สุชาติ จริยาเลิศศักดิ์ อ.ส.ค. ชูยุทธศาสตร์ SMART G + A PLUS
01 Sep 2021

 

ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (โควิด-19) ในประเทศไทย นับแต่ปีงบประมาณ 2563 - ปี 2564 ถือเป็นความท้าทายกับหลายๆ ธุรกิจ รวมทั้ง องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) ก็ไม่ได้อยู่ในกรณียกเว้น วิกฤติโควิด-19 ทำให้ อ.ส.ค. ต้องเลื่อนแผนการดำเนินงานสู่วิสัยทัศน์ 'นมแห่งชาติ' จากปี 2564 เป็นปี 2565 ขณะเดียวกัน อ.ส.ค. ก็ต้องเร่งสร้างความแข็งแกร่งภายใน เพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่อาจคาดไม่ถึงเช่นนี้ในอนาคต          

ทั้งนี้ สุชาติ จริยาเลิศศักดิ์ รองผู้อำนวยการ ทำการแทนผู้อำนวยการ องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย ในฐานะผู้นำองค์กรได้ฉายภาพให้เห็นถึงทิศทางเชิงยุทธศาสตร์ที่  อ.ส.ค. ต้องเร่งดำเนินการ โดยเฉพาะในแง่ของเทคโนโลยีและนวัตกรรม พร้อมทั้งสร้างวัฒนธรรมองค์กร ภายใต้แนวคิด SMART G และเร่งสร้างทีมงานคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถ ภายใต้แนวคิด A PLUS เพื่อขับเคลื่อนองค์กรสู่ยุทธศาสตร์ 'นมแห่งชาติ'

             

ทิศทางการปรับตัวเชิงยุทธศาสตร์ของอ.ส.ค.นับจากปีนี้จะเป็นอย่างไร

ในปีนี้ จากสถานการณ์วิกฤติโควิด- 19 อ.ส.ค. โฟกัสที่การสร้างความเข้มแข็งจากภายในองค์กรเป็นสำคัญ โดยเฉพาะในแง่ของวัฒนธรรมองค์กรและการพัฒนาทีมงานคนรุ่นใหม่ พร้อมๆ กับการขับเคลื่อนไปด้วยกันกับการพัฒนาองค์กรด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม

สำหรับการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กร จากเดิมที่เน้นภายใต้แนวคิด 'รู้และรับผิดชอบ ส่งมอบสิ่งที่มีคุณค่า พัฒนาอย่างต่อเนื่อง เน้นเรื่องธรรมาภิบาล' มาเป็นการเปลี่ยนแปลงภายใต้แนวคิด SMART G ซึ่งจะเป็นแนวทางของการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่พวกเราส่งต่อและมุ่งมั่นที่จะพัฒนาองค์กรร่วมกัน

SMART G ประกอบด้วย

  • Smart Farming สู่การเป็นเกษตรโคนมอัจฉริยะ เพื่อส่งมอบคุณค่าหลักในกิจการโคนมของเรา
  • Mastery Innovation นวัตกรรมการเรียนรู้ ส่งเสริมให้มีความคิดสร้างสรรค์เชิงนวัตกรรม
  • Altruism มีส่วนร่วมต่อความสำเร็จ ช่วยเหลือเกษตรกร และเห็นส่วนรวมเป็นที่ตั้ง
  • Respect Family Value & Seniority คุณค่าความสัมพันธ์แบบครอบครัวระดับมืออาชีพ ให้เกียรติและเคารพกัน เน้นความสามัคคี
  • Thailand Well-Being & Business Intelligence คุณค่าของผลิตภัณฑ์นมไทย และความได้เปรียบทางธุรกิจ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน
  • Good Governance มีธรรมาภิบาล ทำงานด้วยความโปร่งใส ใส่ใจผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

นอกจากนี้ ในยุค Disruption เช่นนี้ อ.ส.ค. ก็โฟกัสกับการทำหน้าที่สร้างบุคลากรต้นแบบ สนับสนุนคนเก่ง หรือที่เรียกว่า ทีม Talent ซึ่งมีองค์ประกอบมาจาก A-PLUS

  • A: Agile Thinking คิดไวทำไว และมีระบบการรวบยอดทางความคิด
  • P: Professional Leading Change เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ก้าวขึ้นมา เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลง
  • L: Learning Continuously พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง
  • U: Utilize Achievement Oriented เน้นการสร้างผลลัพธ์
  • S: Synergy เกิดจากการร่วมมือกันและสร้างผลลัพธ์ที่มากกว่า

