ทุ่มสุดตัวเพื่อโลกไร้สมาร์ทโฟน เดิมพันครั้งสำคัญของซักเคอร์เบิร์กกับแว่นตา AI
22 Dec 2025


บนเวทีงาน Meta Connect ประจำปี แสงไฟจับจ้องไปที่ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ในขณะที่เขาเปิดตัวผลิตภัณฑ์ชิ้นสำคัญที่อาจเป็นอนาคตทั้งหมดของบริษัท นั่นคือแว่นตาอัจฉริยะรุ่นแรกที่มีหน้าจอแสดงผลในตัว

 

นี่ไม่ใช่เพียงการเปิดตัวอุปกรณ์ชิ้นใหม่ แต่เป็นภาพที่ชัดเจนที่สุดของวิสัยทัศน์ที่ Meta พยายามสร้างมาตลอดทศวรรษ คือการพาผู้คนออกจากโลกที่ต้องก้มหน้ามองจอสมาร์ทโฟน และก้าวไปสู่ยุคใหม่ของคอมพิวเตอร์ที่สวมใส่ได้

การเดินทางครั้งนี้เต็มไปด้วยความท้าทายและเงินลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ และแม้แต่บนเวทีเปิดตัว ความจริงที่ว่าเทคโนโลยียังอยู่ในช่วงเริ่มต้นก็ได้ปรากฏให้เห็นผ่านความผิดพลาดทางเทคนิคที่เกิดขึ้นสดๆ ตามที่ CNBC ได้รายงานไว้

แต่ทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้บั่นทอนความเชื่อมั่นของซักเคอร์เบิร์กที่ว่า แว่นตาคือ “รูปแบบที่สมบูรณ์แบบที่สุดสำหรับ Superintelligence ส่วนบุคคล”

วิสัยทัศน์ดังกล่าวถูกอธิบายอย่างชัดเจนยิ่งขึ้นผ่านคำพูดของซักเคอร์เบิร์กบนเวที ซึ่ง CNN ได้นำมารายงานว่า แว่นตาคืออุปกรณ์ที่เหมาะสมที่สุด เพราะช่วยให้ผู้ใช้ยังคง ‘มีส่วนร่วมอยู่กับช่วงเวลาปัจจุบัน’ ในขณะที่ยังสามารถเข้าถึงความสามารถของ AI เพื่อทำให้ตนเองฉลาดขึ้น สื่อสารได้ดีขึ้น หรือแม้แต่พัฒนาประสาทสัมผัสของตนเองได้ นี่คือการเปลี่ยนกระบวนทัศน์จากการก้มหน้ามองอุปกรณ์ มาสู่การเงยหน้ามองโลกไปพร้อมกับเทคโนโลยี

นี่คือเรื่องราวเบื้องหลังการเดิมพันครั้งสำคัญที่สุดของ Meta การวิเคราะห์เจาะลึกถึงเทคโนโลยี, กลยุทธ์, ความท้าทาย และวิสัยทัศน์อันไกลโพ้น ที่จะตัดสินว่าบริษัทจะสามารถสร้างแพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์ที่ยิ่งใหญ่ลำดับถัดไปของโลกได้สำเร็จหรือไม่

 

 

‘Ray-Ban Display’
ก้าวแรกสู่แว่นตา AI ที่ใช้งานได้จริง

หัวใจของผลิตภัณฑ์ใหม่นี้คือ Meta Ray-Ban Display แว่นตาอัจฉริยะราคา 799 ดอลลาร์สหรัฐ ที่มาพร้อมหน้าจอขนาดเล็กที่ถูกฝังไว้อย่างแนบเนียนในเลนส์ด้านขวา หน้าจอนี้สามารถแสดงผลข้อมูลสำคัญต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นข้อความ, การแจ้งเตือน, วิดีโอคอล, แผนที่นำทางแบบเลี้ยวต่อเลี้ยว ไปจนถึงผลลัพธ์จากการสอบถาม Meta AI

ในการให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg แอนดรูว์ บอสเวิร์ธ (Andrew Bosworth) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของ Meta เรียกผลิตภัณฑ์ชิ้นนี้ว่าเป็น ‘ผลิตภัณฑ์ที่จริงจังชิ้นแรก’ ในตลาดแว่นตาอัจฉริยะ และเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างระบบนิเวศของตนเองเพื่อแข่งขันกับ Apple และ Google

