มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก เดิมพันครั้งสุดท้าย? คว้า ‘อเล็กซานเดอร์ หวัง’ ขุนศึก AI ปั้นฝัน Superintelligence
13 Aug 2025

ในประวัติศาสตร์ของซิลิคอนแวลลีย์ มีช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านที่สำคัญอยู่ไม่กี่ครั้ง ไม่ว่าจะเป็นยุคปฏิวัติคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล การถือกำเนิดของอินเทอร์เน็ต หรือการมาถึงของสมาร์ทโฟน และในวันนี้ เรากำลังอยู่ในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง นั่นคือยุคของปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่อาจจะยิ่งใหญ่และรุนแรงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา

ท่ามกลางกระแส “ตื่นทอง” แห่งยุค AI นี้เอง ที่บริษัทเทคโนโลยีกำลังต่อสู้อย่างดุเดือดเพื่อชิงความเป็นหนึ่ง และชื่อของ Meta Platforms กับซีอีโออย่าง มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก กลับตกอยู่ในสถานะที่น่าอึดอัด แม้จะเป็นเจ้าแห่งโลกโซเชียลมีเดียและเคยทุ่มเงินมหาศาลไปกับวิสัยทัศน์ Metaverse แต่ในสมรภูมิที่สำคัญที่สุดแห่งทศวรรษ พวกเขากลับถูกมองว่าเป็นผู้ตามหลัง

 

ChatGPT เกิด Meta ก็สะเทือน

ความสำเร็จระดับปรากฏการณ์ของ ChatGPT จาก OpenAI ได้สร้างแรงกดดันมหาศาลให้กับยักษ์ใหญ่ทุกราย แม้ Meta จะมีเครื่องมือ AI ที่ทรงพลังฝังอยู่ในระบบนิเวศของตนเองมานาน ไม่ว่าจะเป็นอัลกอริทึมแนะนำคอนเทนต์ ระบบจัดการโฆษณา หรือฟีเจอร์ในแว่นตา Ray-Ban

แต่สิ่งเหล่านี้เป็นเพียง AI ที่ใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพระบบหลังบ้าน ไม่ใช่ Generative AI ที่เปลี่ยนแปลงโลกได้อย่างที่สาธารณชนกำลังตื่นตาตื่นใจ

แรงกดดันนี้อาจมีมิติที่ลึกซึ้งกว่าแค่เรื่องธุรกิจ สำหรับซักเคอร์เบิร์กแล้ว การเดิมพันครั้งใหญ่ใน Metaverse ยังไม่ได้รับการยอมรับจากตลาดและสาธารณชนเท่าที่ควร การหันมาทุ่มสุดตัวให้กับ AI จึงอาจเป็นการเดิมพันครั้งใหม่ที่สำคัญยิ่งกว่า เป็นการแสวงหาความเชื่อมั่นครั้งใหม่และอาจเป็นการกลับไปสู่รากเหง้าของวัฒนธรรมแบบแฮกเกอร์ที่เคยสร้างความสำเร็จให้กับเขามาแล้ว

 

ความรู้สึกของการเป็นรองนี้ได้สะสมจนกลายเป็นความหงุดหงิดส่วนตัวของซักเคอร์เบิร์ก โดยเฉพาะเมื่อโมเดลภาษา Llama 4 ซึ่งเป็นความหวังใหม่ล่าสุด ไม่สามารถสร้างความประทับใจให้นักพัฒนาได้เท่าที่ควร

จีน มุนสเตอร์ นักวิเคราะห์ชื่อดังถึงกับชี้ว่า นี่คือ “เครื่องยืนยันว่าโครงการ Llama กำลังมีปัญหา” และความรู้สึกนี้ได้ผลักดันให้ซักเคอร์เบิร์กต้องลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่างที่เด็ดขาดและรวดเร็ว

 

 