ในแง่ของการสร้างทีมงานนั้น อ.ส.ค. เดินหน้าสร้างคนรุ่นใหม่ที่ไม่ใช่ 'อายุ' แต่เป็นการสร้างคนรุ่นใหม่ที่มี 'ความก้าวหน้าทางความคิด' ดังนั้นไม่ว่าใครก็ตามต่างก็สามารถที่จะก้าวขึ้นมาเป็นทีม Talent ของอ.ส.ค.ได้

ทั้งนี้ จากการวางรากฐานบุคลากรที่แข็งแรงก็จะช่วยให้เราสามารถต่อยอดนวัตกรรม สามารถสร้างคุณค่าใหม่ และพัฒนานวัตกรรมการกินอยู่ (Strategic Innovation Well-Being) ไปยังผู้บริโภคและสังคมต่อไปได้  ที่สำคัญ อ.ส.ค.จะเป็นองค์กรที่ยั่งยืนได้ก็ต่อเมื่อพนักงานของเราร่วมมือกันส่งต่อวัฒนธรรม ส่งเสริมนวัตกรรม และส่งมอบคุณค่าที่ดีไปยังผู้บริโภคได้อย่างต่อเนื่อง

 

การขับเคลื่อนองค์กรในมิติของ 'เทคโนโลยี' และ 'นวัตกรรม'  จะเป็นอย่างไร

มิติการขับเคลื่อนในส่วนของ 'เทคโนโลยี' และ 'นวัตกรรม' ถือเป็นยุทธศาสตร์ที่ อ.ส.ค.ให้ความสำคัญอย่างมากๆ อีกทั้งจะต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องนับจากนี้ด้วย เนื่องจากในการดำเนินธุรกิจบนโลกใหม่วันนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่า ความเปลี่ยนแปลงต่างๆ เกิดขึ้นใน 'อัตราเร่ง' ดังนั้น การตอบโจทย์อย่างทันท่วงทีและมีวิสัยทัศน์ทั้งโซ่อุปทาน 'ต้นน้ำ - กลางน้ำ - ปลายน้ำ' ถือเป็นความจำเป็น

เราผลักดันแผนการดำเนินการในส่วนนี้มาก่อนหน้า อีกทั้งได้เตรียมการเพื่อเข้าสู่ยุค Digital Disruption ด้วย นอกจากนี้ ก็มีการดำเนินโครงการต่างๆ กับทั้งโซ่อุปทาน เช่น

โครงการ 'ฟาร์มประสิทธิภาพสูง' ซึ่งเราได้สร้าง 'ฟาร์มต้นแบบ' ซึ่งเป็นการทำฟาร์มโคนมที่ทันสมัย ด้วยการใช้เทคโนโลยี อย่างเครื่องรีดนมโคแทนการรีดนมด้วยมือ และมีการจัดเก็บข้อมูลนมจากแม่โคเป็นรายตัวไว้ด้วยว่า ปริมาณน้ำนม องค์ประกอบของน้ำนมว่ามีปริมาณโปรตีนและไขมันเท่าไร ฯลฯ พร้อมทำให้เกษตรกรได้เห็นโรงเรือนที่สะอาด มีการระบายอากาศที่ดี ด้วยการพัดลมเป่า เพื่อทำให้โคมีความสุข นอกจากนี้ ก็มีการกำจัดมูลโคอย่างถูกสุขลักษณะ พร้อมทั้งทำมูลโคแห้งสำหรับใช้ทำปุ๋ย เพื่อออกจำหน่ายให้กับผู้ที่มาเยี่ยมชมฟาร์มและผู้สนใจได้อีกด้วย

โครงการ 'ทรู ดิจทัล คาว' (True Digital Cow) ซึ่งเครือซีพีได้สนับสนุนให้ อ.ส.ค.ใช้งาน 'แท็กติดหูวัวอัจฉริยะ'  โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เนื่องจากมีการทำ MOU เป็นพันธมิตรกัน ซึ่งแท็กฯ มีคุณสมบัติที่สำคัญ คือ สามารถใช้สังเกตอาการติดสัดสำหรับการผสมพันธุ์โค และสามารถตรวจอาการป่วยของโค ซึ่งจำเป็นต้องใช้แรงงาน และบุคลากรที่มีประสบการณ์ในการสังเกตแต่การใช้คนสังเกตนั้นก็อาจจะมีความคลาดเคลื่อนได้ ซึ่งจะส่งผลกระทบให้เสียโอกาสในการรีดนม ปริมาณน้ำนมลดลง หรือกรณีโคเจ็บป่วยก็อาจะป่วยจนตายได้ ดังนั้น การติดแท็กจึงช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ได้ และเพิ่มประสิทธิภาพการเลี้ยงดูวัวทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นได้ ตอนนี้ทาง อ.ส.ค.ก็ดำเนินการติดแท็กเรียบร้อยแล้ว

