ดร.ณรงค์ฤทธิ์ วงศ์สุวรรณ ยุทธศาสตร์สู่ ‘นมแห่งชาติ’
04 Nov 2016

          ‘นมวัวแดง’ แบรนด์ผลิตภัณฑ์นมของ องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) วิสาหกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) ที่ก่อตั้งมากว่า 5 ทศวรรษ โดยความร่วมมือของรัฐบาลไทยกับรัฐบาลเดนมาร์ค ในครั้งนั้น ในยุคของ ดร.ณรงค์ฤทธิ์ วงศ์สุวรรณ ผู้อำนวยการ อ.ส.ค. คนที่ 21 ที่เป็นลูกหม้อ อ.ส.ค. มาแต่เดิมและเป็นผู้อำนวยการคนแรกที่มาจากระบบคัดสรรแบบสัญญาจ้าง และมีการประเมินประสิทธิภาพการทำงานกันอย่างเข้มข้นทุก 6 เดือน จากเดิมที่ตำแหน่งนี้จะมาจากระบบการแต่งตั้ง

          ทั้งนี้ อ.ส.ค. กำลังเข้าสู่ยุคเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญ ด้วยว่า กำลังเข้าสู่แผนรัฐวิสาหกิจฉบับใหม่ (ปี 2017- ปี 2020) ซึ่งจะต้องดำเนินควบคู่กันไปกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พร้อมขับเคลื่อนตนเองสู่การเป็น  ‘นมแห่งชาติ’ ภายในปี 2020 ด้วยยอดขาย 1 หมื่นล้านบาท และต้องเป็น  Top of Mind ในอุตสาหกรรมนม รวมทั้งศูนย์กลางข้อมูลและความรู้เรื่องนมอีกด้วย ขณะเดียวกันก็ต้องยกระดับประสิทธิภาพขององค์กรจากเดิมที่อยู่ระดับ C ให้เป็นรัฐวิสาหกิจระดับ BB 

          อ.ส.ค. ภายใต้การนำของ ดร.ณรงค์ฤทธิ์ จึงเป็นยุคที่น่าจับตามองถึงยุทธศาสตร์และกลยุทธ์การขับเคลื่อน

 


ดูแลต้นน้ำ : เกษตรกร 

          “เราเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมที่ไม่ได้มุ่งทำกำไรอย่างภาคธุรกิจทั่วไป แต่เราต้องดูแลเกษตรกรที่เป็นต้นน้ำด้วย” ดร.ณรงค์ฤทธิ์กล่าวถึงเกษตรกรจาก สหกรณ์นมไทย-เดนมาร์ค จำกัด ที่มี 16 แห่ง จำนวนกว่า 4,000 ราย และมีกำลังผลิตโดยเฉลี่ยจากเกษตรกรเหล่านี้ราว 600 ตัน/วัน ซึ่งเป็นสัดส่วน 20%ของจำนวนเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมทั้งระบบด้วยกำลังผลิตทั้งระบบ 3,000 ตัน/วัน

          ดร.ณรงค์ฤทธิ์กล่าวว่า “เป้าหมายทางการตลาดของ อ.ส.ค. นั้นเราไม่ได้ตั้งเอง แต่เป็นเป้าหมายที่ขึ้นกับอุตสาหกรรมนม/ผลิตภัณฑ์นมที่ขึ้นกับการขยายตัวของน้ำนมดิบจากเกษตรกร โดยแม้อัตราการเติบโตของนมยูเอชทีทั้งระบบจะอยู่ที่ 4% ต่อปี แต่ อ.ส.ค. ก็ต้องผลิตนมยูเอชทีให้เติบโตปีละ 10% เนื่องจากเราต้องรับผิดชอบน้ำนมดิบที่รับมาจากเกษตรกร” 

          ทั้งนี้ อ.ส.ค.เองก็ต้องวางกลยุทธ์การบริหารจัดการน้ำนมดิบจากเกษตรกรด้วย เพื่อป้องกันปัญหาความไม่สมดุลของอุปสงค์-อุปทาน 