ความหมกมุ่นของเขาปรากฏชัดผ่านการกระทำที่ไม่ธรรมดา ซีอีโอระดับโลกอย่างเขาถึงกับลงทุนนัดพบผู้เชี่ยวชาญด้าน AI เป็นการส่วนตัวที่บ้านพักของเขาในเลคทาโฮและพาโลอัลโต อีกทั้งยังสั่งปรับผังสำนักงานใหญ่ที่เมนโลพาร์ก เพื่อย้ายทีม AI ใหม่ทั้งหมดมาอยู่ใกล้กับห้องทำงานของเขาโดยตรง

ความเคลื่อนไหวนี้ไม่ใช่แค่การบริหารงาน แต่เป็นการส่งสัญญาณว่าภารกิจนี้คือความอยู่รอดของบริษัท และ ซักเคอร์เบิร์ก จะลงมาคุมทัพด้วยตัวเอง

ภารกิจที่ว่านี้ไม่ใช่แค่การสร้าง AI ทั่วไป แต่คือการปั้น “Superintelligence” หรือปัญญาประดิษฐ์ที่ทรงภูมิปัญญายิ่งกว่ามนุษย์ ซึ่งถือเป็นเป้าหมายสูงสุดในวงการ และเพื่อไปให้ถึงจุดนั้น ซักเคอร์เบิร์กได้เลือกเดินในเส้นทางที่สั่นสะเทือนไปทั้งซิลิคอนแวลลีย์

 

เบื้องหลังดีลมูลค่า 1.43 หมื่นล้านดอลลาร์

การตัดสินใจของ Meta ในการอัดฉีดเงินลงทุนสูงถึง 1.43 หมื่นล้านดอลลาร์ แลกกับการถือหุ้น 49% ใน Scale AI (โดยไม่มีสิทธิ์ออกเสียง) นั้นมีนัยยะที่เป็นมากกว่าแค่ตัวเลข เบื้องหลังข้อตกลงนี้คือการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า Meta กำลังเปลี่ยนยุทธศาสตร์จากการสร้างเองทั้งหมด มาสู่การซื้อตัวและเทคโนโลยีที่ดีที่สุดเข้ามาเสริมทัพ

โครงสร้างของข้อตกลงนี้มีความน่าสนใจอย่างยิ่ง การที่ Meta เลือกที่จะไม่ซื้อบริษัททั้งหมด แต่กลับถือหุ้นในสัดส่วนที่ไม่มีอำนาจควบคุม เป็นการเปิดทางให้ Scale AI ยังคงสามารถให้บริการลูกค้ารายใหญ่อื่นๆ ที่เป็นคู่แข่งโดยตรงของ Meta ได้

ไม่ว่าจะเป็น Microsoft, Google หรือแม้กระทั่ง OpenAI เองก็ตาม โดยมีคำรับรองอย่างหนักแน่นว่าข้อมูลของลูกค้าจะยังคงเป็นความลับสูงสุด

 

การเคลื่อนไหวนี้ชี้ให้เห็นว่าซักเคอร์เบิร์กไม่ได้ต้องการแค่เทคโนโลยีของ Scale AI แต่เขาต้องการมันสมองและทีมงานของคนที่สร้างเทคโนโลยีนั้นขึ้นมา นั่นคือ อเล็กซานเดอร์ หวัง (Alexandr Wang) ซีอีโอและผู้ก่อตั้งวัย 28 ปีของ Scale AI

หวังได้ประกาศการตัดสินใจครั้งสำคัญนี้ผ่านบันทึกถึงพนักงานว่า “โอกาสที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้มักมาพร้อมกับราคาที่ต้องจ่ายเสมอ และในครั้งนี้ ราคาที่ว่านั้นคือการจากไปของผมเอง”

 

อเล็กซานเดอร์ หวัง เขาคือใคร?

