70 ปี การท่าเรือแห่งประเทศไทย มุ่งสู่ยุทธศาสตร์ LOGISTICS HUB
03 Mar 2021

 

ในฐานะที่ 'การท่าเรือแห่งประเทศไทย' (กทท.) สังกัดกระทรวงคมนาคม เป็นหนึ่งในจิ๊กซอว์สำคัญที่ร่วมขับเคลื่อนสู่ยุทธศาสตร์ ไทยแลนด์ 4.0 ที่ต้องการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กระจายสินค้าขนส่ง ( LOGISTICS HUB ) ในอาเซียนและจีนตอนใต้ ทั้งนี้ที่ผ่านมาการท่าเรือแห่งประเทศไทยได้ดำเนินยุทธศาสตร์ต่างๆ ทั้งการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาท่าเรือตามนโยบายดังกล่าวของรัฐบาล  ตลอดจนมุ่งสู่การเป็นท่าเรือชั้นนําที่ได้มาตรฐานระดับโลก ด้วยการให้บริการด้านโลจิสติกส์ที่เป็นเลิศ และเติบโตอย่างยั่งยืนในปี 2573 ตามวิสัยทัศน์ที่กําหนด

ในวาระการสถาปนาครบรอบ 70 ปี ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ปี2564 ถือเป็นวาระสำคัญที่ BigThree ผู้กุมบังเหียนระบบคมนาคม และโลจิสติกส์ของประเทศไทย ประกอบด้วย ดร.อธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม, พลเรือเอก โสภณ วัฒนมงคล ประธานกรรมการ การท่าเรือแห่งประเทศไทย และ เรือโท กมลศักดิ์ พรหมประยูร ผู้อำนวยการ การท่าเรือแห่งประเทศไทย มาร่วมกันคลี่แผนยุทธศาสตร์สู่การเป็น ASEAN LOGISTICS HUB ของประเทศไทย

 

 

การขับเคลื่อนระดับมหภาค

สำหรับการขับเคลื่อนประเทศไทยในระดับมหภาคสู่การเป็น ASEAN LOGISTICS HUB ดร.อธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ได้เปิดเผยว่า

"ภายใต้การนำของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กำหนดนโยบายสำคัญ ตามยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทย ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2560-2564) เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง ตลอดจนพัฒนาการขนส่งต่างๆ ให้ได้มาตรฐานสากล และสามารถแข่งขันกับประเทศต่างๆ ได้ เช่น การลงทุนในโครงการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งแบบครบวงจร

ขณะเดียวกันรัฐบาลได้ส่งเสริมการลงทุนของนักลงทุนทั้งไทย และต่างประเทศในโครงการ EEC นับแต่ปี 2560 เป็นการลงทุนของอุตสาหกรรมเป้าหมายแห่งอนาคตและเป็น LOGISTICS HUB ของภูมิภาค ที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลก ทั้งนี้ เราได้ดำเนินการตามยุทธศาสตร์ และกลยุทธ์เพื่อการพัฒนาระบบโลจิสติกส์การพัฒนา และปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานท่าเรือ เพื่อสนับสนุนการขนส่งทางน้ำให้สอดคล้องกับทุกระบบตามนโยบายพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศ โดยเชื่อมโยงการขนส่ง ระหว่าง ท่าเรือกรุงเทพ ท่าเรือแหลมฉบัง กับกลุ่มผู้ประกอบการขนส่งสินค้าด้านอื่นๆ ให้ได้รับความสะดวก รวดเร็ว และลดต้นทุน

 

ทั้งนี้ ดร.อภิรัฐ รัตนเศรษฐ กล่าวถึงนโยบายหลักที่ต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน ประกอบด้วย

  • พัฒนาให้เป็น City Port โดยมีท่าเรือแหลมฉบังเป็น Gateway รองรับเรือขนาดใหญ่และให้ท่าเรือกรุงเทพเป็นศูนย์สนับสนุนการขนส่งสินค้าในรูปแบบ Shift Mode
  • เร่งพัฒนาท่าเรือกรุงเทพเป็นศูนย์กระจายสินค้าของกรุงเทพฯ - ปริมณฑลกับลดต้นทุนโลจิสติกส์
  • นำเทคโนโลยีสารสนเทศมาพัฒนาการบริหารจัดการที่สามารถเชื่อมโยงการขนส่งทางน้ำกับการขนส่ง รูปแบบอื่นๆ อย่างไร้รอยต่อ
  • เร่งรัดพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสนับสนุนภาคเอกชนเชื่อมโยงการขนส่งและระบบโลจิสติกส์ให้มากยิ่งขึ้น
  • ปรับปรุงลานตู้สินค้าเป็นระบบกึ่งอัตโนมัติเพื่อลดมลพิษ (Green Port) เปลี่ยนเครื่องมือทุ่นแรงเป็น ระบบไฟฟ้า มุ่งสู่การเป็น Smart Port ในอนาคต
  • เชื่อมต่อการขนส่งสินค้าทางน้ำและทางราง (Shift Mode) เพิ่มจำนวนรางรถไฟที่เข้ามาในท่าเรือกรุงเทพ บูรณาการร่วมกับ รฟท. เพิ่มประสิทธิภาพการขนส่ง ลดการขนส่งทางถนน
  • เร่งรัดโครงการพัฒนาเส้นทางเชื่อมต่อท่าเรือกรุงเทพและทางพิเศษสายบางนา-อาจณรงค์ (S1) ให้เป็นไปตามแผน
  • พัฒนาระบบ e-Payment ชำระค่าธรรมเนียมด้วยระบบออนไลน์