นอกจากนี้ จากการที่เราทำฟาร์มต้นแบบและโครงการต่างๆ นี้ ก็ทำให้เราสามารถต่อยอด เพื่อทำการท่องเที่ยวเชิงเกษตรภายในฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ก ที่มวกเหล็ก จ.สระบุรีได้ ซึ่งในส่วนนี้ อ.ส.ค.ได้ลงทุนซื้อรถมินิบัสเพื่อใช้พานักท่องเที่ยวเยี่ยมชมภายในฟาร์มโคนมประสิทธิภาพสูง เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ชมฟาร์มโคนมต้นแบบ โดยดูอยู่บนรถมินิบัสติดแอร์ ไม่อนุญาตให้ลงมาเดินในฟาร์ม เพื่อป้องกันการะบาดของโรคที่จะเกิดกับโคนมในฟาร์ม และจะได้ชมการทำฟาร์มไส้เดือนโดยใช้มูลโคที่ทิ้งแล้วจากฟาร์มโคนมของ อ.ส.ค. อีกด้วย

 

 

วัดพฤติกรขรมการเคลื่อนไหว การกิน และการเคี้ยวเอื้องของวัว (ทั้งวัวนมและวัวเนื้อ) เพื่อนำมาวิเคราะห์และช่วยในการบริหาร

สถานการณ์โควิด-19 มีผลกระทบกับการเดินหน้าสู่ยุทธศาสตร์ 'นมแห่งชาติ' หรือไม่

ต้องยอมรับว่ามีผลกระทบ และทำให้ อ.ส.ค. ต้องปรับแผนการเดินหน้าสู่ 'นมแห่งชาติ' จากปี 2564 เป็นปี 2565 พร้อมทั้งกำหนดโรดแมปในปี 2564 ต่อเนื่องถึงปี 2565 และแผนระยะยาวระหว่างปี 2564 - ปี  2570 ดังนี้

  • ตั้งเป้าจำนวนเกษตรกรที่ผ่านเกณฑ์ Smart Farmer จาก 1,150 ในปีนี้เป็น 2,000 ราย หรือจากสัดส่วน 24% ของเกษตรกรโคนมทั้งหมดเป็น 42% ในปี 2565 และขยับเป็น 4,657 ราย หรือสัดส่วนทั้ง100% ในปี 2570
  • ได้รับการรับรองมาตรฐานสากลอย่างน้อย 3 โรงงานในปีนี้และเป็น 4 โรงงานในปี 2565 และทุกโรงงานในปี 2570
  • ต้องได้รับ Brand Perceived เป็น Top of Mind Brand ไม่น้อยกว่า 25%
  • EBITDA ปีนี้ 534 ล้านบาทและขยับเป็น 560 ล้านบาทในปี 2565 และ 684 ล้านบาทในปี 2570
  • ตั้งเป้าเป็นองค์กรสมรรถนะสูงที่มีคะแนนประเมินผล (Core Business Enablers) ไม่น้อยกว่า 3.45 ในปีนี้, 3.60 ในปี 2565 และ 4.00 ในปี 2570

 

มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและมาตรการล็อกดาวน์ของรัฐบาลสร้างผลกระทบกับเป้าขายของอ.ส.ค.หรือไม่

ในปีนี้ถือเป็นอีกปีที่เราเผชิญความท้าทายอย่างมาก เพราะที่ผ่านมาถือว่า เราต้องเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ถึง 3 ระลอกด้วยกัน ซึ่งมีผลกระทบกับหลายๆ ปัจจัยส่งผลให้ อ.ส.ค.จำเป็นต้องปรับลดยอดขายปี 2564 ที่จะสิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายนนี้ลงมาเหลือประมาณ 85%ของเป้าการขาย โดยอยู่ที่ประมาณ 10,030 ล้านบาท จากเป้าหมายที่ตั้งประมาณการไว้ก่อนเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ประมาณ 11,800 ล้านบาท แต่อย่างไรก็ตาม ยอดขายนี้เติบโตจากปีก่อนหน้าที่อยู่ประมาณ 9,500 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 530 ล้านบาท