ด้วยวัยเพียง 28 ปี หวังได้สร้างตัวเองจนกลายเป็นมหาเศรษฐีพันล้านที่อายุน้อยที่สุดในลิสต์ของ Forbes ประจำปี 2025 เขาคือผู้ก่อตั้งอาณาจักร AI ที่ขับเคลื่อนด้วยแรงงานมนุษย์กว่า 100,000 คน ผ่านบริษัทย่อยอย่าง Remotasks ซึ่งทำหน้าที่ Data Labeling ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญในการป้อนและจัดระเบียบข้อมูลเพื่อให้ระบบ AI สามารถเข้าใจภาษามนุษย์ได้อย่างถ่องแท้

หัวใจของ Generative AI คือข้อมูลที่ใช้ฝึกฝน โมเดลปัญญาประดิษฐ์จะดีและฉลาดได้ก็ต่อเมื่อได้รับข้อมูลที่มีคุณภาพสูง ปราศจากอคติ และมีความหลากหลาย

 

 

การมีอยู่ของ Scale AI จึงเปรียบเสมือนการเป็นผู้จัดหาวัตถุดิบที่บริสุทธิ์ที่สุดในยุคดิจิทัล พวกเขาไม่ได้แค่คัดกรองข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต แต่ยังสร้างข้อมูลใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน เพื่อป้อนให้กับ AI โดยเฉพาะ

งานของ Scale AI  อาจเป็นการเขียนกลอนไฮกุ สรุปข่าว หรือแต่งเรื่องราวในภาษาต่างๆ ที่ไม่ค่อยมีคนใช้ เช่น ภาษาโซซาและภาษาอูรดู เพื่อให้แชทบอทมีคลังข้อมูลทางภาษาที่หลากหลายและสมบูรณ์ที่สุด

หวังเปรียบเทียบว่าบทบาทของบริษัทเขาในการปฏิวัติ AI ก็ไม่ต่างจากชิปของ Nvidia เขาเคยกล่าวปรัชญาสำคัญที่ผลักดันให้ก่อตั้งบริษัทไว้กับ Forbes ว่า “ข้อมูลคือโค้ดแห่งยุคใหม่” (Data is the new code) ซึ่งกลายเป็นวิสัยทัศน์ที่ทำให้ Scale AI เติบโตอย่างก้าวกระโดด

 

เขาเกิดที่ลอสอาลามอส รัฐนิวเม็กซิโก โดยมีพ่อแม่เป็นผู้อพยพชาวจีนที่ทำงานเป็นนักฟิสิกส์ในห้องปฏิบัติการแห่งชาติลอสอาลามอส ทำให้เขาเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ขั้นสูง จิตวิญญาณของผู้ประกอบการของเขาเริ่มฉายแววตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เมื่อเขาสร้าง Google Doc เพื่อรวบรวมไอเดียสตาร์ทอัพกับเพื่อน

ความทะเยอทะยานของเขาผลักดันให้เรียนจบมัธยมปลายได้เร็วกว่าเพื่อนร่วมรุ่นหนึ่งปี เพื่อจะพุ่งตัวเข้าสู่ซิลิคอนแวลลีย์และทำงานเป็นวิศวกรที่ Quora ประสบการณ์ครั้งนั้นได้หล่อหลอมเขาอย่างมาก เขาเคยเขียนเล่าไว้ว่า “ความรู้สึกที่ได้คือเหมือนผมได้เปลี่ยนจากแค่คนเขียนโค้ดตามสั่งไปเป็นสถาปนิกที่ออกแบบระบบได้อย่างถูกต้องในเวลาไม่กี่เดือน”

หลังจากนั้นเขาได้เข้าศึกษาต่อด้านคณิตศาสตร์และวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่ MIT แต่ด้วยจิตวิญญาณที่ร้อนแรง เขาตัดสินใจลาออกกลางคัน “ผมรู้ว่าตัวเองจะเสียใจอย่างแน่นอน หากไม่คว้าโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นผู้ประกอบการในช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด” เขาเขียนไว้ในบล็อกส่วนตัว

 

