ในประวัติศาสตร์ของซิลิคอนแวลลีย์ มีช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านที่สำคัญอยู่ไม่กี่ครั้ง ไม่ว่าจะเป็นยุคปฏิวัติคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล การถือกำเนิดของอินเทอร์เน็ต หรือการมาถึงของสมาร์ทโฟน และในวันนี้ เรากำลังอยู่ในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง นั่นคือยุคของปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่อาจจะยิ่งใหญ่และรุนแรงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
ท่ามกลางกระแส “ตื่นทอง” แห่งยุค AI นี้เอง ที่บริษัทเทคโนโลยีกำลังต่อสู้อย่างดุเดือดเพื่อชิงความเป็นหนึ่ง และชื่อของ Meta Platforms กับซีอีโออย่าง มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก กลับตกอยู่ในสถานะที่น่าอึดอัด แม้จะเป็นเจ้าแห่งโลกโซเชียลมีเดียและเคยทุ่มเงินมหาศาลไปกับวิสัยทัศน์ Metaverse แต่ในสมรภูมิที่สำคัญที่สุดแห่งทศวรรษ พวกเขากลับถูกมองว่าเป็นผู้ตามหลัง
ChatGPT เกิด Meta ก็สะเทือน
ความสำเร็จระดับปรากฏการณ์ของ ChatGPT จาก OpenAI ได้สร้างแรงกดดันมหาศาลให้กับยักษ์ใหญ่ทุกราย แม้ Meta จะมีเครื่องมือ AI ที่ทรงพลังฝังอยู่ในระบบนิเวศของตนเองมานาน ไม่ว่าจะเป็นอัลกอริทึมแนะนำคอนเทนต์ ระบบจัดการโฆษณา หรือฟีเจอร์ในแว่นตา Ray-Ban
แต่สิ่งเหล่านี้เป็นเพียง AI ที่ใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพระบบหลังบ้าน ไม่ใช่ Generative AI ที่เปลี่ยนแปลงโลกได้อย่างที่สาธารณชนกำลังตื่นตาตื่นใจ
แรงกดดันนี้อาจมีมิติที่ลึกซึ้งกว่าแค่เรื่องธุรกิจ สำหรับซักเคอร์เบิร์กแล้ว การเดิมพันครั้งใหญ่ใน Metaverse ยังไม่ได้รับการยอมรับจากตลาดและสาธารณชนเท่าที่ควร การหันมาทุ่มสุดตัวให้กับ AI จึงอาจเป็นการเดิมพันครั้งใหม่ที่สำคัญยิ่งกว่า เป็นการแสวงหาความเชื่อมั่นครั้งใหม่และอาจเป็นการกลับไปสู่รากเหง้าของวัฒนธรรมแบบแฮกเกอร์ที่เคยสร้างความสำเร็จให้กับเขามาแล้ว
ความรู้สึกของการเป็นรองนี้ได้สะสมจนกลายเป็นความหงุดหงิดส่วนตัวของซักเคอร์เบิร์ก โดยเฉพาะเมื่อโมเดลภาษา Llama 4 ซึ่งเป็นความหวังใหม่ล่าสุด ไม่สามารถสร้างความประทับใจให้นักพัฒนาได้เท่าที่ควร
จีน มุนสเตอร์ นักวิเคราะห์ชื่อดังถึงกับชี้ว่า นี่คือ “เครื่องยืนยันว่าโครงการ Llama กำลังมีปัญหา” และความรู้สึกนี้ได้ผลักดันให้ซักเคอร์เบิร์กต้องลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่างที่เด็ดขาดและรวดเร็ว
ความหมกมุ่นของเขาปรากฏชัดผ่านการกระทำที่ไม่ธรรมดา ซีอีโอระดับโลกอย่างเขาถึงกับลงทุนนัดพบผู้เชี่ยวชาญด้าน AI เป็นการส่วนตัวที่บ้านพักของเขาในเลคทาโฮและพาโลอัลโต อีกทั้งยังสั่งปรับผังสำนักงานใหญ่ที่เมนโลพาร์ก เพื่อย้ายทีม AI ใหม่ทั้งหมดมาอยู่ใกล้กับห้องทำงานของเขาโดยตรง
