้า เลยเปิดบริการ Amazon Prime คือให้ลูกค้าเหมาจ่ายค่าขนส่งแบบรายปีในราคา 99 เหรียญสหรัฐ บริการส่งสินค้าฟรีตลอดปีไม่จำกัดจำนวนครั้ง ทั้งขยายคลังสินค้าขนาดใหญ่กระจายตามรัฐต่างๆ เพื่อความสะดวก และรวดเร็วในการจัดส่ง

กล่าวได้ว่าบริการ Amazon Prime ตอบโจทย์คนอเมริกันได้ตรงจุดพอดิบพอดี! การซื้อสินค้าออนไลน์ในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด โดยในปี 2016 Walmart ธุรกิจค้าปลีกยักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ ประกาศปิดสาขาถึง 269 สาขา รวมทั้งธุรกิจค้าปลีกท้องถิ่นอีกหลายรายที่ยังขายแบบออฟไลน์ ปรับตัวไม่ทัน ต่างทยอยปิดกิจการ แม้แต่ร้านของเล่นเก่าแก่อย่าง Toys R US ที่อยู่คู่กับเด็กอเมริกันมายาวนาน ถึงขั้นต้องปิดกิจการลงเช่นกัน เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคนิยมซื้อผ่านช่องทางออนไลน์แทนรูปแบบเดิมๆ และเปลี่ยนเร็วมากจนธุรกิจปรับตัวไม่ทัน                             

บทสรุปปัจจุบัน คือ Amazon แทบจะกินรวบค้าปลีกออนไลน์ในสหรัฐฯ ขยายไปในยุโรป และ เจฟฟ์ เบซอส เจ้าของ Amazon ขยับขึ้นมาเป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลกในปี 2019   

การรุกคืบของธุรกิจอีคอมเมิร์ซจีน

ภาวุธ กล่าวอีกว่า จากกรณีศึกษาการกินรวบตลาดอีคอมเมิร์ซในสหรัฐฯ ของAmazon ย้อนกลับมาดูธุรกิจอีคอมเมิร์ซในภูมิภาคอาเซียนซึ่งมีจุดเปลี่ยนที่สำคัญ คือ ในปี 2016 อาลีบาบา ธุรกิจอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ของจีน เข้าเทคโอเวอร์ลาซาด้า ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มให้บริการด้านอีคอมเมิร์ซใน 6 ประเทศอาเซียน คือ ไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม

เหตุการณ์ดังกล่าวนับเป็นก้าวสำคัญที่ธุรกิจอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ของจีน ทยอยรุกคืบตลาดในภูมิภาคอาเซียนอย่างเต็มตัว สิ่งสำคัญที่อาลีบาบาได้จากการเทคโอเวอร์ลาซาด้า คือ ‘ฐานข้อมูลลูกค้า’ นั่นเท่ากับว่า สามารถรู้ถึงพฤติกรรมการซื้อของคนใน 6 ชาติอาเซียน ซึ่งเป็นตลาดที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด

นับแต่นั้นมา ลาซาด้าภายใต้ปีกอาลีบาบา จึงเริ่มมีบทบาทสำคัญในตลาดอีคอมเมิร์ซในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทย ลาซาด้าเป็นแพลตฟอร์มช้อปปิ้งออนไลน์ที่ได้รับความนิยมสูงสุด เปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคของคนไทยอย่างมาก ด้วยบริการจัดส่งฟรี และสามารถเข้าถึงสินค้าราคาถูกกว่าท้องตลาดทั่วไป ที่สำคัญภายในแพลตฟอร์มลาซาด้า มี ‘Section Global Collection’ ซึ่งเป็นหมวดสินค้าจากประเทศจีน และจัดส่งแบบ B2C คือ จากโรงงานในประเทศจีนถึงผู้บริโภคคนไทยโดยตรง

ไม่เฉพาะแค่ ลาซาด้า กลุ่มอาลีบาบายังมีแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอย่าง Aliexpress ที่สามารถรองรับการใช้งานได้นับร้อยภาษา รวมทั้งภาษาไทย ทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงสินค้าออนไลน์จากประเทศจีนได้โดยตรง และราคาถูกกว่าซื้อร้านค้าปลีกในประเทศไทย มีบริการจัดส่งฟรี ในกรณีที่สั่งสินค้าขั้นต่ำตามจำนวน หรือราคาที่กำหนด ยิ่งทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคคนไทยนิยมสั่งซื้อออนไลน์มากยิ่งขึ้น

