คลื่นสึนามิที่กำลังถาโถมเข้าสู่ ‘Facebook’
17 Mar 2022

 

กลายเป็นคลื่นสึนามิขนาดยักษ์ถาโถมเข้าสู่  ‘Facebook’ หรือชื่อใหม่  Meta’ ในวันที่ประกาศผลประกอบการประจำไตรมาส 4/2021 ที่ผู้คนต่างมองว่า เป็นตัวเลขที่  ‘น่าผิดหวัง’

 

กระทบกันถ้วนหน้า

ถึงจะสามารถมีกำไรสุทธิ 10.3 พันล้านดอลลาร์ ลดลง 8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะเดียวกันแม้รายได้จากการโฆษณาซึ่งคิดเป็นรายได้หลักกว่า 99.5% ของรายได้ทั้งหมด จะเพิ่มขึ้น 20% ก็ตาม แต่ตัวเลขนั้นกลับอยู่ในภาวะ ‘ชะลอตัว’

ทั้งหมดทำให้ผลงานที่ออกมาพลาดเป้าจากที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้ ทำให้หลังจากเปิดตัวตัวเลขออกมา หุ้นของ Meta ร่วงลง 26% คิดเป็นมูลค่าตลาดของบริษัทที่ลดลงมากกว่า 230 พันล้านดอลลาร์ ทำสิถิติเป็นหนึ่งในตัวเลขที่ลดลงมากที่สุดของบริษัทที่จดทะเบียนในอเมริกา

ไม่เพียงแต่มาร์เก็ตแคปของ Meta เท่านั้น แต่ราคาหุ้นที่ร่วงลงส่งผลถึงฝ่ายบริหาร โดยเฉพาะ ‘มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก’ ที่เห็นความร่ำรวยของตัวเองลดลง 31 พันล้านดอลลาร์ ภายใน 1 วันเท่านั้น

 

 

ข้อมูลของ Bloomberg Billionaires Index เผยว่า ชายวัย 37 ปี ซึ่งผู้ร่วมก่อตั้ง Meta และถือหุ้นอยู่ 13% เห็นความร่ำรวยของตัวเองลดลงจาก 120.6 พันล้านดอลลาร์ เหลือ 92 พันล้านดอลลาร์ จุดนี้เองทำให้เขาหล่นจาก 10 อันดับแรกของบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2015

นอกจากนี้ความร่ำรวยที่หายไปของซักเคอร์เบิร์กยังได้ทำสถิติอันดับที่ 2 ของความมั่นคั่งที่หายไปใน 1 วัน โดยเป็นรองแต่  ‘อีลอน มัสก์’ ที่เห็นความร่ำรวยของตัวเองหายไป 35 พันล้านดอลลาร์เนื่องจากหุ้นของ Tesla Inc. ร่วงลงหลังการสำรวจความคิดเห็นบน Twitter ที่มัสก์ออกมาถามว่าควรขายหุ้น 10% ใน Tesla หรือไม่

ขณะเดียวกันผู้ร่วมก่อตั้ง Meta คนอื่นๆ ก็มีไม่ต่างจากซักเคอร์เบิร์ก โดยดัสติน มอสโควิตซ์ บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดอันดับที่ 79 ของโลก ด้วยทรัพย์สินสุทธิ 2.12 หมื่นล้านดอลลาร์ สูญเสียความมั่งคั่งไปราว 3 พันล้านดอลลาร์ และ เอดูอาร์โด ซาเวรินลดลงมากกว่า 4 พันล้านดอลลาร์

 

 

เพื่ออธิบายว่า ทำไม ‘Meta’ ถึงต้องเผชิญคลื่นยักษ์ดังกล่าว The New York Times จึงได้ประมวลผลออกมาเป็น 6 เหตุผลดังนี้

1.วันคืนที่หอมวานสิ้นสุดแล้ว

ครึ่งหนึ่ง Meta อยู่ในช่วงวันคืนที่หอมหวานจากการที่ตัวเลขผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นอยู่ไม่หยุดยั้ง แต่ล่าสุดดูเหมือนว่าช่วงเวลาเหล่านั้นจะได้สิ้นสุดลงแล้ว