ความเคลื่อนไหวนี้ไม่ใช่แค่การบริหารงาน แต่เป็นการส่งสัญญาณว่าภารกิจนี้คือความอยู่รอดของบริษัท และ ซักเคอร์เบิร์ก จะลงมาคุมทัพด้วยตัวเอง
ภารกิจที่ว่านี้ไม่ใช่แค่การสร้าง AI ทั่วไป แต่คือการปั้น “Superintelligence” หรือปัญญาประดิษฐ์ที่ทรงภูมิปัญญายิ่งกว่ามนุษย์ ซึ่งถือเป็นเป้าหมายสูงสุดในวงการ และเพื่อไปให้ถึงจุดนั้น ซักเคอร์เบิร์กได้เลือกเดินในเส้นทางที่สั่นสะเทือนไปทั้งซิลิคอนแวลลีย์
เบื้องหลังดีลมูลค่า 1.43 หมื่นล้านดอลลาร์
การตัดสินใจของ Meta ในการอัดฉีดเงินลงทุนสูงถึง 1.43 หมื่นล้านดอลลาร์ แลกกับการถือหุ้น 49% ใน Scale AI (โดยไม่มีสิทธิ์ออกเสียง) นั้นมีนัยยะที่เป็นมากกว่าแค่ตัวเลข เบื้องหลังข้อตกลงนี้คือการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า Meta กำลังเปลี่ยนยุทธศาสตร์จากการสร้างเองทั้งหมด มาสู่การซื้อตัวและเทคโนโลยีที่ดีที่สุดเข้ามาเสริมทัพ
โครงสร้างของข้อตกลงนี้มีความน่าสนใจอย่างยิ่ง การที่ Meta เลือกที่จะไม่ซื้อบริษัททั้งหมด แต่กลับถือหุ้นในสัดส่วนที่ไม่มีอำนาจควบคุม เป็นการเปิดทางให้ Scale AI ยังคงสามารถให้บริการลูกค้ารายใหญ่อื่นๆ ที่เป็นคู่แข่งโดยตรงของ Meta ได้
ไม่ว่าจะเป็น Microsoft, Google หรือแม้กระทั่ง OpenAI เองก็ตาม โดยมีคำรับรองอย่างหนักแน่นว่าข้อมูลของลูกค้าจะยังคงเป็นความลับสูงสุด
การเคลื่อนไหวนี้ชี้ให้เห็นว่าซักเคอร์เบิร์กไม่ได้ต้องการแค่เทคโนโลยีของ Scale AI แต่เขาต้องการมันสมองและทีมงานของคนที่สร้างเทคโนโลยีนั้นขึ้นมา นั่นคือ อเล็กซานเดอร์ หวัง (Alexandr Wang) ซีอีโอและผู้ก่อตั้งวัย 28 ปีของ Scale AI
หวังได้ประกาศการตัดสินใจครั้งสำคัญนี้ผ่านบันทึกถึงพนักงานว่า “โอกาสที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้มักมาพร้อมกับราคาที่ต้องจ่ายเสมอ และในครั้งนี้ ราคาที่ว่านั้นคือการจากไปของผมเอง”
อเล็กซานเดอร์ หวัง เขาคือใคร?
ด้วยวัยเพียง 28 ปี หวังได้สร้างตัวเองจนกลายเป็นมหาเศรษฐีพันล้านที่อายุน้อยที่สุดในลิสต์ของ Forbes ประจำปี 2025 เขาคือผู้ก่อตั้งอาณาจักร AI ที่ขับเคลื่อนด้วยแรงงานมนุษย์กว่า 100,000 คน ผ่านบริษัทย่อยอย่าง Remotasks ซึ่งทำหน้าที่ Data Labeling ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญในการป้อนและจัดระเบียบข้อมูลเพื่อให้ระบบ AI สามารถเข้าใจภาษามนุษย์ได้อย่างถ่องแท้
หัวใจของ Generative AI คือข้อมูลที่ใช้ฝึกฝน โมเดลปัญญาประดิษฐ์จะดีและฉลาดได้ก็ต่อเมื่อได้รับข้อมูลที่มีคุณภาพสูง ปราศจากอคติ และมีความหลากหลาย
การมีอยู่ของ Scale AI จึงเปรียบเสมือนการเป็นผู้จัดหาวัตถุดิบที่บริสุทธิ์ที่สุดในยุคดิจิทัล พวกเขาไม่ได้แค่คัดกรองข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต แต่ยังสร้างข้อมูลใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน เพื่อป้อนให้กับ AI โดยเฉพาะ