          “ผลผลิตน้ำนมดิบนั้นก็มีฤดูกาล เนื่องจากแม่โคจะคลอดลูกในช่วงอากาศเย็นสบาย ซึ่งเป็นช่วงปลายฝน-ต้นหนาวและจะทำให้ได้น้ำนมดีขึ้น ขณะที่ช่วงฤดูฝนแม่วัวจะรู้สึกไม่ค่อยสบายนัก เนื่องจากเป็นวัวสายพันธุ์ตะวันตก ขณะเดียวกัน อ.ส.ค.ก็มีโครงการอาหารเสริมนมโรงเรียน ซึ่งเป็นโครงการที่ทำรายได้ให้กับ อ.ส.ค. 10% ของทั้งหมดก็มีช่วงระยะเวลาเปิดเทอม – ปิดเทอมด้วย โดยในช่วงเปิดเทอมก็ต้องผลิตมาก ดังนั้น การบริหารจัดการกับปริมาณน้ำนมดิบจึงต้องมีการวางแผนที่ดี อีกทั้งต้องส่งเสริมการเลี้ยงโคนมของเกษตรกรให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพด้วย ไม่ว่าจะเป็นการบริการด้านผสมเทียม บริการด้านสัตวแพทย์ การเพิ่มประสิทธิภาพของการผลิตน้ำนมดิบของเกษตรกร การบริหารจัดการฟาร์ม ฯลฯ”

          สำหรับการส่งเสริมอาชีพเกษตรกรโคนม ซึ่งเป็นอาชีพพระราชทานนั้น แม้จะมีความท้าทายอยู่บ้าง แต่ดร.ณรงค์ฤทธิ์เลือกที่จะพยายามปิดช่องว่างระหว่าง อ.ส.ค.และเกษตรกรให้มากที่สุด โดยเฉพาะการเปิดโอกาสให้ตัวแทนเกษตรกรจากชุมนุมสหกรณ์นมไทย-เดนมาร์ค จำกัดให้เข้ามาร่วมเป็นอนุกรรมการบริหาร อ.ส.ค.เป็นครั้งแรก จากเดิมที่เกษตรกรไม่เคยได้เข้ามามีส่วนร่วมมาก่อน

          “ก่อนหน้านี้เกษตรกรไม่เข้าใจว่า ทำไม อ.ส.ค. ประกาศผลกำไร แต่เหตุใดเกษตรกรจึงไม่ได้รับผลประโยชน์กลับคืนบ้าง ซึ่งในประเด็นนี้ ในฐานะที่เป็นหน่วยงานของรัฐ อ.ส.ค.มีหน้าที่ต้องส่งรายได้ 30% กลับไปที่กระทรวงการคลัง เพื่อนำไปใช้พัฒนาประเทศต่อไป ดังนั้น เมื่อเกษตรกรได้มีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมก็จะได้รับรู้ทิศทาง/นโยบายก็จะได้เข้าใจได้ถึงการให้ความสำคัญกับเกษตรกรและดูแลเกษตรกรอย่างดีของ อ.ส.ค. โดยที่ไม่ได้มองแต่ผลกำไรที่เกิดขึ้นเท่านั้น”

          อย่างไรก็ตาม อ.ส.ค.ยุคใหม่นี้ก็กำลังพิจารณาถึงการนำเงินจำนวนหนึ่งจากผลกำไร 30% ที่ต้องส่งกระทรวงการคลัง เพื่อนำกลับมาพัฒนาเกษตรกรต่อไป  


นมโคสดแท้ 100% ไม่ผสมนมผง

          ปฏิเสธไม่ได้ว่า นมวัวแดงมีจุดขายที่แข็งแกร่งจากเมสเสจ ‘นมโคสดแท้ 100% ไม่ผสมนมผง’ และเป็นส่วนสำคัญที่ส่งให้นมวัวแดงของ อ.ส.ค. ขึ้นเป็นผู้นำของผลิตภัณฑ์นม เซกเมนต์  General Milk อีกทั้งเป็นจุดขายที่ปัจจุบันแบรนด์อื่นๆ ก็พยายามส่งเมสเสจนมโคสดแท้ 100% ทั้งที่ผสมนมผง แต่จากความพยายามสร้างการรับรู้และการตระหนักของ อ.ส.ค. เพื่อทำให้ผู้บริโภคทราบว่า นมไทย-เดนมาร์คเป็น ‘นมโคสด 100%ไม่ผสมนมผง’ ที่มาจากเกษตรกรล้วนๆ ไม่มีนมผงผสมนั้นเป็นการรับรู้โดยอัตโนมัติของตลาดอย่างไม่มีข้อกังขา