แม้ Facebook ได้เพิ่มผู้ใช้ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและยุโรป แต่รวมๆ แล้วผู้ใช้งานรายวัน (DAU) บน Facebook อยู่ที่ 1.93 พันล้านคนต่อวันในไตรมาสที่สี่ ลดลง 1 ล้านคน นั่นถือเป็นการลดลงครั้งแรกในประวัติศาสตร์ 18 ปีของบริษัท

ปัญหาเกิดจากการที่ Facebook ไม่มีความสามารถในการดึงดูดผู้ใช้ใหม่ๆ ให้มากขึ้น แม้ว่าจะประกาศเจาะกลุ่มผู้ใช้งานที่อายุน้อยลงก็ตาม นอกจากนี้อัตราการเติบโตของผู้ใช้รายไตรมาสของ Meta ก็ช้าที่สุดในรอบอย่างน้อย 3 ปี

ดังนั้น Meta จึงเลี่ยงที่จะลงลึกถึงรายละเอียดถึงตัวเลขดังกล่าว  แต่กลับเน้นย้ำถึง ‘Family of Apps’ อันประกอบไปด้วย Facebook, Messenger, Instagram และ WhatsApp

Meta เผยว่า ได้เพิ่มผู้ใช้ 10 ล้านคนในทุกแอปซึ่งหมายความว่า WhatsApp และ Instagram ยังคงเติบโต Meta ไม่ได้แยกสถิติการใช้งานแต่ละรายการสำหรับแอปเหล่านี้ แต่พูดอย่างกว้างๆ มันยังคงรักษาโมเมนตัมการเติบโตไว้ได้อยู่ ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วผู้ใช้งานรายวันของทุกแอปมีรวมกันกว่า 3 พันล้านคน

ผู้บริหารของ Meta ยังได้ชี้ไปที่โอกาสในการเติบโตส่วนอื่นๆ WhatsApp ซึ่งเป็นบริการส่งข้อความที่ยังไม่ได้สร้างรายได้มากมาย แต่ความพยายามสร้างรายได้เหล่านั้นให้เพิ่มขึ้นกลับเพิ่งเกิดขึ้น ขณะเดียวกันนักลงทุนมีแนวโน้มที่จะพิจารณาต่อไปว่าแอปอื่นๆ ของ Meta เช่น Instagram อาจเริ่มได้รับความนิยมสูงสุดจากการเติบโตของผู้ใช้หรือไม่

 

2.โดนกันซีนจาก Apple และ Google คือรายต่อไป

ฤดูใบไม้ผลิที่แล้ว Apple ได้เปิดตัวการอัปเดต  ‘App Tracking Transparency’ สำหรับระบบปฏิบัติการบนมือถือ ทำให้เจ้าของ iPhone มีทางเลือกว่าจะอนุญาตให้แอปอย่าง Facebook ตรวจสอบกิจกรรมออนไลน์ของตนหรือไม่ การย้ายความเป็นส่วนตัวเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของ Meta และมีแนวโน้มที่จะส่งผลในระยะยาวต่อไป

ตอนนี้ Facebook และแอปอื่นๆ ต้องขออนุญาตจากผู้ใช้เพื่อติดตามพฤติกรรมของพวกเขาอย่างชัดเจน ขณะที่ผู้ใช้จำนวนมากได้เลือกที่จะไม่อนุญาต นั่นหมายถึงข้อมูลผู้ใช้ Facebook น้อยลง ซึ่งทำให้การกำหนดเป้าหมายโฆษณา ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีหลักในการทำเงินของ Meta ทำได้ยากขึ้น

การเข้าถึงผู้ใช้ได้น้อยลงความเจ็บปวดที่ทวีคูณให้กับ Facebook เพราะผู้ใช้ iPhone มักเป็นที่รู้กันดีถึงการเป็นตลาดที่ร่ำรวยสำหรับผู้โฆษณาของ Facebook มากกว่าผู้ใช้แอป Android ซึ่งโดยทั่วไปแล้วผู้ที่ใช้ iPhone เพื่อเข้าถึงอินเทอร์เน็ตมักจะใช้จ่ายเงินมากขึ้นกับผลิตภัณฑ์และแอปที่แสดงให้พวกเขาเห็นจากโฆษณาบนมือถือ