งานของ Scale AI อาจเป็นการเขียนกลอนไฮกุ สรุปข่าว หรือแต่งเรื่องราวในภาษาต่างๆ ที่ไม่ค่อยมีคนใช้ เช่น ภาษาโซซาและภาษาอูรดู เพื่อให้แชทบอทมีคลังข้อมูลทางภาษาที่หลากหลายและสมบูรณ์ที่สุด
หวังเปรียบเทียบว่าบทบาทของบริษัทเขาในการปฏิวัติ AI ก็ไม่ต่างจากชิปของ Nvidia เขาเคยกล่าวปรัชญาสำคัญที่ผลักดันให้ก่อตั้งบริษัทไว้กับ Forbes ว่า “ข้อมูลคือโค้ดแห่งยุคใหม่” (Data is the new code) ซึ่งกลายเป็นวิสัยทัศน์ที่ทำให้ Scale AI เติบโตอย่างก้าวกระโดด
เขาเกิดที่ลอสอาลามอส รัฐนิวเม็กซิโก โดยมีพ่อแม่เป็นผู้อพยพชาวจีนที่ทำงานเป็นนักฟิสิกส์ในห้องปฏิบัติการแห่งชาติลอสอาลามอส ทำให้เขาเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ขั้นสูง จิตวิญญาณของผู้ประกอบการของเขาเริ่มฉายแววตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เมื่อเขาสร้าง Google Doc เพื่อรวบรวมไอเดียสตาร์ทอัพกับเพื่อน
ความทะเยอทะยานของเขาผลักดันให้เรียนจบมัธยมปลายได้เร็วกว่าเพื่อนร่วมรุ่นหนึ่งปี เพื่อจะพุ่งตัวเข้าสู่ซิลิคอนแวลลีย์และทำงานเป็นวิศวกรที่ Quora ประสบการณ์ครั้งนั้นได้หล่อหลอมเขาอย่างมาก เขาเคยเขียนเล่าไว้ว่า “ความรู้สึกที่ได้คือเหมือนผมได้เปลี่ยนจากแค่คนเขียนโค้ดตามสั่งไปเป็นสถาปนิกที่ออกแบบระบบได้อย่างถูกต้องในเวลาไม่กี่เดือน”
หลังจากนั้นเขาได้เข้าศึกษาต่อด้านคณิตศาสตร์และวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่ MIT แต่ด้วยจิตวิญญาณที่ร้อนแรง เขาตัดสินใจลาออกกลางคัน “ผมรู้ว่าตัวเองจะเสียใจอย่างแน่นอน หากไม่คว้าโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นผู้ประกอบการในช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด” เขาเขียนไว้ในบล็อกส่วนตัว
ในปี 2016 หวังได้นำไอเดียของเขาเข้าสู่ Y Combinator โครงการบ่มเพาะสตาร์ทอัพที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก ซึ่งในขณะนั้นมี แซม อัลต์แมน (ปัจจุบันคือซีอีโอของ OpenAI) เป็นหัวหน้า หลังจากนั้นไม่นาน เขากับ ลูซี กัว (Lucy Guo) ผู้ร่วมก่อตั้ง ก็ได้ขยายแนวคิดและก่อตั้ง Scale AI ขึ้นมา
แม้ในช่วงแรกจะล้มลุกคลุกคลาน แต่จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญก็มาถึงเมื่อพวกเขาหันไปเฉพาะเจาะจงที่การจัดการข้อมูลจากเซ็นเซอร์และ Computer Vision จนสามารถดึงลูกค้ารายใหญ่อย่าง Cruise และ Tesla เข้ามาใช้บริการได้
วัฒนธรรมการทำงานที่ดุดันภายใต้มนต์อย่าง “ทำไมไม่เร็วกว่านี้ล่ะ” (Why Not Faster) และ “วิ่งทะลุกำแพง” (Run Through Walls) ทำให้บริษัทเติบโตอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นยูนิคอร์นในปี 2019
แม้จะเคยเจอวิกฤตในปี 2023 จากภาวะตลาดเทคโนโลยีที่ตกต่ำ ซึ่งรวมถึงการที่ Meta ยกเลิกสัญญามูลค่า 40 ล้านดอลลาร์ และต้องปลดพนักงานออกถึง 20% แต่ Scale AI ก็สามารถฟื้นตัวกลับมาได้อย่างแข็งแกร่งหลังกระแส ChatGPT บูมขึ้นทั่วโลก จนได้เซ็นสัญญากับ Google เพื่อสนับสนุนโมเดล Gemini ในที่สุด