ทั้งนี้อ.ส.ค.ได้จัดทำแผนตลาดเชิงรุกโดยมุ่งเน้นให้ผลิตภัณฑ์นมถึงผู้บริโภคได้อย่างสะดวกรวดเร็ว กระจายสินค้าให้ครอบคลุมทุกช่องทางการจำหน่ายและทุกพื้นที่มีการระบายผลิตภัณฑ์นมที่มีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับสต็อกผลิตภัณฑ์นมที่มีปริมาณมาก และเกิดประโยชน์ต่อองค์กรสูงสุด โดยดำเนินการใน 3 ด้านคือ 

  • 1.จัดทำแผนการตลาดเชิงรุก โดยวางแผนร่วมกับตัวแทนจำหน่าย เพื่อระบายสต็อกผลิตภัณฑ์นม
  • 2.เร่งรัดการดำเนินงานขององค์การในด้านการลดค่าใช้จ่าย ปรับแผนงานปี 2564 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในด้านการจัดการภายในองค์กร
  • 3.เพิ่มขีดความสามารถขององค์กรด้านบุคลากรและแผนธุรกิจสนับสนุนบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถให้ทำงานตามความรู้ความสามารถของตนเองปรับการจัดทำแผนธุรกิจให้สอดคล้องกับสภาพทางสังคมและเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป

สำหรับมาตรการเยียวยาของรัฐอย่าง 'เราชนะ' หรือ 'คนละครึ่ง' ยอมรับว่า มีส่วนช่วยกระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโภคได้มาก ทั้งนี้ เห็นได้ชัดจากยอดขายในเดือนมีนาคมที่พุ่งสูงขึ้นอย่างชัดเจน เนื่องจากเป็นช่วงที่ดำเนินมาตรการดังกล่าว ซึ่ง อ.ส.ค. เองก็เน้นการทำตลาดกับตลาดโชห่วยมากขึ้น เพื่อให้ลูกค้าสามารถใช้สิทธิ์ผ่านการสแกน 'เราชนะ', 'คนละครึ่ง' รวมทั้งใช้ 'บัตรสวัสดิการของรัฐ' กับร้านโชห่วยได้ ซึ่งเป็นการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายและค่าครองชีพของประชาชนด้วย พร้อมทั้งทำโปรโมชั่นในช่วงนี้กับร้านค้าด้วย  

อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลัง เราก็เผชิญกับความท้าทายอีกรอบจากการประกาศมาตรการล็อกดาวน์โดยขยายพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด หรือพื้นที่สีแดงเข้ม เป็น 13 จังหวัดอีกรอบหนึ่ง แต่ขณะเดียวกัน ในช่วงนี้ รัฐบาลเองก็มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกรอบกับ 'คนละครึ่ง' และ 'ยิ่งใช้ยิ่งได้' ดังนั้น เราก็เชื่อว่า กำลังซื้อของประชาชนน่าจะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง และเราเชื่อว่า ในช่วงระยะเวลาอีกสามเดือนก่อนสิ้นสุดปีงบประมาณ 2564 นี้ จากการแผนการทำตลาดเชิงรุกของ อ.ส.ค. น่าจะเป็นช่วงเวลาที่ทำให้ อ.ส.ค.สามารถเร่งสร้างยอดขายให้ได้เดือนละ 1,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์นมไทย - เดนมาร์ค ก็มีโอกาสได้ร่วมเป็นหนึ่งในหลายๆ สินค้าที่จำหน่ายทางช่องทาง 'รถโมบายพาณิชย์ ลดราคา! ช่วยประชาชน' ของกระทรวงพาณิชย์ เพื่อจำหน่ายสินค้าราคาถูกให้กับประชาชนในพื้นที่ล็อกดาวน์ต่างๆ ทั้งกรุงเทพฯ ปริมณฑลและต่างจังหวัด เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าครองชีพของประชาชนในช่วงเวลาแห่งความยากลำบากนี้ด้วย

 

 

อุปสรรค หรือความท้าทายที่อ.ส.ค. จะต้องก้าวข้ามไปให้ได้นอกจากผลกระทบของวิกฤติโควิด-19 คือ อะไร

ความท้าทายในปัจจุบันที่เราเผชิญ คือ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19