ผู้บริหาร Meta ตำหนิการเปลี่ยนแปลงของ Apple กับ iOS ซึ่งทำให้ยากต่อการกำหนดเป้าหมายแคมเปญโฆษณา และวัดประสิทธิภาพ แม้ Meta ได้ปรับปรุงความสามารถในการวัดประสิทธิภาพโฆษณาแล้วก็ตาม แต่ก็อย่างที่เห็นว่าไม่ได้ช่วยมากนัก

เพราะผู้บริหารของ Meta ยอมรับว่า การเปลี่ยนแปลงของ Apple จะทำให้รายรับหายไปราว 10 พันล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณนี้ ซึ่งเรื่องนี้ Meta ได้โจมตี Apple ว่า เกิดผลกระทบสำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องพึ่งพาการโฆษณาบนโซเชียลเน็ตเวิร์กเพื่อเข้าถึงลูกค้า แต่ Apple ก็หาได้แคร์ไม่

ในอนาคตข้างหน้า Facebook จะไม่โดยกันซีนโดน Apple เท่านั้น แค่ล่าสุด Google ซึ่งเป็นผู้พัฒนาระบบ Android ได้เตรียมยกเครื่องครั้งใหญ่

ที่ผ่านมา Android แต่ละเครื่องได้รับการกำหนดตัวระบุที่ไม่ซ้ำกันซึ่งเรียกว่า ‘รหัสโฆษณา’ ซึ่งใช้ในการสร้างโปรไฟล์ของผู้ใช้ Android ที่นักพัฒนาซอฟต์แวร์ใช้เพื่อกำหนดเป้าหมายโฆษณาในแอปได้ 

แต่ด้วยระบบใหม่นี้รหัสโฆษณาดังกล่าวจะถูกยกเลิกเพื่อสนับสนุนกลไกการกำหนดเป้าหมายทางเลือกที่ Google ย้ำว่าจะเป็นประโยชน์ต่อความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้มากกว่าเดิม

เรื่องดังกล่าว Facebook ยังมีเวลาได้หายใจไปอีกสักพักและหาแผนที่จะรับมือ เพราะ Google บอกว่า การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะเกิดขึ้นในอีก 2 ปีต่อจากนี้

 

 

 

3.เมื่อ Google’ กำลังขโมยส่วนแบ่งโฆษณาออนไลน์

ปัญหาของ Meta กลายเป็นความโชคดีของคู่แข่ง โดยเฉพาะกับ Google

David Wehner ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการเงินของ Meta ตั้งข้อสังเกตว่าเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของ Apple ทำให้ผู้โฆษณามองเห็นพฤติกรรมของผู้ใช้น้อยลง หลายคนจึงเริ่มเปลี่ยนงบประมาณโฆษณาไปยังแพลตฟอร์มอื่น กล่าวคือ Google

หากเจาะเข้าในผลประกอบการของ Google จะพบว่า รายได้จากโฆษณาเพิ่มขึ้นเกือบ 33% ด้วยตัวเลข 61.2 หมื่นล้านดอลลาร์ ในช่วง 3 เดือนสิ้นสุดในเดือนธันวาคม ซึ่งรายได้จากโฆษณาที่เพิ่มขึ้นเกิดจากผู้คนใช้เวลาในโลกออนไลน์มากขึ้น ทำให้ธุรกิจต่างๆ ก็ใช้เงินไปกับโฆษณาออนไลน์เพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภค 

ผลงานที่สวยหรูทำให้บริษัทแม่อย่าง Alphabet ดีไปด้วย แถมยังทำได้ดีกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์อีกต่างจาก โดย Alphabet มีรายได้รวม 75.3 พันล้านดอลลาร์ และรายงานผลกำไรประจำไตรมาสที่ 20.6 พันล้านดอลลาร์

อย่างไรก็ตาม Google ต่างจาก Meta ตรงที่ไม่ได้พึ่งพา Apple สำหรับข้อมูลผู้ใช้มากนัก โดยประธานเจ้าหน้าที่ด้านการเงินของ Meta กล่าวว่า Google มี "ข้อมูลของบุคคลที่สามสำหรับวัตถุประสงค์ในการวัดและเพิ่มประสิทธิภาพ" มากกว่าแพลตฟอร์มโฆษณาของ Meta

แม่ทัพการเงินของ Meta ยังชี้ให้เห็นถึงข้อตกลงของ Google กับ Apple ที่จะเป็นเครื่องมือค้นหาเริ่มต้นสำหรับเบราว์เซอร์ Safari ของ Apple ซึ่งหมายความว่าโฆษณาบนเครือข่ายการค้นหาของ Google มักจะปรากฏในที่ต่างๆ มากขึ้น โดยรับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อผู้โฆษณามากขึ้น