ภาวุธ กล่าวว่า สิ่งที่น่ากังวลคือ ทุกคนสามารถเข้าถึงสินค้าจากจีนได้ง่าย และสะดวกยิ่งขึ้น ที่สำคัญราคาถูกกว่าสินค้าที่จำหน่ายในประเทศไทย ส่งตรงจากโรงงานประเทศจีน ถึงมือผู้บริโภคประเทศไทยโดยตรง ในรูปแบบการค้าออนไลน์ข้ามแดน (Cross Border e–Commerce) โดย 80% ของสินค้าที่ขายในแพลตฟอร์มลาซาด้าคือ สินค้าจากประเทศจีน ที่สำคัญหากสินค้าที่มีมูลค่าไม่เกิน 1,500 บาท ไม่ต้องจ่ายภาษีนำเข้า นั่นหมายความว่า การค้าออนไลน์ในทุกวันนี้ ‘คู่แข่ง’ ของผู้ผลิตไทย เป็นต่างชาติ และเงินกำลังไหลออกจากประเทศในแบบที่ไม่มีใครสังเกต

6 กลยุทธ์รับมือ ‘สงครามราคา’

ขณะเดียวกัน ภายใต้การแข่งขันของธุรกิจอีคอมเมิร์ซต่างชาติในปัจจุบันที่แข่งขันกันใน ‘สงครามราคา’ ทั้งการจัดโปรโมชัน ลด แลก แจก แถม ค่าขนส่งฟรี และอัดแคมเปญโฆษณาเพื่อกระตุ้นการซื้อออนไลน์ โดย ปี 2018 มูลค่าโฆษณาดิจิทัลในประเทศไทย สูงถึง 1.7 หมื่นล้านบาทและปีเดียวกัน ลาซาด้า ขาดทุนกว่า 2,000 ล้านบาท ขณะที่ ‘ช้อปปี้’ เบอร์สองด้านผู้ให้บริการแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยขาดทุนถึง 4,100 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากสงครามราคา และสงครามโฆษณา เพื่อหวังกินรวบมาร์เก็ตแชร์ขึ้นเป็นเจ้าตลาดรายเดียวในไทย ดังนั้น ตัวเลขการขาดทุนคือ เงินเดิมพันที่จำเป็นต้องจ่าย

เพราะเมื่อไรก็ตามที่มีผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียว กรณีของชัยชนะของ Amazon และการล่มสลายของค้าปลีกท้องถิ่นจะเกิดขึ้นในประเทศไทย

ด้วยเหตุนี้ ธุรกิจค้าปลีก และธุรกิจอีคอมเมิร์ซของไทย หากจะอยู่รอดท่ามกลางการแข่งขันของทุนยักษ์ใหญ่ได้อย่างเท่าทัน จำเป็นต้องมีการปรับกลยุทธ์ใหม่ โดย ภาวุธ ได้แนะนำว่าต้องมีแผนการรับมือซึ่งประกอบด้วย

1.  สร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก (Branding) การที่ธุรกิจออนไลน์จะแข่งขันกับสินค้าราคาถูกจากต่างชาติได้ ประการแรกต้องสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้า โดยการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่จดจำ ขั้นแรกเริ่มจากการตั้งคำถามว่าผลิตสินค้ามาเพื่ออะไรเป้าหมายของธุรกิจคืออะไร ความชัดเจนของแบรนด์ และมีเป้าหมายจะเป็นจุดยืนที่สำคัญเหมือนมีฐานรากที่แข็งแรงและทราบว่าสินค้าผลิตมาขายใคร สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มและมีกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน แตกต่างจากสินค้าทั่วไป ต้องสร้างบุคลิกให้แบรนด์มีเอกลักษณ์เฉพาะ เช่น ทันสมัย สนุกสนาน หรูหรา มุ่งมั่น แข็งแรง ซึ่งแบรนด์จะสะท้อนบุคลิกภาพของสินค้าให้น่าจดจำ นำไปสู่การสื่อสารตรงกลุ่มลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ถูกต้องและเหมาะสม

2. พัฒนาธุรกิจ เพิ่มประสิทธิภาพ (Efficiency) คือ การใช้คนเท่าเดิมแต่ทำให้ธุรกิจมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น นำเทคโนโลยีและโซลูชันมาใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการ ซึ่งปัจจุบันโลกออนไลน์ มีเครื่องมือธุรกิจที่สามารถนำมาใช้ฟรีมากมาย อาทิ โปรแกรมเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานเป็นทีม โปรแกรมการทำบัญชี การวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า การจัดการด้านการขนส่ง ซอฟต์แวร์เหล่านี้ ช่วยให้การบริหารจัดการเรื่องต่างๆ ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น ประสิทธิภาพในการทำงานเพิ่มขึ้น ดังนั้นขายออนไลน์ยุคนี้จะทำแบบเดิมๆ ไม่ได้