“นี่คือสิ่งที่ทำให้คุณเริ่มจะเก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋าได้บ่อยขึ้นตลอดทั้งวัน” เขากล่าว

 

สิ่งที่ทำให้ Ray-Ban Display แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงคือระบบควบคุมรูปแบบใหม่ แม้จะยังสามารถใช้นิ้วสัมผัสที่ขาแว่นได้เหมือนรุ่นก่อน แต่หัวใจหลักของการควบคุมอยู่ที่ Meta Neural Band สายรัดข้อมือที่ตรวจจับการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อและเส้นประสาท ผู้ใช้สามารถเลือกเมนูได้ด้วยการใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้หนีบเข้าหากัน, เลื่อนดูรายการต่างๆ ด้วยการลากนิ้วโป้งไปบนข้อนิ้ว, หรือเรียกใช้งานผู้ช่วย AI ด้วยการแตะนิ้วโป้งสองครั้ง

การควบคุมด้วยท่าทางมือเช่นนี้ คือหัวใจสำคัญในการสร้างประสบการณ์ที่ราบรื่นและเป็นส่วนตัว แตกต่างจากการสั่งงานด้วยเสียงที่คนรอบข้างอาจได้ยิน หรือการยกมือขึ้นมาสัมผัสแว่นตาที่อาจดูไม่เป็นธรรมชาติ เป้าหมายคือการทำให้ปฏิสัมพันธ์กับเทคโนโลยีกลมกลืนไปกับชีวิตประจำวันจนแทบไม่รู้สึกว่ากำลังใช้งานอยู่

นอกเหนือจากนี้ แว่นตายังมาพร้อมฟีเจอร์คำบรรยายสด (Live Caption) ที่สามารถแสดงคำพูดของคู่สนทนาขึ้นมาบนจอได้แบบเรียลไทม์ ซึ่งรวมถึงการแปลภาษาด้วย และยังสามารถใช้วิดีโอคอลโดยที่มองเห็นคู่สนทนาพร้อมกับแชร์มุมมองของตนเองออกไปได้พร้อมกัน โดยแว่นตารุ่นนี้จะเริ่มวางจำหน่ายในวันที่ 30 กันยายน โดยมีให้เลือกสองขนาดและสองสี คือสีดำและสีน้ำตาลทราย

อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรกของการเปิดตัว เทคโนโลยีก็ยังมีข้อจำกัดอยู่บ้าง หน้าจอมีความละเอียด 600 x 600 พิกเซล และมีขอบเขตการมองเห็นที่จำกัดเพียง 20 องศา แบตเตอรี่ใช้งานได้นาน 6 ชั่วโมงต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง และตัวเคสสามารถชาร์จเพิ่มได้อีก 30 ชั่วโมง ซึ่งยังถือว่าน้อยกว่ารุ่นที่ไม่มีหน้าจอ

 

 

เบื้องหลังความร่วมมือ
และเดิมพันมูลค่าหลายพันล้าน

ความสำเร็จในการสร้างผลิตภัณฑ์ชิ้นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากความพยายามของ Meta เพียงฝ่ายเดียว แต่เป็นผลมาจากความร่วมมือครั้งสำคัญกับ EssilorLuxottica บริษัทยักษ์ใหญ่เจ้าของแบรนด์ Ray-Ban ซึ่งในตอนแรกยังคงลังเลที่จะนำแบรนด์ระดับตำนานของตนเองมาใช้กับแว่นตาที่มีหน้าจอ

“ความจริงก็คือ ตอนที่เราเริ่มต้นโครงการนี้ Ray-Ban ยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าดีไซน์จะดูดีพอที่จะเป็นผลิตภัณฑ์ของ Ray-Ban ได้” บอสเวิร์ธ กล่าวกับ Bloomberg

“เราต้องทำงานอย่างหนักเพื่อทำให้พวกเขารู้สึกว่า โอ้ ว้าว โอเค เราเห็นภาพแล้วว่า นี่สามารถเป็นผลิตภัณฑ์ของ Ray-Banได้จริงๆ”