นั่นจะกลายเป็นปัญหาใหญ่สำหรับ Meta ในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีผู้โฆษณาจำนวนมากขึ้นเปลี่ยนมาใช้โฆษณาบนเครือข่ายการค้นหาของ Google แทนที่จะใช้เงินกับยักษ์ใหญ่ด้านโซเชียลมีเดีย

 

4.ศัตรูตัวฉกาจที่ชื่อ  ‘TikTok’

เป็นเวลากว่าหนึ่งปีแล้วที่ซักเคอร์เบิร์กได้ชี้ให้เห็นถึงความน่าเกรงขามของ TikTok ที่เป็นเหมือนศัตรูตัวฉกาจ แอปที่ได้รับการสนับสนุนจากจีนได้เติบโตขึ้นเป็นผู้ใช้มากกว่าหนึ่งพันล้านคนจากโพสต์วิดีโอสั้นๆ ที่น่าแชร์และน่าติดตามอย่างน่าประหลาดใจ และแข่งขันอย่างดุเดือดกับ Instagram ของ Meta ในด้านการดึงดูดสายตาและความสนใจ

Meta ได้เลียนแบบ TikTok ด้วยคุณสมบัติผลิตภัณฑ์วิดีโอที่เรียกว่า Instagram Reels ซึ่งซักเคอร์เบิร์กว่า Reels อยู่ในฟีด Instagram ของผู้คนอย่างเด่นชัด ปัจจุบันเป็นตัวขับเคลื่อนอันดับ 1 ของการมีส่วนร่วมในแอป

ปัญหาคือแม้ว่า Reels จะดึงดูดผู้ใช้ แต่ก็ไม่ได้สร้างรายได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่ากับฟีเจอร์อื่นๆ ของ Instagram เช่น  Stories และ Main Feed นั่นเป็นเพราะมันทำเงินได้ช้ากว่าจากโฆษณาวิดีโอ เนื่องจากผู้คนมักจะมองข้ามโฆษณาเหล่านี้ไป ซึ่งหมายความว่ายิ่ง Instagram ผลักดันให้ผู้คนหันมาใช้ Reels มากเท่าไร ก็อาจทำให้ผู้คนใช้งานน้อยลงไปเท่านั้น

ซักเคอร์เบิร์กเปรียบเทียบสถานการณ์กับช่วงเวลาเดียวกันเมื่อหลายปีก่อนเมื่อ Instagram เปิดตัวฟีเจอร์ Story ซึ่งเลียนแบบ Snapchat แม้ฟีเจอร์ดังกล่าวไม่ได้สร้างรายได้มากนักเมื่อเปิดตัว แต่ที่สุดแล้วเงินโฆษณาตาม

กระนั้นยังไม่มีการรับประกันว่าเวทมนตร์ดังกล่าวจะสามารถเกิดขึ้นกับ Instagram Reels อีกหรือไม่ แม้ Meta จะเร่งผลักดันให้เกิดรายได้มากแค่ไหนก็ตาม

 

5.การใช้จ่ายกับ Metaverse เป็นเรื่องไร้สาระ

‘Metaverse’ หรือ  ‘จักรวาลนฤมิต’ กลายเป็นเทรนด์ที่ทุกคนกำลังให้ความสนใจ ซึ่งถูกจุดประกายด้วย Facebook โดยการประกาศเปลี่ยนชื่อมาเป็น Meta

 

"วันนี้เราถูกมองว่าเป็นบริษัทโซเชียลมีเดีย แต่ใน DNA ของเรา เราเป็นบริษัทที่สร้างเทคโนโลยีเพื่อเชื่อมโยงผู้คน และ Metaverse เป็นพรมแดนถัดไป เช่นเดียวกับการเป็นเครือข่ายสังคมออนไลน์ในยุคที่เราเริ่มต้น  ซักเคอร์เบิร์กกล่าวในวันที่ประกาศเปลี่ยนชื่อ

 

จากนี้ไปเราจะ Metaverse-First ไม่ใช่ Facebook-First”

 