 

นอกจากนี้ ยังมีนโยบาย Smart Community เพื่อยกระดับชุมชนคลองเตยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นตามกรอบยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีของรัฐบาล เพื่อแก้ไขปัญหาชุมชนแออัดให้มีที่อยู่อาศัย โดยมีทางเลือกให้ คือ ย้ายไปอาศัยในที่ดินย่านหนองจอกและมีนบุรีที่มีจำนวน 2,140 แปลง หรือขอรับเงินค่าใช้จ่ายเพื่อกลับภูมิลำเนาเดิมของตนเอง ซึ่งในขณะนี้อยู่ระหว่างการสำรวจความต้องการของคนในชุมชน และการออกแบบโครงการให้เหมาะสม ซึ่งมีแผนจะเริ่มก่อสร้างภายในปี 2566 และเสร็จสมบูรณ์ในปี 2578

 

 

เป้าหมายเชิงยุทธ์

สำหรับเป้าหมายเชิงยุทธ์ พลเรือเอก โสภณ วัฒนมงคล ประธานกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทย กล่าวว่า

"การท่าเรือแห่งประเทศไทยมุ่งพัฒนาสู่มาตรฐานท่าเรือชั้นนำระดับโลก ด้วยการวางกรอบยุทธศาสตร์อย่างชัดเจน คือ ยุทธศาสตร์การพัฒนาการบริการ, โครงสร้างพื้นฐานท่าเรือให้มีมาตรฐานในระดับโลก, ยุทธศาสตร์การพัฒนาสู่การเป็นประตูการค้าหลักและศูนย์กลางการเปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่ง,ยุทธศาสตร์การพัฒนาสินทรัพย์ในเชิงธุรกิจเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและยุทธศาสตร์การพัฒนาการให้บริการ และกระบวนการทำงานสู่การเป็น 'องค์กรสมรรถนะสูง' โดยดำเนินการควบคู่กันไปด้วยการเตรียมความพร้อมภายในองค์กรเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพโครงสร้างพื้นฐาน สิ่งอำนวยความสะดวก เครื่องมือทุ่นแรง รวมถึงกระบวนการทำงานภายใน พร้อมทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน การพัฒนารูปแบบการให้บริการ ทั้งธุรกิจหลักและธุรกิจเกี่ยวเนื่องให้สามารถเชื่อมโยงโครงข่ายการขนส่งสินค้าและระบบโลจิสติกส์ สนับสนุนการปรับเปลี่ยนรูปแบบการขนส่ง 'ทางบก - ราง -น้ำ' ให้สามารถแข่งขันเชิงรุก และก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางน้ำ และโลจิสติกส์ที่เชื่อมโยงเศรษฐกิจโลกด้วยการเป็นท่าเรือมาตรฐานในระดับโลก และได้รับการยอมรับจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่อการดำเนินงานของการท่าเรือฯเพื่อสนับสนุนบทบาทของการเป็นประตูการค้าหลักของประเทศ

 

สำหรับการดำเนินโครงการที่สำคัญของการท่าเรือแห่งประเทศไทยสอดรับกับนโยบายการพัฒนาที่ภาครัฐให้การผลักดัน และเร่งดำเนินงานให้เป็นไปตามเป้าหมาย คือ โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 เพื่อเตรียมรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ, โครงการพัฒนาศูนย์การขนส่งสินค้าทางรถไฟที่ท่าเรือแหลมฉบัง, โครงการพัฒนาท่าเทียบเรือชายฝั่ง (ท่าเทียบเรือA ) ในส่วนของท่าเรือกรุงเทพสนับสนุนนโยบายการเป็น City Port ที่สนับสนุนและอำนวยความสะดวกต่อกลุ่มธุรกิจ SMEs เพื่อเป็นการตอบสนองต่อการปรับเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งของประเทศ และถือเป็นท่าเรือที่สนับสนุนการดำเนินงานของท่าเรือแหลมฉบัง ดังนั้น การท่าเรือแห่งประเทศไทย จึงมุ่งพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกที่ท่าเรือกรุงเทพ เพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนรูปแบบการขนส่ง, การดำเนินโครงการปรับปรุง และพัฒนาท่าเทียบเรือชายฝั่ง 20G, โครงการพัฒนาท่าเรือฝั่งตะวันตกเป็นท่าเรือกึ่งอัตโนมัติ,โครงการพัฒนาเส้นทางเชื่อมต่อท่าเรือกรุงเทพและทางพิเศษสายบางนา-อาจณรงค์ (S1) รวมถึงโครงการพัฒนาพื้นที่เพื่อการอยู่อาศัยในชุมชนคลองเตย (Smart Community)"