ความสัมพันธ์ของทั้งสองบริษัทลึกซึ้งยิ่งกว่าแค่การร่วมมือกันออกแบบ โดย Bloomberg รายงานว่า Meta ได้เข้าลงทุนเป็นเงินถึง 3.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อถือหุ้นประมาณ 3% ใน EssilorLuxottica ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นในระยะยาวที่ Meta มีต่อตลาดแว่นตาอัจฉริยะ

นอกจากนี้ ในการให้สัมภาษณ์กับ CNN ร็อคโค บาซิลิโก (Rocco Basilico) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายอุปกรณ์สวมใส่ของ EssilorLuxottica เรียกการเปิดตัวครั้งนี้ว่าเป็น ‘การเปิดตัวครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เราเคยทำมา’ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่พันธมิตรมีต่อวิสัยทัศน์ของ Meta ทั้งหมดนี้คือส่วนหนึ่งของการลงทุนในแผนก Reality Labs ที่มีมูลค่าสูงกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี

 

 

เสียงสะท้อนจาก Wall Street:
ราคา ความหวัง และอุปสรรค

ในมุมมองของนักวิเคราะห์และนักลงทุนปฏิกิริยาต่อการเปิดตัว Ray-Ban Display นั้นมีทั้งความคาดหวังและข้อกังขาผสมปนเปกันไป บทวิเคราะห์จาก Market Watch ได้รวบรวมความเห็นที่หลากหลาย โดยประเด็นที่ถูกถกเถียงกันมากที่สุดคือ ‘ราคา’ ที่ 799 ดอลลาร์สหรัฐ

มาร์ก มาเฮนีย์ (Mark Mahaney) นักวิเคราะห์จาก Evercore ISI มองในแง่ดีว่า “เราคิดว่า Meta ได้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมีนัยสำคัญในการลดอุปสรรคที่เคยขัดขวางไม่ให้เทคโนโลยีสวมใส่ศีรษะกลายเป็นของใช้ในชีวิตประจำวันที่ราคา 799 ดอลลาร์ เราคิดว่าราคานี้อยู่ในโซนที่สามารถสร้างยอดขายได้หลายล้านชิ้นหากมีประโยชน์ใช้สอยจริง”

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์อีกหลายคนกลับมองว่าราคานี้ยังคงสูงเกินไปสำหรับตลาดในวงกว้าง ราล์ฟ แชคคาร์ต (Ralph Schackart) จาก William Blair แย้งว่าราคาจะต้องลดลงเหลือประมาณ 200 ดอลลาร์สหรัฐ ก่อนที่แว่นตาประเภทนี้จะกลายเป็นสินค้าสำหรับคนทั่วไปได้อย่างแท้จริง

นอกเหนือจากราคาแล้ว ยังมีข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์ที่อาจเป็นอุปสรรค จัสติน โพสต์ (Justin Post) จาก Bank of America ชี้ว่า ตัวเลือกสไตล์ที่จำกัดและอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่เพียง 6 ชั่วโมง อาจทำให้ผู้บริโภคยังไม่ตัดสินใจซื้อ ในขณะที่ มาร์ติน หยาง (Martin Yang) จาก Oppenheimer มองว่าน้ำหนัก 67 กรัมนั้นอาจจะหนักเกินไปสำหรับผู้ใช้บางคน และที่สำคัญที่สุดคือ แว่นตานี้ยังไม่ใช่ ‘แพลตฟอร์มฮาร์ดแวร์ที่แท้จริง’ เพราะ Meta ยังไม่ได้เปิดให้นักพัฒนาภายนอกเข้ามาสร้างแอปพลิเคชันโดยตรงบนแว่นตาได้

แม้จะมีความกังขาอยู่บ้าง แต่ข้อมูลจากฝั่ง EssilorLuxottica ที่ให้สัมภาษณ์กับ CNN กลับแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่น่าสนใจ โดยระบุว่ารายได้จากแว่นตา Meta รุ่นก่อนหน้าได้เติบโตขึ้นถึงสามเท่าเมื่อเทียบกับปีก่อน และตั้งเป้าที่จะผลิตแว่นตาให้ได้ถึง 10 ล้านคู่ต่อปีภายในปี 2026 ซึ่งเป็นสัญญาณว่าตลาดสำหรับอุปกรณ์ประเภทนี้กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

 

 