ซักเคอร์เบิร์กเต็มใจที่จะพุ่งเข้าสู่โลกจักรวาลนฤมิตเสียจนมีรายจ่ายมากกว่า 10 พันล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว และคาดว่าจะใช้จ่ายมากขึ้นอีกในอนาคต ซึ่งเห็นได้จากการที่ Facebook ประกาศแผนการจ้างพนักงานเพิ่ม 10,000 คนเพื่อทำงานเกี่ยวกับ Metaverse ในยุโรป

แถม Facebook ยังมีพนักงานมากกว่า 10,000 คนที่สร้างฮาร์ดแวร์สำหรับผู้บริโภค เช่น แว่นตา AR ซึ่งซักเคอร์เบิร์กเชื่อว่าในที่สุดจะแพร่หลายเหมือนกับสมาร์ทโฟน ส่วน Metaverse ก็คาดว่าจะใช้เวลา 5-10 ปีในการก้าวขึ้นมาเป็นสื่อกระแสหลัก

ยังไม่มีหลักฐานว่าการเดิมพันจะได้ผล ต่างจากการเปลี่ยนไปใช้ในสมาร์ทโฟนของ Facebook ในปี 2012 ซึ่งช่วงนั้นธุรกิจรายได้ที่เติบโตช้า สวนทางกับค่าใช่จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้น แต่ภายใน 2 ปี Facebook ก็สามารถฝ่าวิกฤติสำเร็จด้วยรายได้ในปี 2014 เติบโตขึ้น 72% จากปีก่อนหน้า ขณะที่ผลกำไรเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่า

แต่สำหรับ Metaverse ในตอนนี้ยังคงเป็นงานอดิเรกเฉพาะกลุ่มและยังไม่ได้เจาะเข้าสู่กระแสหลักจริงๆ ชุดหูฟังความเป็นจริงเสริม ยังคงต้องใช้เวลาอีกหลายปีสำหรับการที่จะเห็นผู้คนทั่วไปได้หยิบมาใช้

หากซักเคอร์เบิร์กขอให้พนักงาน ผู้ใช้ และนักลงทุนเชื่อมั่นในตัวเขาและวิสัยทัศน์ของเขา ซึ่งนั่นเป็นการขอครั้งใหญ่ที่จะทำให้ Meta ต้องเสียเงินหลายพันล้านในปีต่อๆ ไป และอาจไม่มีวันบรรลุผลก็ตาม

 

 

6.ปีศาจของการต่อต้านการผูกขาดปรากฏขึ้น

ภัยคุกคามจากหน่วยงานกำกับดูแลจะเป็นสิ่งที่สร้างความปวดหัวให้กับซักเคอร์เบิร์กต่อไป

Meta เผชิญกับการสอบสวนหลายครั้ง รวมถึงจากคณะกรรมาธิการการค้าแห่งสหพันธรัฐแห่งใหม่ และอัยการสูงสุดของรัฐหลายคนว่า การกระทำดังกล่าวมีลักษณะเป็นการต่อต้านการแข่งขันหรือไม่ ฝ่ายนิติบัญญัติยังได้ร่วมมือกันในความพยายามของรัฐสภาในการผ่านร่างกฎหมายต่อต้านการผูกขาด

ซักเคอร์เบิร์กแย้งว่า Meta ไม่ใช่ผู้ผูกขาดเครือข่ายสังคมออนไลน์ เขาได้ชี้ให้เห็นถึงสิ่งที่เขาเรียกว่า ‘ระดับการแข่งขันที่ไม่เคยมีมาก่อน’ ซึ่งเกิดจาก TikTok, Apple, Google และคู่แข่งรายอื่นๆ ในอนาคต

แต่การดำเนินการต่อต้านการผูกขาดทำให้ Meta ยากขึ้นสำหรับการซื้อทางเข้าสู่เทรนด์เครือข่ายสังคมใหม่ ในอดีต Facebook ซื้อ Instagram และ WhatsApp ด้วยการตรวจสอบเพียงเล็กน้อย แต่ในตอนนี้แม้แต่การเข้าซื้อกิจการของ Meta กำลังถูกท้าทายจากหน่วยงานกำกับดูแลทั่วโลก

ด้วยการซื้อทางลัดที่มีโอกาสน้อยลง หน้าที่ของ Meta คือการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เพื่อขจัดความท้าทายใดๆ ที่กำลังเข้ามาประชิดตัว

 