 

 

พร้อมขานรับ

เรือโท กมลศักดิ์ พรหมประยูร ผู้อำนวยการ การท่าเรือแห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ สู่ ASEAN LOGISTICS HUB ว่า

"การท่าเรือแห่งประเทศไทยพร้อมยกระดับไทย เป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงตลาดการค้าโลก ตามนโยบายของกระทรวงคมนาคมที่มีภารกิจหลัก ในการพัฒนาให้เกิดการเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมขนส่งทุกระบบ สู่การเป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งทางน้ำในภูมิภาค และเนื่องจากระบบการขนส่งทางน้ำมีส่วนสำคัญต่อการนำเข้าและส่งออกของประเทศเป็นอย่างมาก โดยมีสัดส่วนถึง 90% ของการขนส่งทั้งประเทศที่สำคัญในภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวจึงถือเป็นจังหวะดีที่จะมุ่งพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานภายในประเทศให้มีศักยภาพ และทันสมัยยิ่งขึ้น กระทรวงคมนาคมจึงเร่งผลักดันให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ ทั้งการท่าเรือแห่งประเทศไทยและกรมเจ้าท่า เร่งพัฒนาโครงการต่างๆ ให้เกิดผลโดยเร็ว" 

 

ท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3

สำหรับความคืบหน้าของโครงการท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 เรือโท กมลศักดิ์ เปิดเผยถึงความคืบหน้าว่า

"การท่าเรือแห่งประเทศไทยได้เจรจาผลตอบแทนกับกลุ่ม GPC ซึ่งประกอบด้วย บมจ. กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์, บริษัท พีทีที แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด, บริษัท ไชน่า ฮาร์เบอร์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด ได้นำเสนอผลการเจรจาต่อคณะกรรมการ กทท. ได้รับทราบ ต่อมา กทท. ได้เสนอผลการเจรจาต่อสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ในผลตอบแทนภาครัฐ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามประกาศของ สกพอ. เรื่องการประกาศเชิญชวน วิธีการประกาศเชิญชวน วิธีการคัดเลือกของคณะกรรมการคัดเลือก หลักเกณฑ์ในการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุน พ.ศ.2560 (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2562 ซึ่งคณะกรรมการคัดเลือกได้ประกาศ

สกพอ.ได้รับทราบและได้มีการสอบทานข้อเท็จจริงโดยให้ที่ปรึกษาของ สกพอ. คือ บริษัทไพร้ซวอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส เอฟเอเอส จำกัด ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและทบทวนการศึกษา และวิเคราะห์โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ในส่วนท่าเทียบเรือ F ตามข้อเท็จจริงแล้ว เรื่องมูลค่าการลงทุนของการท่าเรือแห่งประเทศไทย และผลกระทบต่อประมาณการตู้สินค้า จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ร่วมกับการท่าเรือแห่งประเทศไทย พร้อมสรุปผลการศึกษาเสนอต่อ กทท. ซึ่งได้นำเสนอคณะกรรมการ กทท. ได้รับทราบแล้ว และได้นำเสนอเรื่องดังกล่าว เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และสอบทานต่อ สกพอ. และจัดทำข้อมูลเสนอ กพอ. เพื่อพิจารณาแล้ว"

 

ยุทธศาสตร์สู่ความเป็นเลิศ

ทั้งนี้ เพื่อติดอาวุธทางด้านการแข่งขันสู่ LOGISTICS HUB มุ่งสู่ยุทธศาสตร์สู่ความเป็นเลิศ เรือโทกมลศักดิ์ กล่าวถึงโครงการเร่งการพัฒนาท่าเทียบเรือต่างๆ ดังนี้ 

