อาร์นด์ ฟรานซ์ ซีอีโอของมาห์เล เผยว่า “การปกป้องสภาพภูมิอากาศต้องไม่ยึดติดเพียงทางเลือกเดียวอย่างรถยนต์ไฟฟ้า 100% แต่ควรเปิดรับระบบขับเคลื่อนแบบไฮบริด ระบบเปลี่ยนน้ำมันเป็นพลังงานไฟฟ้า (range extender) และเครื่องยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงหมุนเวียน เช่น เอทานอลและไฮโดรเจน ซึ่งสามารถลดการปล่อย CO₂ ได้อย่างเป็นรูปธรรม”
เขาย้ำว่า หากกฎหมายยังไม่เปิดรับเทคโนโลยีที่ยั่งยืน มาห์เลอาจต้องชะลอการลงทุนในกลุ่มเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) ที่ปลอดคาร์บอนในยุโรป
เป้าหมายของมาห์เลคือการสร้างระบบขับเคลื่อนทุกรูปแบบที่สนับสนุนการลดคาร์บอน โดยยึดหลัก “Efficiency” หรือประสิทธิภาพสูงสุด ภายใต้แผน “MAHLE 2030+” ซึ่งครอบคลุมเทคโนโลยีหลัก เช่น
Range Extender รุ่นใหม่: เปลี่ยนน้ำมันเป็นไฟฟ้าเพื่อชาร์จแบตฯ เพิ่มระยะทางรถ EV ได้ถึง 1,350 กม. ด้วยเทคโนโลยี Jet Ignition และระบบ 800V ที่ประสิทธิภาพเกิน 42%
โมดูลจัดการความร้อน: เพิ่มระยะทางวิ่งของ EV ได้ 20% ด้วยฮีทปั๊มในตัว พร้อมลดต้นทุนและใช้สารทำความเย็นได้หลากหลาย
พัดลมไบโอนิก: ได้แรงบันดาลใจจากปีกเพนกวิน ใช้ AI ออกแบบให้เสียงเงียบลง 60% และประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 15%
เครื่องยนต์เอทานอล E100: ชิ้นส่วนพัฒนาโดยมาห์เล รองรับการใช้งานเอทานอลเต็มรูปแบบ ลด CO₂ ได้ถึง 70%
ฟรานซ์มองว่าแผนปกป้องสภาพภูมิอากาศจะไม่สมบูรณ์หากขาดเชื้อเพลิงหมุนเวียน โดยตั้งเป้าว่า รถยนต์ที่วิ่งบนท้องถนนต้องใช้เชื้อเพลิงชีวภาพและสังเคราะห์ถึง 30% ภายในปี 2573 ซึ่งเทคโนโลยีของมาห์เลสามารถรองรับได้โดยตรง
ในเชิงองค์กร มาห์เลได้ปรับโครงสร้างทั่วโลกใน 200 วัน พร้อมเปิดโครงการ “Back on Track 2025” เพื่อลดการใช้พลังงาน และนำ AI มาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์ เช่น generative AI สำหรับออกแบบชิ้นส่วน
นวัตกรรมเหล่านี้จะจัดแสดงในงาน IAA Mobility 2025 โดยมาห์เลมุ่งเน้นบทบาทในฐานะพันธมิตรหลักของอุตสาหกรรมยานยนต์โลก โดยไม่จำกัดเฉพาะ EV แต่รวมถึงโซลูชันที่หลากหลาย และครอบคลุมผู้ใช้ในทุกพื้นที่ทั่วโลก
มาห์เลกำลังพิสูจน์ว่า “ความหลากหลาย” คือคำตอบของการลดคาร์บอนในโลกยานยนต์ ไม่ใช่แค่พึ่งพารถไฟฟ้าเท่านั้น แต่ต้องเปิดทางให้เทคโนโลยีอื่นร่วมขับเคลื่อนไปด้วย และถึงเวลาที่กฎหมายต้องปรับตัว เพื่อไม่ให้ยุโรปเสียโอกาสในการเป็นผู้นำอุตสาหกรรมแห่งอนาคต