          ด้วยเป้าหมาย ‘นมแห่งชาติ’ ในปี 2020 ที่ อ.ส.ค.ต้องการทะยานให้ถึง ดร.ณรงค์ฤทธิ์กล่าวว่า

          “ช่วงเปลี่ยนผ่านนี้เราต้องไปถึงตรงนี้ให้ได้ นั่นหมายความว่า ถ้าเราอยากบริโภคนมจะต้องนึกถึงตราสัญลักษณ์ ‘ไทย-เดนมาร์ค’ แล้วเราก็ต้องการให้ทราบว่า การดื่มนมไทย-เดนมาร์คก็เท่ากับได้ช่วยให้อาชีพพระราชทานนี้มีความยั่งยืนและช่วยเศรษฐกิจของชาติได้”

          ยุทธศาสตร์ของอ.ส.ค.สู่เป้าหมายดังกล่าวในแง่ของผลิตภัณฑ์ แน่นอนว่า การออกสินค้าใหม่หรือไลน์สินค้าใหม่ยังต้องดำเนินต่อไป เพื่อสร้างความหลากหลาย ขณะเดียวกัน การเพิ่มศักยภาพในส่วนของหลังบ้านก็เป็นสิ่งจำเป็น
      
          ทั้งนี้ อ.ส.ค. มีผลิตภัณฑ์นมของตนเองอยู่หลายเซกเมนต์ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นนมยูเอชที นมเปรี้ยวพร้อมดื่ม (ยูเอชที) นมแช่เย็น (นมพาสเจอร์ไรซ์) ที่มีหลายขนาด หลายรสชาติและที่เพิ่งเปิดตัวเร็วๆ นี้เมื่อกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา คือ ผลิตภัณฑ์นมพาสเจอร์ไรซ์ออร์แกนิค ตราไทย-เดนมาร์ค ‘มอร์แกนิค’ ผลิตภัณฑ์ใหม่ระดับพรีเมียมที่อ.ส.ค. ส่งเข้าตลาดเพื่อชิงแนวรบในตลาดบนและตลาดคนรักษ์สุขภาพ

          ขณะเดียวกัน ในส่วนของการผลิต ดร.ณรงค์ฤทธิ์กล่าวว่า 

          “ในแง่ของการผลิต เรามีความได้เปรียบไม่แพ้ใคร เนื่องจากเรามีโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์นมทั่วทุกภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นสระบุรี, อ.ปราณบุรี ประจวบคีรีขันธ์, ขอนแก่น, สุโขทัยและเชียงใหม่ โดยขณะนี้เราได้ปรับปรุงกระบวนการผลิตนมแช่เย็นที่สระบุรีและเชียงใหม่

          นอกจากนี้ เรายังทำฟาร์มโคนมอินทรีย์ เพื่อให้ได้น้ำนมดิบชั้นเลิศปราศจากการปนเปื้อน เพื่อส่งเสริมความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสวัสดิภาพสัตว์ (Animal Welfare) ตามมาตรฐานสุขอนามัยของฟาร์มและแม่โคนมที่กำหนดโดยสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) เนื่องจากการวิจัยของต่างประเทศบ่งชี้ชัดเจนว่ามูลค่าน้ำนมอินทรีย์ที่เพิ่มสูงขึ้นราว 30% นั้นจะทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งนี้ จากการทุ่มเทเพื่อใช้น้ำนมดิบชั้นเลิศ อ.ส.ค. จึงเป็นหน่วยงานแรกของไทยที่ทำฟาร์มโคนมอินทรีย์และได้รับการรับรองจากกรมปศุสัตว์ว่า อ.ส.ค.เป็นผู้ผลิตนมอินทรีย์และเป็นผลิตภัณฑ์อินทรีย์ที่ได้รับมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ ซึ่งเราเองก็จะถ่ายทอดองค์ความรู้ให้แก่เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมและสร้างเป็นเครือข่ายโคนมอินทรีย์อย่างต่อเนื่องต่อไป”