3. เพิ่มช่องทางการขาย (Channel) ช่องทางการขายในปัจจุบันมีหลากหลายมากทั้งออฟไลน์และออนไลน์ ไม่จำกัดว่าต้องใช้ช่องทางใดช่องทางหนึ่ง ดังนั้นจึงควรปรับใช้ในทุกช่องทาง ที่มีลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ทั้งในอีคอมเมิร์ซ และโซเชียลคอมเมิร์ซ ที่จะทำให้เข้าถึงลูกค้ามากยิ่งขึ้น รวมทั้งตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศใน CLMV ที่นับว่าสินค้าไทยมีศักยภาพมาก และเป็นที่ยอมรับ

4. ขายออก“ต่างประเทศ”(Cross Border e-Commerce) ถึงเวลาที่ธุรกิจไทยควรหันไปเจาะตลาดต่างประเทศผ่านการขายออนไลน์ โดยใช้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซต่างๆ อาทิขายสินค้าใน Amazon, Alibaba, eBay  ซึ่งในปัจจุบันธุรกิจเหล่านี้ตั้งสาขาในประเทศไทย มีแพลตฟอร์มภาษาไทย ดังนั้น การบุกตลาดโลกไม่ได้ยากอย่างที่คิด โดยเฉพาะสินค้าไทย ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเป็นที่สนใจของผู้บริโภคต่างชาติ นับเป็นช่องทางที่มีประสิทธิภาพมาก เพราะสินค้าบนออนไลน์ปัจจุบันขายต่างประเทศง่ายเพียงปลายนิ้ว และบริการจัดส่งที่มีประสิทธิภาพ

5. สร้างทีม (Team) บุคลากรที่มีความสามารถเป็นองค์ประกอบสำคัญสำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ เพื่อให้ธุรกิจสามารถพัฒนาและต่อยอดธุรกิจได้ตรงจุด ดังนั้น จึงหมดยุคที่เจ้าของธุรกิจต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง สามารถว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญมาดำเนินการแทน โดยตั้งเป้าหมายการพัฒนาให้ชัดเจน จะช่วยให้การค้าออนไลน์มีประสิทธิภาพ และธุรกิจเติบโตมากขึ้น

6. คุณ (You) ต้องเข้าใจธุรกิจออนไลน์ ท้ายที่สุด ความรู้ด้านธุรกิจออนไลน์มีความจำเป็นต่อการทำธุรกิจ ตลอดจนความเข้าใจในเทรนด์ที่เกิดขึ้น เพราะหากเจ้าของธุรกิจเองยังไม่มีความรู้ในสิ่งที่ควรรู้ ไม่เข้าใจรูปแบบธุรกิจ ไม่ทราบความเปลี่ยนแปลง การบริหารก็ทำไปแบบลองผิดลองถูก แต่ถ้ามีความเข้าใจจะเริ่มเห็นช่องทางใหม่ๆ สามารถคาดการณ์แนวโน้มได้ รู้จักนำเครื่องมือสมัยใหม่มาปรับใช้ และเมื่อเข้าใจภาพรวมก็สามารถสั่งทีมให้ดำเนินงานตามเป้าหมายให้บรรลุผล

ทั้งหมดนี้ คือ สิ่งที่ผู้ค้าออนไลน์ในไทยต้องศึกษา และปรับตัวเพื่อให้ธุรกิจอยู่รอด ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง และการรุกคืบของธุรกิจต่างชาติ ที่สำคัญการค้าออนไลน์อย่าอยู่กับ แพลตฟอร์มใด แพลตฟอร์มหนึ่ง แต่ต้องผสานทั้งช่องทาง e-Commerce และ Social Commerce ตลอดจนการพัฒนากลยุทธ์ออนไลน์ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการซื้อขายมากยิ่งขึ้น

ธนาคารกรุงเทพมุ่งส่งเสริมผู้ค้าออนไลน์

วีระศักดิ์ สุตัณฑวิบูลย์ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ประธานในการจัดงานสัมมนา"รู้ลึก ก้าวล้ำ นำตลาดออนไลน์" จัดโดยธนาคารกรุงเทพ ณ ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมบุรีศรีภู บูติก โฮเต็ล อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา กล่าวว่า  ปัจจุบันเทคโนโลยีด้าน e-Commerce และ Social Commerce ทวีความสำคัญมากยิ่งขึ้นสู่รูปแบบการค้าไร้พรมแดน นับเป็นโอกาสและความท้าทายที่ผู้ประกอบการค้าออนไลน์ต้องปรับตัว และเท่าทันตลาดเพื่อการเติบโตของธุรกิจ