กลยุทธ์สร้างระบบนิเวศ

นอกเหนือจากรุ่นเรือธงอย่าง Ray-Ban Display แล้ว Meta ยังได้เปิดตัวแว่นตาอัจฉริยะรุ่นอื่นๆ พร้อมกัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงกลยุทธ์การสร้างระบบนิเวศที่หลากหลายเพื่อตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกันของผู้ใช้งาน

Ray-Ban Meta (Gen 2) คือรุ่นอัปเกรดของแว่นตาอัจฉริยะแบบไม่มีหน้าจอที่ได้รับความนิยมอยู่แล้ว โดยมีการปรับราคาขึ้นจาก 299 ดอลลาร์สหรัฐ เป็น 379 ดอลลาร์สหรัฐ แลกกับแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานขึ้นสองเท่าเป็น 8 ชั่วโมง และกล้องที่สามารถถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงระดับ 3K ได้

สำหรับกลุ่มผู้ใช้งานที่ชื่นชอบการเล่นกีฬา Meta ได้เปิดตัว Meta Oakley Vanguard แว่นตาทรงสปอร์ตที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ ราคา 499 ดอลลาร์สหรัฐมีดีไซน์แบบโอบรอบใบหน้า ทนทานต่อน้ำมากขึ้น ลำโพงที่ดังกว่า และสามารถเชื่อมต่อกับนาฬิกาออกกำลังกายของ Garmin เพื่อติดตามข้อมูลสุขภาพผ่านผู้ช่วย AI ได้ตามที่ CNBC รายงาน

การเปิดตัวผลิตภัณฑ์หลายรุ่นพร้อมกันแสดงให้เห็นว่า Meta ไม่ได้มองแค่ตลาดเดียว แต่มองเห็นโอกาสในการสร้างอุปกรณ์ที่ตอบโจทย์การใช้งานเฉพาะทาง ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ชาญฉลาดในการสร้างฐานผู้ใช้งานให้กว้างขึ้น

 

ความท้าทายในโลกจริง
จากเวทีสู่มือผู้บริโภค

แม้ว่าวิสัยทัศน์ของ Meta จะดูยิ่งใหญ่ แต่ความเป็นจริงที่ว่าเทคโนโลยีนี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นก็ได้ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนบนเวทีเปิดตัว เมื่อซักเคอร์เบิร์กพยายามสาธิตการใช้งานจริง แต่กลับพบกับปัญหาทางเทคนิคซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ทั้งการโทรวิดีโอคอลหาบอสเวิร์ธที่ไม่สำเร็จ ไปจนถึงการที่ผู้ช่วย AI ไม่สามารถสร้างคำตอบที่เข้าใจได้ ซึ่งซักเคอร์เบิร์กก็ได้แต่แก้ต่างไปว่า “คุณซ้อมเรื่องพวกนี้เป็นร้อยครั้ง แต่มันก็เกิดขึ้นได้”

ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นสดๆ นี้ เป็นเครื่องย้ำเตือนถึงบทเรียนราคาแพงจาก Google Glass ที่เคยเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ในปี 2012 แต่กลับล้มเหลวไม่เป็นท่าเนื่องจากราคาที่สูงเกินไป, ฟีเจอร์ที่ยังไม่ตอบโจทย์ และความกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว บอสเวิร์ธเองก็ยอมรับในเรื่องนี้ในการให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg ว่า “จังหวะเวลาคือทุกสิ่ง ไม่มีไอเดียที่แย่ในซิลิคอนแวลลีย์ มีแต่จังหวะเวลาที่แย่เท่านั้น”

การเดิมพันของ Meta ในครั้งนี้จึงขึ้นอยู่กับความเชื่อที่ว่า ‘จังหวะเวลาที่เหมาะสมได้มาถึงแล้ว’ อย่างไรก็ตาม เส้นทางข้างหน้าก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะคู่แข่งรายใหญ่อย่าง Apple, Google และ Samsung ก็กำลังซุ่มพัฒนาแว่นตาอัจฉริยะของตนเองอยู่เช่นกัน และคาดว่าจะเข้าสู่ตลาดในอีกไม่ช้า

 

 

อนาคตที่ไกลกว่าแว่นตา
‘AR, นาฬิกา และคอนแทคเลนส์’