ว่าด้วยตลาด

          ความแข็งแกร่งอีกประการของ อ.ส.ค. ในตลาดคือช่องทางจัดจำหน่ายแบบดั้งเดิม (Traditional Trade :TT) ดร.ณรงค์ฤทธิ์กล่าวว่า 

          “ความแข็งแกร่งในตลาด TT ของอ.ส.ค.นี้ แม้แต่แบรนด์นมค่ายยักษ์ใหญ่ก็พยายามเข้ามาเจาะเหมือนกัน แต่ก็ยังเจาะได้ไม่เท่ากับเรา สำหรับช่องทาง TT นั้นต้องบอกว่านี่คือช่องทางตั้งต้น ซึ่งปัจจุบันเราก็ทำตลาดในส่วนของโมเดิร์นเทรดด้วย และในช่องทางหลังนี้แน่นอนว่ามีปริมาณมากกว่า TT มากนัก 

          นอกจากนี้ อ.ส.ค. ยังจะเน้นขยายตลาดต่างประเทศให้เพิ่มขึ้น โดยเพิ่มเอเย่นต์ในตลาดเดิมและเปิดตลาดใหม่ในประเทศเวียดนาม เมียนมา และจีนเป็นต้น โดยเราคาดว่าตลาดนมพาณิชย์ยูเอชทีในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะ AEC จะเติบโตถึง 28.57% ขณะที่เซกเมนต์นี้เติบโต 10.67% ของตลาดในประเทศไทย

          ขณะเดียวกัน เราก็จะเน้นขยายศูนย์กระจายสินค้าให้มากขึ้น เพื่อตอบสนองผู้บริโภคได้อย่างต่อเนื่องและเพียงพอ รวมทั้งเน้นบูรณาการบริหารจัดการระหว่างทุกโรงงานนมของ อ.ส.ค. เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ในการแก้ปัญหาอุปสรรคต่างๆ เช่น ลดการสูญเสีย เพิ่มประสิทธิภาพเครื่องจักรการผลิต เพื่อให้ อ.ส.ค. มีความแข็งแกร่งสามารถเพิ่มยอดขายและแข่งขันกับภาคเอกชนได้”
 

   

 

การบริหารจัดการภายใน
    
          การขับเคลื่อนสู่ยอดขาย 1 หมื่นล้านบาทในปี 2020 นั้นจะสำเร็จได้ด้วยความร่วมแรงร่วมใจของบุคลากรในองค์กร ดร.ณรงค์ฤทธิ์กล่าวถึงตนเองว่า จากการที่เป็นลูกหม้อของอ.ส.ค.มาก่อน ทำให้ทราบว่าใครทำอะไรได้ อีกทั้งบุคลากรส่วนใหญ่ก็จบมาจากมหาวิทยาลัยทำให้องค์กรมีวัฒนธรรมแบบพี่น้อง แต่ด้วยความต้องการที่จะเปลี่ยนผ่านให้สำเร็จ ดังนั้น ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าจะต้องรับบุคลากรนอกสายการเกษตรให้เข้ามาร่วมงาน เพื่อสร้างพลังผนึกใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นสายงานวิศวะ สายงานไอที สายงานประชาสัมพันธ์ หรืออื่นๆ นอกจากนี้ ก็ปรับปรุงกระบวนการทำงานภายในให้เป็นระบบออโตเมชั่นมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นระบบเอกสาร ระบบบัญชี ระบบโลจิสติกส์ ฯลฯ 

          “เราจำเป็นต้องรับพนักงานแบบ Fast Track เพื่อให้เข้ามาช่วยกันทำให้องค์กรเดินไปข้างหน้าได้ ขณะเดียวกัน ก็เร่งดําเนินการพัฒนาบุคลากรในทุก ๆ ด้าน เพื่อรองรับการเจริญเติบโตขององค์กร นอกจากนี้ เราก็ยังต้องใช้กลยุทธ์ควบคุมค่าใช้จ่าย เพื่อให้อยู่ในเกณฑ์ที่มีความเหมาะสมและก่อให้เกิดประสิทธิภาพการใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่า สำหรับระบบออโตเมชั่นขององค์กรนั้น เราก็เร่งพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (ERP) เพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการทั้งระบบขององค์กรมาใช้ เพื่อให้มีความทันสมัยและรวดเร็วทันเหตุการณ์อีกด้วย” ดร.ณรงค์ฤทธิ์กล่าว
 

