ในที่สุดแพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งที่หลายคนรอคอยอย่าง Disney+ ของเจ้าพ่อการ์ตูนโลก Walt Disney ก็เข้าไทยอย่างเป็นทางการเรียบร้อย โดยเปิดให้บริการในวันที่ 30 มิถุนายน 2564 ซึ่งมาพร้อมกับภาพยนตร์กว่า 700 เรื่อง และซีรีส์กว่า 14,000 ตอน
นับเป็นน้องใหม่ที่ก้าวเข้าสู่ ‘สงครามวิดีโอสตรีมมิ่ง’ ที่แข่งขันอย่างดุเดือนจากทั้งแพลตฟอร์มที่ดูฟรีและเสียค่าบริการ ไม่ว่าจะเป็น Netflix, WeTV, VIU, iQiyi, LINE TV, AIS PLAY, True ID และ MONOMAX เป็นต้น
คอนเฟิร์มเองโดยซีอีโอ
ข่าวการเข้ามาของ Disney+ ถูกคอนเฟิร์มเองโดย Robert Chapek ซีอีโอ The Walt Disney Company ซึ่งเข้าพูดถึงเรื่องนี้ในระหว่างรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ประจำปี 2021 ว่า Disney+ จะมีการเปิดตัวในประเทศมาเลเซียในวันที่ 1 มิถุนายน และในประเทศไทยวันที่ 30 มิถุนายน
เรื่องนี้นับว่า สร้างความตื่นเต้นให้กับสาวกคนไทยที่รอคอย Disney+ เป็นอย่างมาก แต่ในครั้งนั้นยังไม่มีการคอนเฟิร์มว่า แพลตฟอร์มที่เข้ามานั้นจะเป็น Disney+ เวอร์ชั่นเต็มหรือ Disney+ Hotstar ซึ่งหลายคนคาดเดาว่า น่าจะเป็นอย่างหลัก
เพราะ Disney+ Hotstar นั้น เป็นบริการที่รวมเข้ากับ Hotstar บริการสตรีมมิ่งจากประเทศอินเดีย ซึ่งแต่เดิมเป็นของ 21st Century Fox และซึ่งหลังจากควบรวมกิจการทำให้เกิดเป็น Disney+ Hotstar ซึ่งจะเน้นเจาะตลาดที่มีรายได้ปานกลางเป็นหลัก
โดนความแตกต่างนั้น Disney+ ดูพร้อมกันได้สูงสุด 4 อุปกรณ์และใช้ระบบเสียงเป็น Dolby Atmos ที่ใหม่กว่า ส่วน Disney+ Hotstar จะสามารถเปิดพร้อมกันได้เพียง 2 จอ ส่วนระบบเสียงเป็น Dolby Digital 5.1 ขณะที่เนื้อหานั้นแม้ส่วนใหญ่จะเหมือนกัน แต่ตัว Disney+ Hotstar จะเนื้อหาในประเทศท้องถิ่นที่เข้าไปให้บริการเพิ่มเข้ามาด้วย
คาดเป็น Disney+ Hotstar
หลังจากมีข่าวไม่นาน เว็บไซต์ Variety ได้รายงานโดยอ้างอิงแหล่งข่าวว่า วิดีโอสตรีมมิ่งที่เข้ามาในไทยนั้นจะเป็น Disney+ Hotstar โดยมีการประเมินว่า ด้วยความแตกต่างด้านความรายได้และความหลากหลายทางวัฒนธรรมของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การใช้โมเดล Disney+ Hotstar ในตลาดแมส อาจทำให้ Disney สามารถไต่ตามผู้นำตลาดอย่าง Netflix ได้อย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกันมีรายงานว่า การเข้ามาของ Disney+ Hotstar จะจับมือกับ AIS ผู้ให้บริการโทรคมนาคมและอินเทอร์เน็ตมือถือชั้นนำของไทยเสียด้วย