สงครามแย่งชิงคน ไม่ใช่แค่เทคโนโลยี
การทุ่มเงินมหาศาลเพื่อดึงตัวหวังมาร่วมทัพเป็นเพียงส่วนหนึ่งของแผนการที่ใหญ่กว่าของ Meta ในช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2025 มีข่าวล่าสุดว่า Meta ได้สร้างความสั่นสะเทือนอีกครั้งด้วยการดึงตัวนักวิจัยระดับหัวกะทิจาก OpenAI จำนวน 4 คนเข้าร่วมทีม Superintelligence ที่เพิ่งตั้งขึ้นใหม่
เพราะมีรายงานว่า Meta พยายามเจรจากับผู้เชี่ยวชาญด้าน AI ระดับท็อปอีกหลายคน อาทิ แดเนียล กรอส ซีอีโอของ Safe Superintelligence และ แนท ฟรีดแมน ผู้ก่อตั้งเดิมของ GitHub รวมถึงเคยพยายามจะซื้อกิจการ Perplexity AI แต่ไม่สามารถตกลงกันได้
การเดินสายชอปปิงแบบไม่เกรงใจใครนี้ ทำให้ แซม อัลต์แมน ซีอีโอของ OpenAI ต้องออกมาให้สัมภาษณ์ในพอดแคสต์เชิงโจมตีว่าซักเคอร์เบิร์กพยายามเสนอเงินก้อนโตเพื่อดึงคนของเขา
“ผมได้ยินมาว่า Meta มองเราเป็นคู่แข่งที่ใหญ่ที่สุด” อัลต์แมนกล่าว “ความพยายามด้าน AI ของพวกเขาในปัจจุบันยังไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่หวัง”
อัลต์แมนยังชี้ว่ากลยุทธ์การทุ่มเงินซื้อตัวคนเก่งแบบนี้จะไม่ได้สร้างวัฒนธรรมแห่งนวัตกรรมที่แท้จริง “คุณจะไปถึงแค่จุดที่คู่แข่งเคยอยู่เสมอ แต่จะไม่ได้สร้างวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้ที่จะคิดค้นนวัตกรรมด้วยตัวเอง” เขากล่าวอย่างเผ็ดร้อน
แต่สำหรับซักเคอร์เบิร์กที่กำลังเดิมพันอนาคตทั้งหมดของบริษัทไว้กับ AI ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สนใจคำวิจารณ์ใดๆ กลยุทธ์ของ Meta นั้นชัดเจน คือการใช้โมเดล Llama แบบโอเพนซอร์สเป็นเหมือน “Android สำหรับ AI” เพื่อให้นักพัฒนาทั่วโลกนำไปต่อยอด ซึ่งทุกครั้งที่มีคนนำไปปรับปรุง Meta ก็จะได้เรียนรู้และพัฒนาโมเดลของตัวเองให้เก่งขึ้นไปอีก
ดังนั้น การทุ่มเงินเพื่อซื้อตัวบุคลากรระดับสุดยอดจึงเป็นทางลัดที่จำเป็น ที่ไม่ทำไม่ได้แล้วในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้
นักวิเคราะห์บางคนอย่าง แดเนียล นิวแมน จาก Futurum Group มองว่าตลาดยังประเมิน Meta ต่ำเกินไป “พวกเขาได้สร้างรางรถไฟสำหรับวงการ AI โอเพนซอร์สไปแล้ว สิ่งต่างๆ มากมายที่เกิดขึ้นในวงการ AI ตอนนี้ล้วนสร้างอยู่บนสิ่งที่ Meta ทำไว้” เขากล่าว ซึ่งนี่เป็นมุมมองที่น่าสนใจ
การเดิมพันครั้งนี้ของซักเคอร์เบิร์กจึงมีความเสี่ยงสูงอย่างยิ่ง การทุ่มอนาคตของบริษัทไว้บนบ่าของขุนศึกหนุ่มวัย 28 ปี และการสาดเงินเพื่อดูดบุคลากรจากคู่แข่ง คือกลยุทธ์ที่อาจจะนำพา Meta ไปสู่การเป็นผู้นำแห่งยุคสมัย หรืออาจกลายเป็นหนึ่งในความผิดพลาดที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์ของซิลิคอนแวลลีย์ก็เป็นได้