สำหรับ Meta แล้ว แว่นตา Ray-Ban Display เป็นเพียงบันไดขั้นแรกที่นำไปสู่วิสัยทัศน์ที่ยิ่งใหญ่กว่า นั่นคือแว่นตา Augmented Reality (AR) เต็มรูปแบบที่สามารถซ้อนทับกราฟิกสามมิติเข้ากับโลกจริงได้อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่ง Bloomberg รายงานว่าบริษัทมีแผนจะเปิดตัวสู่ผู้บริโภคในปี 2027

บอสเวิร์ธยังได้เปิดเผยถึงโครงการอื่นๆ ที่กำลังทดลองอยู่ใน Reality Labs ซึ่งรวมถึง สมาร์ทวอทช์ ที่เขาบอกว่า “พัฒนาไปไกลมากแล้ว” และมีความคืบหน้าที่ ‘น่าตื่นเต้นอย่างยิ่ง’ ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา

นอกจากนี้ ในระยะที่ไกลออกไป ทีมงานยังได้วิจัยเกี่ยวกับ คอนแทคเลนส์อัจฉริยะ ที่อาจเข้ามาแทนที่แว่นตาได้ในอนาคต แต่ก็ยอมรับว่ายังมีอุปสรรคทางเทคโนโลยีที่สูงมาก

 

ภาพสุดท้ายที่ Meta วาดไว้คือโลกที่ AI กลายเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง และอาจทำให้ยุคของแอปพลิเคชันสิ้นสุดลง

“AI คือทางออกที่ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง” บอสเวิร์ธกล่าว สำหรับการเข้ามาแทนที่แอปพลิเคชันจำนวนมหาศาลที่ผู้คนต้องดาวน์โหลดลงบนอุปกรณ์ของตนเองในปัจจุบัน

เรื่องราวของคอมพิวเตอร์สวมใส่ได้ยังคงอยู่ในหน้าแรกๆ ของประวัติศาสตร์ และ Ray-Ban Display คือหมึกบทแรกที่ Meta ได้จรดลงไปอย่างเป็นรูปธรรมที่สุด แม้จะยังมีความท้าทายอีกมากมายรออยู่เบื้องหน้า

 

แต่ก้าวแรกที่กล้าหาญนี้ก็ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว และโลกทั้งใบกำลังจับตามองว่า การเดิมพันมูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์ในครั้งนี้ จะกลายเป็นเพียงเชิงอรรถในประวัติศาสตร์เทคโนโลยี หรือจะกลายเป็นบทที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบทต่อไปของวิวัฒนาการมนุษย์

[อ่าน 115]
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ไมโครซอฟท์ เผย 7 เทรนด์ AI ปี 2026
โลกการบินสะเทือน! Riyadh Air เปิดยุคใหม่ของสายการบินที่ ‘เกิดมาพร้อม AI’
TUTTOFOOD 2026 เตรียมระเบิดความยิ่งใหญ่กลางมิลาน! คาดคนแห่ร่วมงานทะลุแสน – โอกาสทองผู้ประกอบการไทยบุกตลาดโลก!
สมการใหม่ของ Apple เบื้องหลัง iPhone ราคา 2,000 ดอลลาร์ และกลยุทธ์ในวันที่ตลาดอิ่มตัว
ปฏิบัติการ รีแบรนด์ Microsoft Office เมื่อ “AI” เข้ามาเปลี่ยนวิธีคิดการดีไซน์
ทำไม JW Anderson จึงโดดเด่นในการออกแบบกระเป๋าถืออันเป็นเอกลักษณ์
MAGAZINE UPDATE
Owner
DOUBLE D CREATION Co.,Ltd.
เอเวอร์กรีนวิว ทาวเวอร์ ชั้น 4
เลขที่ 22/43 ซอยบางนา-ตราด 56 ถนนบางนา-ตราด
แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร 10260
Tel : 0-2751-4995-6
Mobile : 062-194-4561
Advertising
ติดต่อโฆษณา และ การตลาด
คุณศุภากร ยาตพงศ์ (บู)
Mobile : 08-1355-3636
Tel : 0-2751-4995-6
E-mail : market-plus@hotmail.com
info@marketplus.in.th
PR News
ส่งข่าวประชาสัมพันธ์
E-mail : info@marketplus.in.th,
market-plus@hotmail.com,
marketplus@hotmail.co.th
Copyright © 2016 DOUBLE D CREATION Co.,Ltd. All rights Reserved