ในรายงานของ Variety ระบุว่า ที่ผ่านมา Disney+ Hotstar มักจะร่วมมือกับผู้ให้บริการโทรคมนาคมในพื้นที่ เพื่อให้บริการด้านการตลาดและการเรียกเก็บเงินจากผู้บริโภค
ข่าวลือเป็นจริง
แต่ในที่สุดแล้วข่าวลือก็เป็นจริงทั้งการเข้ามาของ Disney+ Hotstar และการจับมือกับ AIS โดยในวันแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ Disney ระบุว่า การจับมือกับ AIS จะเป็นการปูทางที่ทำให้ Disney+ Hotstar เข้าถึงคนไทยจำนวนมากได้ทันที จากฐานลูกค้าของ AIS ที่มีจำนวนมากที่สุดในประเทศ
โดย ปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าทั่วไป บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS ก็ยอมรับว่า โมเดลการจับมือระหว่าง AIS กับ Disney+ Hotstar จะเป็นเหมือนในต่างประเทศคือ AIS จะรับหน้าที่ทำการตลาดและเรียกเก็บเงิน ซึ่ง AIS มีระบบทุกอย่างรองรับไว้หมดแล้ว
แต่ที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือ Disney ระบุว่า AIS จะการทำหน้าที่เป็น ‘ผู้ให้บริการอย่างเป็นทางการ’ ของ Disney+ Hotstarในประเทศไทย ซึ่งความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำนี้คือ AIS จะเป็นโอเปอร์เรเตอร์เพียงรายได้สามารถออกแพ็กเกจรายเดือนได้ ขณะที่ลูกค้าของค่ายอื่นๆ จะต้องสมัครแบบรายปีเท่านั้น
สำหรับราคาของ Disney+ Hotstar เรียกว่าเร้าใจเป็นอย่างมากเพราะเป็นตัวเลขเพียง 799 บาทต่อปีซึ่งหารแล้วตกเฉลี่ยเดือนละประมาณ 66 บาท ซึ่งถือว่าถูกกว่าคู่ปรับอย่าง Netflix ที่มีราคาต่ำสุดเดือนละ 99 บาท แถมต่อได้ 1 จอในมือถืออีกต่างหาก
ส่วน AIS นั้นก็ได้ออกโปรโมชั่นในทันที ด้วยการลดราคา 50% เหลือเพียงเดือนละ 35 บาท นาน 12 เดือน เมื่อสมัครในช่วง Early Bird ตั้งแต่วันที่ 8-27 มิถุนายนนี้ เรียกว่า จากที่ถูกอยู่แล้วก็ถูกลงไปอีกโดยทาง AIS เปิดเผยว่า จะมีการเปิดเผยแพ็กเกจอื่นๆ ตามมาอีก
อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ AIS เองก็มีสตรีมมิ่งของตัวเองภายใต้ชื่อ AIS Play อยู่แล้วด้วยจึงเป็นที่สงสัยว่าจะเข้ามาแย่งลูกค้ากันเองหรือไม่? ซึ่งเรื่องนี้ ปรัธนา อธิบายว่า จะไม่ทับซ้อนกันเองอย่างแน่นอน เพราะทั้ง AIS Play และ Disney+ Hotstar ต่างก็มีคอนเทนต์ที่แต่ละฝ่ายไม่มี ซึ่งตอบโจทย์ความต้องการที่ไม่เหมือนกันของผู้บริโภคแต่ละแพลตฟอร์มอยู่แล้ว
กระนั้นต้องจับตาต่อไปว่า การเข้ามาของ Disney+ Hotstar แถมโปรที่เร้าใจของ AIS จะทำให้สงครามวิดีโอสตรีมมิ่งจากที่ดุเดือดอยู่แล้ว จะดุเดือดเพิ่มขึ้นอีกแค่ไหน เรื่องนี้ยังไม่มีใครตอบได้แต่ที่แน่ๆ ทำให้ผู้ที่อยู่มาก่อนร้อนๆ หนาวๆ อย่างแน่นอน