ในปี 2016 หวังได้นำไอเดียของเขาเข้าสู่ Y Combinator โครงการบ่มเพาะสตาร์ทอัพที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก ซึ่งในขณะนั้นมี แซม อัลต์แมน (ปัจจุบันคือซีอีโอของ OpenAI) เป็นหัวหน้า หลังจากนั้นไม่นาน เขากับ ลูซี กัว (Lucy Guo) ผู้ร่วมก่อตั้ง ก็ได้ขยายแนวคิดและก่อตั้ง Scale AI ขึ้นมา

แม้ในช่วงแรกจะล้มลุกคลุกคลาน แต่จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญก็มาถึงเมื่อพวกเขาหันไปเฉพาะเจาะจงที่การจัดการข้อมูลจากเซ็นเซอร์และ Computer Vision จนสามารถดึงลูกค้ารายใหญ่อย่าง Cruise และ Tesla เข้ามาใช้บริการได้

วัฒนธรรมการทำงานที่ดุดันภายใต้มนต์อย่าง “ทำไมไม่เร็วกว่านี้ล่ะ” (Why Not Faster) และ “วิ่งทะลุกำแพง” (Run Through Walls) ทำให้บริษัทเติบโตอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นยูนิคอร์นในปี 2019

แม้จะเคยเจอวิกฤตในปี 2023 จากภาวะตลาดเทคโนโลยีที่ตกต่ำ ซึ่งรวมถึงการที่ Meta ยกเลิกสัญญามูลค่า 40 ล้านดอลลาร์ และต้องปลดพนักงานออกถึง 20% แต่ Scale AI ก็สามารถฟื้นตัวกลับมาได้อย่างแข็งแกร่งหลังกระแส ChatGPT บูมขึ้นทั่วโลก จนได้เซ็นสัญญากับ Google เพื่อสนับสนุนโมเดล Gemini ในที่สุด

 

 

สงครามแย่งชิงคน ไม่ใช่แค่เทคโนโลยี

การทุ่มเงินมหาศาลเพื่อดึงตัวหวังมาร่วมทัพเป็นเพียงส่วนหนึ่งของแผนการที่ใหญ่กว่าของ Meta ในช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2025 มีข่าวล่าสุดว่า Meta ได้สร้างความสั่นสะเทือนอีกครั้งด้วยการดึงตัวนักวิจัยระดับหัวกะทิจาก OpenAI จำนวน 4 คนเข้าร่วมทีม Superintelligence ที่เพิ่งตั้งขึ้นใหม่

เพราะมีรายงานว่า Meta พยายามเจรจากับผู้เชี่ยวชาญด้าน AI ระดับท็อปอีกหลายคน อาทิ แดเนียล กรอส ซีอีโอของ Safe Superintelligence และ แนท ฟรีดแมน ผู้ก่อตั้งเดิมของ GitHub รวมถึงเคยพยายามจะซื้อกิจการ Perplexity AI แต่ไม่สามารถตกลงกันได้

การเดินสายชอปปิงแบบไม่เกรงใจใครนี้ ทำให้ แซม อัลต์แมน ซีอีโอของ OpenAI ต้องออกมาให้สัมภาษณ์ในพอดแคสต์เชิงโจมตีว่าซักเคอร์เบิร์กพยายามเสนอเงินก้อนโตเพื่อดึงคนของเขา

“ผมได้ยินมาว่า Meta มองเราเป็นคู่แข่งที่ใหญ่ที่สุด” อัลต์แมนกล่าว “ความพยายามด้าน AI ของพวกเขาในปัจจุบันยังไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่หวัง”

 

อัลต์แมนยังชี้ว่ากลยุทธ์การทุ่มเงินซื้อตัวคนเก่งแบบนี้จะไม่ได้สร้างวัฒนธรรมแห่งนวัตกรรมที่แท้จริง “คุณจะไปถึงแค่จุดที่คู่แข่งเคยอยู่เสมอ แต่จะไม่ได้สร้างวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้ที่จะคิดค้นนวัตกรรมด้วยตัวเอง” เขากล่าวอย่างเผ็ดร้อน

