ท่ามกลางสงครามวิดีโอสตรีมมิ่งที่แข่งขันกันอย่างดุเดือดทั้งผู้เล่นจากตะวันตกและตะวันออกที่ไม่มีใครยอมใคร ‘Viu‘ แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งที่มีต้นกำเนิดจากฮ่องกงได้เบียดขึ้นมาเป็นเบอร์ 2 เรียบร้อยแล้ว ตำแหน่งของ Viu เกิดจากการก้าวข้ามยักษ์ใหญ่อย่าง Netflix และเป็นรองเพียง Disney+ เท่านั้น ซึ่งข้อมูลนี้ได้รับการเปิดเผยโดย บริษัทวิจัย Media Partners Asia
พร้อมขึ้นเป็นที่ 1
การเบียด Netflix ของ Viu เกิดขึ้นหลังจากผู้ใช้งานรายเดือนของบริษัทมียอดถึง 49 ล้านคนภายในสิ้นเดือนมิถุนายน เพิ่มขึ้น 37% จากเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งแม้ว่า Viu ให้บริการในเอเชีย ตะวันออกกลาง และแอฟริกาใต้แล้ว แต่เป้าหมายหลักๆ ที่ต้องการโฟกัสในตอนนี้คือ ‘เอเชียตะวันออกเฉียงใต้’
ในการให้สัมภาษณ์ Nikkei Asia ‘เจนิซ ลี’ แม่ทัพของ Viu ได้เผยถึงเป้าหมายที่จะ ‘เน้นหนัก’ ในภูมิภาคนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้ Netflix กลับมาแซง ขณะเดียวกัน Viu ก็พร้อมจะท้าชิงตำแหน่งที่ Disney+ ครองอยู่ในปัจจุบัน
การที่ Viu หันมาให้ความสนใจเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นเพราะ Viu สามารถเพิ่มสมาชิกที่ชำระเงินกว่า 1.9 ล้านคน รวมเป็น 5.2 ล้านคนในภูมิภาคนี้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2021 ขณะที่ผู้ใช้งานของ Viu ในภูมิภาคนี้อยู่ที่ 29.6 ล้านคน ณ สิ้นเดือนมิถุนายน
การเติบโตของ Viu มาจาการที่ช่วง 18 เดือนที่ผ่านมา ชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ใช้เวลากับสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์ต่างๆ มากขึ้น เนื่องจากการระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ผู้คนต้องอยู่แต่ในบ้าน ทำให้ตลาดความบันเทิงออนไลน์เฟื่องฟู
จุดนี้เองทำให้มูลค่าสินค้ารวมของสื่อออนไลน์ของภูมิภาคนี้ ซึ่งรวมถึงเกม วิดีโอ และเพลงเติบโตมากกว่า 20% เป็น 17 พันล้านดอลลาร์ในปี 2019 โดยมากกว่า 45 % ของผู้ใช้ในประเทศต่างๆ เช่น อินโดนีเซียและเวียดนามสมัครใช้บริการแบบออนดีมานด์
อ่อนไหวด้านราคา
แม่ทัพของ Viu กล่าวย้ำว่า “ถ้าคุณดูจากแนวการแข่งขัน เอเชียได้กลายเป็นพื้นที่การเติบโตที่สำคัญของทุกบริษัท” โดย Viu ได้ขยายฐานสมาชิกโดยปรับตัวให้เข้ากับตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งมีแนวโน้มที่จะอ่อนไหวต่อราคามากกว่า โดย Viu นั้นได้นำเสนอบริการภายใต้การผสมระหว่างดูฟรีและการสมัครสมาชิก (Subscription) ซึ่งผู้ใช้งานจะถูกดึงดูดให้ดูฟรี แต่มีโฆษณามากวนใจ โดย Viu ผู้ใช้จะแปลงใจมาสมัครแบบเสียเงินในตอนหลัง
ซึ่งในขณะที่วิดีโอสตรีมมิ่งจากฝั่งตะวันตกมักกำหนดราคามาแบบตายตัว แต่กลยุทธ์การกำหนดราคาของ Viu ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นซับซ้อนกว่า โดยราคาจะอยู่ที่ 1.99 - 6.99 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 65 - 235 บาท ขึ้นอยู่กับฟังก์ชันที่ใช้งาน เช่น การดาวน์โหลดแบบไม่จำกัด ซึ่งจะมีให้ใช้เฉพาะบางราคาเท่านั้น
ตามรายงานของ Nikkei Asia นั้นระบุว่า กลยุทธ์ของ Viu ยังได้เน้นที่คอนเทนต์จากเอเชียเป็นหลัก ซึ่งแตกต่างจากคู่แข่งในสหรัฐฯ โดย “เราเป็นเนื้อหาภาษาเกาหลี ญี่ปุ่น และจีนจากทั้งแผ่นดินใหญ่และฮ่องกง” ลีกล่าว พร้อมเสริมว่า Viu ยังได้ลงทุนสร้าง Original Local Content ในตลาดต่างๆ เช่น อินโดนีเซียและไทย
“นอกเหนือจากภาพยนตร์ดัง (ซึ่งสร้างในสหรัฐอเมริกา) แล้ว พวกเขา (ชาวเอเชีย) ยังต้องการเห็นใบหน้าและเรื่องราวที่คุ้นเคยที่สะท้อนถึงสิ่งต่าง ๆ ในภาษาของพวกเขาเอง ซึ่งนี่เป็นโฟกัสของเรา” ซีอีโอของ Viu
Viu จะต่อสู้ได้อย่างไร
Bloomberg ได้รายงานการตั้งข้อสังเกตของ วิเวก คูโต (Vivek Couto) กรรมการบริหารของ Media Partners Asia ว่า “คำถามสำคัญคือวิธีที่ Viu สามารถขยายให้ใหญ่ขึ้นนั้นจะเกิดขึ้นได้อย่างไร” เพราะ Viu นั้นยังขาด Original Content ของตัวเองที่จะมาต่อกรกับคู่แข่งกระเป๋าหนัก
โดยเฉพาะ Netflix ที่ใช้เงินเกือบ 2 พันล้านดอลลาร์ระหว่างปี 2018 ถึง 2020 สำหรับการสร้าง Original Content ในเอเชียที่เน้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นตลาดสำคัญ ดังนั้น ความท้าทายที่มากที่สุดของ Viu คือ การขยายฐานผู้ใช้และการแข่งขันด้านคอนเทนต์
ไม่เพียงคู่แข่งจากซีกโลกตะวันตกเท่านั้น แต่คู่แข่งในซีกโลกตะวันออกด้วยกันเองก็เป็นสิ่งที่ Viu นั้นมองข้ามไม่ได้เช่นกัน อย่างล่าสุดนั้น WeTV แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งที่มีเบื้องหลังเป็นยักษ์ใหญ่อย่าง Tencent ก็ได้ประกาศเป้าหมายการเป็นผู้นำแพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิงอันดับ 2 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภายในปี 2023 เช่นกัน
เป้าหมายของ WeTV เกิดขึ้นหลังจากที่ WeTV ได้ออกมาเปิดเผยว่า มียอดผู้ใช้งานรายเดือน (Monthly Active Users หรือ MAU) ทั่วโลกมากกว่า 45 ล้านราย (มกราคม-สิงหาคม 2021) ยอดชมวิดีโอมากกว่า 25 ล้านวิวต่อวัน
นอกจากนี้ จำนวนผู้ใช้งานแบบสมัครสมาชิกของ WeTV ยังเติบโตขึ้นมากกว่า 150% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา โดยตลาดสำคัญอยู่ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นำโดยไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และเวียดนาม