ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา หุ้นของ Fast Retailing บริษัทแม่ของ Uniqlo เติบโตขึ้นมากว่า 80% และทะลุ 100,000 เยนต่อหุ้น หรือประมาณ 28,453 บาทต่อหุ้นในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

การที่หุ้นพุ่งทะลุหนึ่งแสนเยน ทำให้มูลค่าของบริษัทของ Fast Retailing เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 10.87 ล้านล้านเยน หรือราว 1.03 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ กลายเป็นบริษัทแฟชั่นที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก

สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้นี่เป็นครั้งแรกที่ Fast Retailing มีมูลค่าบริษัทแซง Inditex บริษัทแม่ของ Zara แบรนด์ฟาสต์แฟชั่นสัญชาติสเปน ซึ่งมีมูลค่าตลาดประมาณ 81,700 ล้านยูโร หรือประมาณ 9.9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

เติบโตจากเอเชีย

สิ่งที่ทำให้หุ้นของ Fast Retailing เพิ่มขึ้นอย่างไม่มีอะไรมาขวางกันเกินจากการโฟกัสธุรกิจในเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน ‘จีนแผ่นดินใหญ่’ สะท้อนจากจำนวนร้าน Uniqlo ที่มีอยู่ 2,298 สาขาทั่วโลก โดย 60% ตั้งอยู่ในเอเชีย

สำหรับแดนมังกรนั้น แม้ยอดขายจะเป็นรองตลาดบ้านเกิด ทว่าในแง่ของสาขานั้นกลับ ‘แซง’ ขึ้นไปเรียบร้อยแล้ว เพราะในจีนมีสาขาทั้งสิ้น 815 แห่ง ขณะที่ในญี่ปุ่นนั้นมีร้านค้าอยู่เพียง 791 แห่ง เท่านั้น

ไม่เพียงสาขาแต่ในแง่ผลประกอบการจีนก็ได้ดีเช่นกัน เพราะสำหรับปีงบประมาณที่สิ้นสุดในเดือนสิงหาคม 2020 อัตรากำไรจากการดำเนินงานในจีนที่มากขึ้นซึ่งรวมถึงฮ่องกงและไต้หวันโดยอยู่ที่14.4% สูงกว่าญี่ปุ่นซึ่งทำได้ 13% เท่านั้น

จีนยังโตได้อีก

มีการมองว่า ‘จีน’ จะยังเป็นแหล่งเงินถึงเงินถังให้กับฟาสต์แฟชั่นจากแดนซามูไรต่อไป เพราะเศรษฐกิจของจีนกำลังฟื้นตัวอย่างรวดเร็วหลังเผชิญภาวะตกต่ำที่เกิดจากวิกฤตโควิด-19

ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องแต่งกายลำลองมองว่าUniqlo กำลังได้เปรียบในการใช้ประโยชน์จากพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภค ซึ่งมีแนวโน้มที่จะแต่งตัวแบบสบายๆ มากขึ้น อันเกิดการจากการต้องทำงานจากที่บ้าน

ขณะเดียวกันในแง่ของการบริการงาน Fast Retailing เองได้ให้ความสำคัญด้านดิจิทัลมากขึ้น ถึงขนาดตั้งนำแนวคิด ‘การค้าปลีกสำหรับผู้บริโภคแบบดิจิทัล’ เข้ามาใช้ในปี 2016

แนวคิดดังกล่าวจะถูกนำมาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลจากการซื้อทางออนไลน์และจัดเก็บจากแท็ก IC ที่แนบมากับสินค้าทั้งหมด ตลอดจนมีการร่วมมือกับบริษัทอื่นๆ เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการผลิตที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์

รายได้ยังไม่แซง

อย่างไรก็ตามถึง Uniqlo จะถึงแซง Zara กลายเป็นบริษัทแฟชั่นที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลกก็ตาม แต่ถ้านับในแง่ของรายได้ยังต่างกันอยู่พอสมควร เพราะบริษัทแม่ของ Zara อย่าง Inditex ยังเป็นแชมป์ด้วยยอดขาย 2.82 หมื่นล้านยูโร หรือประมาณ 3.41 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับปีงบประมาณสิ้นสุดเดือนมกราคม 2020

ในขณะที่ H&M แบรนด์สัญชาติสวีเดนรั้งอันดับ 2 ด้วยรายได้ 1.87 แสนล้านโครเนอร์ หรือ 2.25 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับปีการเงินจนถึงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ส่วน Fast Retailing อยู่เบอร์ 3 ด้วยรายได้ประมาณ 2 ล้านล้านเยน หรือ 1.89 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯในปีงบประมาณที่แล้ว

นอกจากนี้ Zara ยังได้เปรียบ Uniqlo ในแง่ของสินค้าคงคลังอีกด้วย เพราะโรงงานผลิตของ Inditex ส่วนใหญ่อยู่ในสเปน จึงลดปริมาณสินค้าคงคลัง ผ่านการผลิตเสื้อผ้าที่เหมาะสมกับระบบโลจิสติกส์ ที่ใช้การส่งสินค้าผ่านการขนส่งเครื่องบิน ซึ่งทำให้ใช้เวลานั้น แต่ก็ทำให้ Zara สามารถขายสินค้าได้โดยไม่ต้องเสนอส่วนลดจึงทำให้ได้กำไรขั้นต้นที่เพียงพอ

กระนั้นแม้รายได้จะทิ้งห่างกันพอสมควร แต่ทั้ง Fast Retailing และ Inditex ต่างมอง ‘ช่องทางออนไลน์’ เป็นแหล่งทำเงินในอนาคต

โดยยอดขายรวมในช่องทางดิจิทัลของ Fast Retailing เพิ่มเป็น 15.6% จาก 11.3% ขณะของ Inditex มีสัดส่วนอยู่ที่ 14% ในปี 2019 โดยได้มีการตั้งเป้าหมายว่า ภายในปี 2022 สัดส่วนดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นมาเป็น 25% ด้วยกัน