ขณะเดียวกันผู้ให้บริการต่างมีแพลตฟอร์มด้านอีคอมเมิร์ซ ได้พัฒนารูปแบบการซื้อขายจากเว็บไซต์ไปถึงแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนเพื่อให้มีความสะดวกมากขึ้น ขยายตลาดครอบคลุมพื้นที่ให้บริการในประเทศ และต่างประเทศ ส่งผลให้ตลาดมีการเติบโตแต่สิ่งที่ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คือ การแข่งขันที่รุนแรง ทำให้ธุรกิจต้องเสริมศักยภาพพัฒนาการตลาดให้สามารถตอบโจทย์ลูกค้าเพื่อปิดการขายได้ง่าย และรวดเร็ว

ด้วยเหตุนี้ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาธนาคารกรุงเทพ ได้มุ่งส่งเสริมความรู้ด้านการค้าออนไลน์ และกลยุทธ์ทำการตลาดออนไลน์ ตลอดจนอัพเดตเทรนด์ใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อเตรียมพร้อมผู้ประกอบการให้ได้รับทราบทิศทางแนวโน้มของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ รวมทั้งพฤติกรรมของผู้บริโภคในยุคดิจิทัล จากการวิเคราะห์ของวิทยากรที่เป็นผู้เชี่ยวชาญชั้นแนวหน้าของประเทศเพื่อนำความรู้ไปพัฒนาต่อยอดธุรกิจให้เกิดประโยชน์สูงสุด สามารถเติบโตท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงในประเทศและขยายตลาดไปต่างประเทศ

 

ท่านสามารถดาวน์โหลดเอกสารประกอบการสัมมนาได้ที่นี่

ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ  http://bit.ly/2MESco5 

ช่วงที่ 1 สัมมนา “รู้ลึก ก้าวล้ำ นำตลาดออนไลน์” (1)



ช่วงที่ 2 สัมมนา “รู้ลึก ก้าวล้ำ นำตลาดออนไลน์” (2) 
https://youtu.be/K1YwD_J7xvw

[อ่าน 3,867]
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
“สตีเบล เอลทรอน” ชวนคนไทยเพิ่มความสดชื่นรับซัมเมอร์ ยกขบวนเครื่องกรองน้ำดื่ม 5 รุ่นท็อป ชูเทคโนโลยีล้ำสมัยคุณภาพระดับเยอรมนี
ทีเอ็มบีธนชาต รายงานกำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 1 ปี 2567 ที่ 5,334 ล้านบาท ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
เซ็นทรัลพัฒนา ส่งท้ายสงกรานต์ ‘FWD Music Live Fest 3’ ที่เซ็นทรัลเวิลด์ และวันไหลสงกรานต์เซ็นทรัลทั่วไทย
โครงการเพื่อสตรีของคาร์เทียร์ ประกาศรายชื่อผู้เข้ารอบ 33 คน ประจำปี 2024
TikTok จัด TikTok LIVE Creator Network Conference ปักหมุดดัน TikTok Live ขยายศักยภาพเศรษฐกิจดิจิทัลไทยและระดับภูมิภาค
แอ็กซ์ จัดงานเปิดตัวใหม่! AXE Fine Fragrance Collection เสิร์ฟความหอมพรีเมียมเกินขั้น ติดทนนานเกินคาด
MAGAZINE UPDATE
Owner
DOUBLE D CREATION Co.,Ltd.
เอเวอร์กรีนวิว ทาวเวอร์ ชั้น 4
เลขที่ 22/43 ซอยบางนา-ตราด 56 ถนนบางนา-ตราด
แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร 10260
Tel : 0-2751-4995-6
Mobile : 062-194-4561
Advertising
ติดต่อโฆษณา และ การตลาด
คุณศุภากร ยาตพงศ์ (บู)
Mobile : 08-1355-3636
Tel : 0-2751-4995-6
E-mail : market-plus@hotmail.com
info@marketplus.in.th
PR News
ส่งข่าวประชาสัมพันธ์
E-mail : info@marketplus.in.th,
market-plus@hotmail.com,
marketplus@hotmail.co.th
Copyright © 2016 DOUBLE D CREATION Co.,Ltd. All rights Reserved