แต่สำหรับซักเคอร์เบิร์กที่กำลังเดิมพันอนาคตทั้งหมดของบริษัทไว้กับ AI ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สนใจคำวิจารณ์ใดๆ กลยุทธ์ของ Meta นั้นชัดเจน คือการใช้โมเดล Llama แบบโอเพนซอร์สเป็นเหมือน “Android สำหรับ AI” เพื่อให้นักพัฒนาทั่วโลกนำไปต่อยอด ซึ่งทุกครั้งที่มีคนนำไปปรับปรุง Meta ก็จะได้เรียนรู้และพัฒนาโมเดลของตัวเองให้เก่งขึ้นไปอีก

ดังนั้น การทุ่มเงินเพื่อซื้อตัวบุคลากรระดับสุดยอดจึงเป็นทางลัดที่จำเป็น ที่ไม่ทำไม่ได้แล้วในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้

 

นักวิเคราะห์บางคนอย่าง แดเนียล นิวแมน จาก Futurum Group มองว่าตลาดยังประเมิน Meta ต่ำเกินไป “พวกเขาได้สร้างรางรถไฟสำหรับวงการ AI โอเพนซอร์สไปแล้ว สิ่งต่างๆ มากมายที่เกิดขึ้นในวงการ AI ตอนนี้ล้วนสร้างอยู่บนสิ่งที่ Meta ทำไว้” เขากล่าว ซึ่งนี่เป็นมุมมองที่น่าสนใจ

การเดิมพันครั้งนี้ของซักเคอร์เบิร์กจึงมีความเสี่ยงสูงอย่างยิ่ง การทุ่มอนาคตของบริษัทไว้บนบ่าของขุนศึกหนุ่มวัย 28 ปี และการสาดเงินเพื่อดูดบุคลากรจากคู่แข่ง คือกลยุทธ์ที่อาจจะนำพา Meta ไปสู่การเป็นผู้นำแห่งยุคสมัย หรืออาจกลายเป็นหนึ่งในความผิดพลาดที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์ของซิลิคอนแวลลีย์ก็เป็นได้

[อ่าน 16,098]
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
สมการใหม่ของ Apple เบื้องหลัง iPhone ราคา 2,000 ดอลลาร์ และกลยุทธ์ในวันที่ตลาดอิ่มตัว
ปฏิบัติการ รีแบรนด์ Microsoft Office เมื่อ “AI” เข้ามาเปลี่ยนวิธีคิดการดีไซน์
ทำไม JW Anderson จึงโดดเด่นในการออกแบบกระเป๋าถืออันเป็นเอกลักษณ์
สี จิ้นผิง–เผิง ลี่หยวน เปิดงานเลี้ยงต้อนรับผู้นำ SCO 2025 ที่เทียนจิน โชว์บทบาทเจ้าภาพผลักดันความร่วมมือภูมิภาค
AI ไม่ได้ฆ่า Google Search? เบื้องหลังปราการป้องกันที่แข็งแกร่งกว่าที่คิด
“มาห์เล” เร่งเครื่องนวัตกรรมยานยนต์ ลดคาร์บอนด้วยเทคโนโลยีหลากหลาย – หนุนสหภาพยุโรปแก้กฎหมาย CO₂
MAGAZINE UPDATE
Owner
DOUBLE D CREATION Co.,Ltd.
เอเวอร์กรีนวิว ทาวเวอร์ ชั้น 4
เลขที่ 22/43 ซอยบางนา-ตราด 56 ถนนบางนา-ตราด
แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร 10260
Tel : 0-2751-4995-6
Mobile : 062-194-4561
Advertising
ติดต่อโฆษณา และ การตลาด
คุณศุภากร ยาตพงศ์ (บู)
Mobile : 08-1355-3636
Tel : 0-2751-4995-6
E-mail : market-plus@hotmail.com
info@marketplus.in.th
PR News
ส่งข่าวประชาสัมพันธ์
E-mail : info@marketplus.in.th,
market-plus@hotmail.com,
marketplus@hotmail.co.th
Copyright © 2016 DOUBLE D CREATION Co.,Ltd. All rights Reserved