ส่วนในระยะยาว คือ เรื่องเขตการค้าเสรี (Free Trade Area: FTA) ที่จะเกิดขึ้นในปี 2568 ตามความตกลง FTA ไทย-ออสเตรเลีย และไทย-นิวซีแลนด์ ซึ่งถือเป็นความตกลง FTA ลำดับต้นๆ ของไทยที่มีผลใช้บังคับมาตั้งแต่ปี 2548

ปัจจุบันออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ได้ลดภาษีสินค้าทุกรายการให้กับไทยเหลือศูนย์แล้วตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2558 ส่วนไทยได้ลดภาษีสินค้าเกือบทั้งหมดให้ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์เหลือศูนย์แล้วเช่นกัน แต่ยังคงเหลือสินค้าเกษตรบางรายการ ซึ่งรวมถึงสินค้านมและผลิตภัณฑ์นมที่ไทยยังใช้มาตรการโควตาภาษีและมาตรการปกป้องพิเศษ เพื่อให้ภาคการผลิตและอุตสาหกรรมโคนมของไทยมีเวลาปรับตัว โดยปัจจุบันกลุ่มผลิตภัณฑ์นมไทยที่เปิดตลาดลดภาษีเหลือศูนย์แล้ว ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2559 ที่ผ่านมา คือ นมและครีมข้นไม่หวาน และบัตเตอร์มิลล์ แต่ยังคงเหลือสินค้าที่ไทยจะต้องทยอยเปิดตลาดให้กับออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ได้แก่ สินค้านมผงที่มีไขมันเกิน 1.5% (ไม่ใช้เลี้ยงทารก) ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของนม หางนม (เวย์) เนย ไขมันเนย (AMF)และกลุ่มสินค้าเนยแข็ง จะต้องไม่จำกัดโควตาและลดภาษีเป็นศูนย์ในปี 2564 สินค้านมและครีม เครื่องดื่มประเภทนมปรุงแต่ง นมผงขาดมันเนยที่จะต้องไม่มีโควตาและลดภาษีเป็นศูนย์ในปี 2568

ในปี 2568 ประเทศไทยจะไม่สามารถกำหนดมาตรการนำเข้า สินค้านมและครีม เครื่องดื่มประเภทนมปรุงแต่ง นมผงขาดมันเนยจากต่างประเทศได้ ซึ่งประเด็นที่อุตสาหกรรมนมและรัฐบาลเองก็จะต้องช่วยกันคิดว่า เราจะทำอย่างไรกันในช่วงระยะเวลา 3-4 ปีนี้

 


ทิศทางการเปลี่ยนแปลงองค์กร https://youtu.be/BYfTxkNfU0I

 

  

 

[อ่าน 8,115]
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
คุยกับ 2 ผู้บริหารแห่ง “รวยไม่หยุด กรุ๊ป” กับการรุกขยายพอร์ตฯ พร้อมเปิด 8 แบรนด์ใหม่
สรุปความสำเร็จของ ‘แมคโดนัลด์’ ผ่านมุมมองของ ‘คุณกิตติวรรณ อนุเวชสกุล’
ทำความรู้จัก “ปิ่นเพชร โกลบอล” ผู้อยู่เบื้องหลัง “ฮากุ” แบรนด์ทิชชู่เปียกของคนไทย
ดิษทัต ปันยารชุน วางรากฐาน OR เตรียมส่งไม้ต่อให้แข็งแกร่งและยั่งยืน
วีรพล สวรรค์พิทักษ์ ยุทธศาสตร์ Eminent Air สู่ทศวรรษที่ 5
บทพิสูจน์ MAZDA เพื่อก้าวสู่ การเติบโตที่ยั่งยืน
MAGAZINE UPDATE
Owner
DOUBLE D CREATION Co.,Ltd.
เอเวอร์กรีนวิว ทาวเวอร์ ชั้น 4
เลขที่ 22/43 ซอยบางนา-ตราด 56 ถนนบางนา-ตราด
แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร 10260
Tel : 0-2751-4995-6
Mobile : 062-194-4561
Advertising
ติดต่อโฆษณา และ การตลาด
คุณศุภากร ยาตพงศ์ (บู)
Mobile : 08-1355-3636
Tel : 0-2751-4995-6
E-mail : market-plus@hotmail.com
info@marketplus.in.th
PR News
ส่งข่าวประชาสัมพันธ์
E-mail : info@marketplus.in.th,
market-plus@hotmail.com,
marketplus@hotmail.co.th
Copyright © 2016 DOUBLE D CREATION Co.,Ltd. All rights Reserved