ความท้าทาย 

          “สิ่งที่ผมกำหนดเป็นเป้าหมายนั้น ผมเชื่อว่า เราทำได้ เพียงแต่เราต้องปรับปรุงกระบวนการทำงานให้ได้ เพราะที่ผ่านมาต้องบอกว่า เรารู้จักเกษตรกร รู้ว่าเกษตรกรต้องการความมั่นคง ต้องการผลตอบแทนที่ดีจากภาครัฐ ฉะนั้น ก็ต้องถามว่า เราทำให้เกษตรกรได้หรือยังและส่งเสริมการเลี้ยงโคนมให้มีความมั่นคง ยั่งยืนหรือยัง

          ทำอย่างไรจึงจะทำให้เกษตรกรทราบว่า อ.ส.ค.เป็นองค์กรทำงานเพื่อเกษตรกร ไม่ใช่องค์กรเพื่อทำกำไร

          ในส่วนของพนักงาน การสร้างวัฒนธรรมในองค์กรเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนผ่านเป็นไปอย่างลุล่วงนั้นต้องใช้เวลา ฉะนั้น สิ่งที่เราทำกันในตอนนั้นคือ การทำความเข้าใจกับพนักงานในองค์กรว่า ช่วงนี้องค์กรต้องการการเปลี่ยนผ่าน การบริหารจัดการแบบเดิมๆ ที่ไม่มีแผนนั้นใช้ไม่ได้แล้ว ซึ่งตอนนี้เราก็ใช้ทีมที่ปรึกษาเข้ามาให้ความรู้กับคนในองค์กรและช่วยให้การเปลี่ยนผ่านเป็นไปอย่างถูกต้องและมีทิศทางมากขึ้น เพื่อการก้าวสู่วิสัยทัศน์ ‘นมแห่งชาติ’ ในปี 2020 ด้วยกัน”

 

[อ่าน 2,759]
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ทำความรู้จัก “ปิ่นเพชร โกลบอล” ผู้อยู่เบื้องหลัง “ฮากุ” แบรนด์ทิชชู่เปียกของคนไทย
ดิษทัต ปันยารชุน วางรากฐาน OR เตรียมส่งไม้ต่อให้แข็งแกร่งและยั่งยืน
วีรพล สวรรค์พิทักษ์ ยุทธศาสตร์ Eminent Air สู่ทศวรรษที่ 5
บทพิสูจน์ MAZDA เพื่อก้าวสู่ การเติบโตที่ยั่งยืน
ซีเล็คทูน่า x Sesame Street ครั้งแรกของโลก เมื่อก๊วนเพื่อนแสนซน แห่งถนนเซซามี่ มาอยู่บน ทูน่ากระป๋อง
เปิดใจ ‘ไพศาล อ่าวสถาพร’ ทำอย่างไร ให้ร้านอาหารในเครือ ‘บิสโตร เอเชีย’ สามารถเข้าถึงโอกาสทางการตลาดใหม่ๆ ได้
MAGAZINE UPDATE
Owner
DOUBLE D CREATION Co.,Ltd.
เอเวอร์กรีนวิว ทาวเวอร์ ชั้น 4
เลขที่ 22/43 ซอยบางนา-ตราด 56 ถนนบางนา-ตราด
แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร 10260
Tel : 0-2751-4995-6
Mobile : 062-194-4561
Advertising
ติดต่อโฆษณา และ การตลาด
คุณศุภากร ยาตพงศ์ (บู)
Mobile : 08-1355-3636
Tel : 0-2751-4995-6
E-mail : market-plus@hotmail.com
info@marketplus.in.th
PR News
ส่งข่าวประชาสัมพันธ์
E-mail : info@marketplus.in.th,
market-plus@hotmail.com,
marketplus@hotmail.co.th
Copyright © 2016 DOUBLE D CREATION Co.,Ltd. All rights Reserved