วิกฤติโลกร้อน ส่งผลให้เกิดภัยธรรมชาติหลายประการ โดยคาดว่า หากอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้น 3 องศาเซลเซียสภายในปี 2100 จะก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจมหาศาล แต่แม้จะยังไม่ถึงเวลานั้น แต่ความเสียหายต่างๆ ก็เริ่มเห็นได้ชัดเจนแล้ว
'น้ำท่วม' ที่มาพร้อมความเสียหาย
สำหรับ Delta Electronics การที่น้ำท่วมฉับพลันในเดือนสิงหาคม 2021 โดยใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก็ท่วมบางปู เขตอุตสาหกรรมนอกกรุงเทพฯ ริมอ่าวไทย แม้ในวันรุ่งขึ้นน้ำจะลดลงแต่ได้ความเสียหายต่อสินค้าคงคลังและทรัพย์สินเป็นมูลค่ากว่า 393 ล้านบาท
รายงานของ Nikkei Asia เผยว่า บางปูเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ โรงงาน 4 แห่ง และโกดัง 2 แห่งสำหรับบริษัทไต้หวันแห่งนี้ ซึ่งผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์สำหรับจำหน่ายไฟฟ้า เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า และศูนย์ข้อมูล
"น้ำท่วมมาเร็วเกินไป" เคเค ชอง หัวหน้าฝ่ายการพัฒนาที่ยั่งยืนของเดลต้า อิเลคโทรนิคส์ ประเทศไทย กล่าว
สิ่งที่ต้องจับตามองคือภัยพิบัติที่เกิดจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นและระดับน้ำทะเล กำลังจะเป็นผลกระทบที่สร้างความเสียหายทางการเงินให้กับธุรกิจต่างๆ โดยความเสี่ยงนั้นกินขอบเขตในอุตสาหกรรมในเอเชีย เมืองท่าหลัก 13 แห่งในเอเชียเป็นหนึ่งใน 20 มหานครที่เผชิญกับความสูญเสียประจำปีจากน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่สุด
ตามข้อมูลของ OECD ประเทศไทยเพียงแห่งเดียวประสบความสูญเสียมูลค่า 44,000 ล้านดอลลาร์จากอุทกภัยในปี 2554 เมื่อนิคมอุตสาหกรรม 7 แห่งและโรงงาน 839 แห่งได้รับความเสียหายต่อทรัพย์สินและการหยุดชะงักของซัพพลายเชน
ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ความเสี่ยงที่สำคัญจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเริ่มปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนในรายงานทางการเงินของบริษัทในเอเชียแปซิฟิก แรงผลักดันไม่ได้มาจากผู้บริหารในการเตรียมธุรกิจของตนให้พร้อมสำหรับสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายลงเท่านั้น แต่ยังมาจากนักลงทุนและบริษัทลูกค้าในซัพพลายเชนอีกด้วย
"เราเชื่อว่าการเปิดเผยข้อมูลสภาพอากาศที่โปร่งใสและมีประสิทธิภาพซึ่งรวมเข้ากับการรายงานทางการเงินตามปกติของธุรกิจเป็นพื้นฐานของการจัดการความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับสภาพอากาศ" Asia Investor Group on Climate Change ซึ่งเป็นพันธมิตรของนักลงทุนสถาบันมากกว่า 60 รายเขียนถึง สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกา
ความเสี่ยงเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งใหม่สำหรับผู้ผลิตที่ดำเนินงานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งผู้พัฒนาเขตอุตสาหกรรมแข่งขันกันเพื่อแย่งชิงผู้เช่าโดยอาศัยการป้องกันน้ำท่วมและสภาพอากาศที่รุนแรง
หลังจากน้ำท่วมปี 2021 การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้แก้ไขเกณฑ์การออกแบบมาตรการป้องกัน - ปรับปรุงการระบายน้ำ เพิ่มแนวกั้นน้ำท่วม และติดตั้งระบบติดตามและเตือนภัยน้ำ ทุ่มงบกว่า 5 พันล้านบาทสร้างเขื่อนกั้นน้ำในนิคมฯ 6 แห่ง
ความเสี่ยงจาก 'น้ำ'
สำหรับบริษัทอาหารและเครื่องดื่ม “น้ำท่วม: เป็นความเสี่ยงที่ใกล้เข้ามาที่สุดก็จริง แต่การขาดแคลนวัตถุดิบและน้ำจะขัดขวางแนวโน้มธุรกิจในระยะยาว ในการวิเคราะห์สถานการณ์ด้านสภาพอากาศ Nissin Foods ได้ระบุสถานที่สี่แห่งในญี่ปุ่นและหนึ่งแห่งในต่างประเทศที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดน้ำท่วม และอีกเจ็ดแห่งในต่างประเทศและโรงงานในญี่ปุ่นสี่แห่งที่เสี่ยงต่อการขาดแคลนน้ำ
ความร้อนที่เพิ่มขึ้นและฤดูแล้งที่ยาวนานขึ้นทำให้ปริมาณน้ำจืดสำรองหมดไป ซึ่งจำเป็นสำหรับการผลิตเครื่องดื่มและการผลิตชิปโดยภัย แล้งในไต้หวันเมื่อปีที่แล้วจุดประกายความกังวลเรื่องการหยุดชะงักของอุปทานชิป เมื่อรัฐบาลขอให้บริษัทต่างๆ ลดการใช้น้ำลงหนึ่งในสิบ ผู้ผลิตชิปรายใหญ่อย่าง Taiwan Semiconductor Manufacturing Co. สามารถใช้น้ำได้มากกว่า 200,000 ตันต่อวัน
นอกจากนี้ไทยเบฟยังระบุผลผลิตพืชผลที่ลดลงเป็นความเสี่ยงต่อซัพพลายเช่น โดยจากการวางแผนสถานการณ์ของ Nissin Foods บริษัทคาดว่าจะได้รับผลกระทบสูงต่อธุรกิจจากการขาดแคลนข้าวสาลีและถั่วเหลืองจากสหรัฐอเมริกา กุ้งจากอินเดีย น้ำมันปาล์มจากมาเลเซียและอินโดนีเซีย หากอุณหภูมิสูงขึ้นระหว่าง 1 ถึง 4 องศาเซลเซียสจากระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม
“ทุกอย่างจะส่งผลกระทบต่อระบบอาหาร อุณหภูมิจะไม่เหมาะสำหรับการปลูกพืชตามปกติ” เจนิกา คอนเดอครูซ ผู้จัดการฝ่ายนวัตกรรมองค์กรและความยั่งยืนของเนสท์เล่ ประเทศไทย กล่าว
บริษัทต่างๆ ยังต้องคิดราคาต้นทุนการเปลี่ยนแปลงด้วย สำหรับไทยเบฟ นั่นหมายถึงอัตราค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้นสำหรับการใช้น้ำในประเทศไทย ขณะที่ Nissin Foods คาดว่าจะมีการกำหนดราคาคาร์จะทำให้มีค่าใช้จ่าย 18 - 455 ล้านดอลลาร์ ให้กับต้นทุนการดำเนินงานในอีก 30 ปีข้างหน้า
นั้นแปลได้ว่า ต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องสิ่งแวดล้อม กำลังจะกลายเป็นเรื่องสำคัญที่บริษัทต่างๆ มองข้ามไม่ได้ไปเสียแล้ว