1) โครงการSmart Port ที่จัดทำขึ้นเพื่อพัฒนาท่าเรือกรุงเทพ (ทกท.) โดยพัฒนาพื้นที่เป็น 3 ส่วน คือ พื้นที่โซน A พัฒนาเป็นพื้นที่เชิงพาณิชยกรรม, พื้นที่โซน B พัฒนาธุรกิจหลักที่ให้บริการเรือและสินค้าของ ทกท. และพื้นที่โซน C พัฒนาเป็นพื้นที่อสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่รองรับธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับท่าเรือ ในส่วนของการพัฒนาพื้นที่โซน B ซึ่งเดิมเป็นลานบรรจุตู้สินค้าเพื่อการส่งออก โรงพักสินค้า และพื้นที่ซ่อมบำรุงเครื่องมือทุ่นแรง พื้นที่ทั้งหมดประมาณ 500 ไร่ การท่าเรือฯจะเร่งพัฒนาให้เป็นท่าเรือกึ่งอัตโนมัติ (Smart Port) ศูนย์กลางการกระจายสินค้าและคลังสินค้าขนาดใหญ่กลางกรุงเทพฯ เพื่อสนับสนุนการให้บริการขนส่งสินค้าแบบครบวงจร พร้อมทั้งพัฒนาพื้นที่หลังท่าของ ทกท.ให้สามารถรองรับการปฏิบัติการสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อสร้างความพึงพอใจแก่ผู้ใช้บริการและยกระดับการให้บริการสู่ระดับมาตรฐานท่าเรือชั้นนำระดับโลก ตามวิสัยทัศน์ของการท่าเรือที่ 'มุ่งสู่มาตรฐานท่าเรือชั้นนำระดับโลกด้วยการให้บริการด้านโลจิสติกส์ที่เป็นเลิศ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในปี 2573'

 

2) โครงการปรับปรุงและพัฒนาท่าเทียบเรือชายฝั่ง 20G ที่ท่าเรือกรุงเทพ เพื่อส่งเสริมระบบการขนส่งสินค้าต่อเนื่องหลายรูปแบบ และพัฒนาระบบการขนส่ง และการขนถ่ายสินค้าให้มีโครงข่ายเชื่อมโยง ระหว่างท่าเรือกรุงเทพ-ท่าเรือแหลมฉบัง-ท่าเทียบเรือชายฝั่งภายในประเทศให้สามารถรองรับปริมาณตู้สินค้า 240,000 ที.อี.ยู./ ปี

 

3) โครงการความร่วมมือกับการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทท.) เพื่อศึกษาออกแบบรูปแบบโครงการพัฒนาระบบประตูเขื่อนตะวันออกและจุดขึ้น-ลงทางด่วนโดยเพิ่มจุดเชื่อมต่อสำหรับทางขึ้น–ลงทางพิเศษ ช่วงอาจณรงค์ – บางนา (S1) เพื่อลดปัญหาจราจรติดขัดของรถบรรทุกบริเวณทางออกด้านทางพิเศษบูรพาวิถีและทางพิเศษช่วงอาจณรงค์ – รามอินทรา

 

 

70 ปี การท่าเรือแห่งประเทศไทย

รากฐานมั่งคง ซื่อตรงต่อผู้ใช้บริการ ยกระดับมาตราฐานสู่สากล

 

[อ่าน 8,093]
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
คุยกับ 2 ผู้บริหารแห่ง “รวยไม่หยุด กรุ๊ป” กับการรุกขยายพอร์ตฯ พร้อมเปิด 8 แบรนด์ใหม่
สรุปความสำเร็จของ ‘แมคโดนัลด์’ ผ่านมุมมองของ ‘คุณกิตติวรรณ อนุเวชสกุล’
ทำความรู้จัก “ปิ่นเพชร โกลบอล” ผู้อยู่เบื้องหลัง “ฮากุ” แบรนด์ทิชชู่เปียกของคนไทย
ดิษทัต ปันยารชุน วางรากฐาน OR เตรียมส่งไม้ต่อให้แข็งแกร่งและยั่งยืน
วีรพล สวรรค์พิทักษ์ ยุทธศาสตร์ Eminent Air สู่ทศวรรษที่ 5
บทพิสูจน์ MAZDA เพื่อก้าวสู่ การเติบโตที่ยั่งยืน
MAGAZINE UPDATE
Owner
DOUBLE D CREATION Co.,Ltd.
เอเวอร์กรีนวิว ทาวเวอร์ ชั้น 4
เลขที่ 22/43 ซอยบางนา-ตราด 56 ถนนบางนา-ตราด
แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร 10260
Tel : 0-2751-4995-6
Mobile : 062-194-4561
Advertising
ติดต่อโฆษณา และ การตลาด
คุณศุภากร ยาตพงศ์ (บู)
Mobile : 08-1355-3636
Tel : 0-2751-4995-6
E-mail : market-plus@hotmail.com
info@marketplus.in.th
PR News
ส่งข่าวประชาสัมพันธ์
E-mail : info@marketplus.in.th,
market-plus@hotmail.com,
marketplus@hotmail.co.th
Copyright © 2016 DOUBLE D CREATION Co.,Ltd. All rights Reserved