6 ค่านิยมองค์กร

ล่าสุดเพื่อสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงไปสู่โลกจักรวาลนฤมิต ซักเคอร์เบิร์ก ได้ออกมาประกาศค่านิยม 6 ประการใหม่

"ฉันเชื่อเสมอมาว่าเพื่อให้ค่านิยมมีประโยชน์ พวกเขาจำเป็นต้องเป็นแนวคิดที่บริษัทที่ดีสามารถโต้แย้งหรือเน้นย้ำได้อย่างสมเหตุสมผล” ซักเคอร์เบิร์กเขียนในโพสต์บนหน้า Facebook ของเขา ผมคิดว่าค่านิยมเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าเราต้องทำหน้าที่เพื่อทำให้วิสัยทัศน์ของเราเป็นจริง”

 

สำหรับค่านิยม 6 ประการนั้นประกอบไปด้วย Move Fast (การเคลื่อนที่ได้อย่างเร็ว), Focus on Long-Term Impact (มองผลกระทบระยะยาว), Build Awesome Things (สร้างสรรค์สิ่งที่ยอดเยี่ยม), Live in the Future (มุงสู่การใช้ชีวิตในอนาคตใหม่), Be Direct and Respect Your Colleagues (ตรงไปตรงมาและเคารพเพื่อนร่วมงาน) และ Meta, Metamates, Me

สิ่งที่น่าสนใจคือ ในครั้งนี้ซักเคอร์เบิร์กได้ประกาศชื่อใหม่สำหรับพนักงานของบริษัทของเขาว่า Metamates ดังที่เห็นในค่านิยม ซึ่งเป็นการเปลี่ยนจาก Facebookers

โดยในการปรับวัฒนธรรมองค์กรใหม่ ซักเคอร์เบิร์กกล่าวว่านอกเหนือจากการสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีผู้ใช้หลายพันล้านคนแล้ว Meta จะให้ความสำคัญกับผู้คนที่สร้างแรงบันดาลใจมากขึ้น

 

ดังนั้นจากนี้ไปเราต้องจับตาว่า Meta จะสามารถทำดั่งที่พูดเพื่อฝ่าคลื่นสึนามิที่กำลังถามโถมเข้ามาได้หรือไม่

 


บทความจาก MarketPlus Magazine Issue 143 


 

[อ่าน 4,707]
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ปฏิบัติการ รีแบรนด์ Microsoft Office เมื่อ “AI” เข้ามาเปลี่ยนวิธีคิดการดีไซน์
ทำไม JW Anderson จึงโดดเด่นในการออกแบบกระเป๋าถืออันเป็นเอกลักษณ์
สี จิ้นผิง–เผิง ลี่หยวน เปิดงานเลี้ยงต้อนรับผู้นำ SCO 2025 ที่เทียนจิน โชว์บทบาทเจ้าภาพผลักดันความร่วมมือภูมิภาค
มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก เดิมพันครั้งสุดท้าย? คว้า ‘อเล็กซานเดอร์ หวัง’ ขุนศึก AI ปั้นฝัน Superintelligence
AI ไม่ได้ฆ่า Google Search? เบื้องหลังปราการป้องกันที่แข็งแกร่งกว่าที่คิด
“มาห์เล” เร่งเครื่องนวัตกรรมยานยนต์ ลดคาร์บอนด้วยเทคโนโลยีหลากหลาย – หนุนสหภาพยุโรปแก้กฎหมาย CO₂
MAGAZINE UPDATE
Owner
DOUBLE D CREATION Co.,Ltd.
เอเวอร์กรีนวิว ทาวเวอร์ ชั้น 4
เลขที่ 22/43 ซอยบางนา-ตราด 56 ถนนบางนา-ตราด
แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร 10260
Tel : 0-2751-4995-6
Mobile : 062-194-4561
Advertising
ติดต่อโฆษณา และ การตลาด
คุณศุภากร ยาตพงศ์ (บู)
Mobile : 08-1355-3636
Tel : 0-2751-4995-6
E-mail : market-plus@hotmail.com
info@marketplus.in.th
PR News
ส่งข่าวประชาสัมพันธ์
E-mail : info@marketplus.in.th,
market-plus@hotmail.com,
marketplus@hotmail.co.th
Copyright © 2016 DOUBLE D CREATION Co.,Ltd. All rights Reserved