สำหรับคนไทยชื่อแบรนด์ 'BYD’ อาจเป็นเพียงค่ายรถยนต์ไฟฟ้าน้องใหม่ที่เพิ่งเข้าสู่ตลาดในช่วงปลายปี 2022 แต่ในตลาดโลกแบรนด์จากแดนมังกร เร่งเครื่องแซง 'Tesla’ ขึ้นเป็นผู้ขายรถยนต์ไฟฟ้าอันดับ 1 ของโลก
ขายดีเพราะราคาที่ถูกกว่า
เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์รายงานว่า ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมดของ BYD เพิ่มขึ้น 4% จากเดือนพฤศจิกายนเป็น 235,197 คันในเดือนที่แล้ว ในขณะที่ภาพรวมมียอดขายเพิ่มขึ้น 3 เท่าในปี 2022 เป็น 1.86 ล้านคัน โดยตัวเลขส่วนใหญ่เกิดขึ้นในบ้านเกิดเอง
ยอดขายที่เฟื่องฟูของผู้ผลิตรถยนต์ในเซินเจิ้นเกิดขึ้นกลุ่มรถแท็กซี่และครัวเรือนที่คำนึงถึงงบประมาณ เป็นการตอกย้ำว่าการเลิกจ้างในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของจีนและเศรษฐกิจไม่สดใยกำลังผลักดันผู้ซื้อในตลาดให้หันไปหารถยนต์ไฟฟ้าราคาไม่แรงที่ผลิตในประเทศ แทนที่จะเป็นรถยนต์นำเข้าหรือแบรนด์ต่างประเทศอย่าง Tesla
“BYD เป็นผู้ได้รับประโยชน์จาก 'การลดระดับการบริโภค' เนื่องจากเศรษฐกิจจีนชะลอตัว” Eric Han ผู้จัดการอาวุโสของ Suolei ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาในเซี่ยงไฮ้กล่าว “รถยนต์สำหรับตลาดแมสได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้บริโภคชนชั้นกลางชาวจีน เนื่องจากถูกมองว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่คุ้มค่าเงิน”
รถของ BYD ส่วนใหญ่มีราคาอยู่ระหว่าง 100,000 หยวนถึง 200,000 หยวน ซึ่งเป็นที่ถูกกว่าเมื่อเทียบกับ Tesla และคู่แข่งอื่นๆ เช่น Nio และ Xpeng ซึ่งพัฒนารถที่อัดแน่นด้วยเทคโนโลยี แต่ขายในราคามากกว่า 300,000 หยวนต่อรุ่น
คนจีนคิดมากขึ้นหากต้องการซื้อรถยนต์
นโยบาย zero-Covid ของจีนที่ส่งผลให้มีการล็อกดาวน์ สร้างความหายนะให้กับประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ทำให้ชาวจีนนำนวนมากรัดเข็มขัดมากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าที่มีราคาสูง เช่น รถยนต์
“รถ EV ที่มีราคาต่ำกว่า 200,000 หยวนเป็นที่นิยมในหมู่ผู้ลูกค้าที่เป็นพนักงานบริษัท เพราะพวกเขาต้องการประหยัดเงิน” Tian Maowei ผู้จัดการฝ่ายขายของ Yiyou Auto Service ในเซี่ยงไฮ้กล่าว “ในตลาดภายในประเทศ รถยนต์ไฟฟ้าและปลั๊กอินไฮบริดของ BYD นั้นขายง่ายเพราะติดตั้งแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูงซึ่งเชื่อว่าใช้งานได้ดีพอๆ กับที่ผู้ผลิตรถยนต์ระดับพรีเมียมใช้”
BYD ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายที่เริ่มต้นจากการเป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่ สร้างสถิติยอดขายรายเดือนใหม่เป็นเวลา 10 เดือนติดต่อกันตั้งแต่เดือนมีนาคม 2022 จนสามารถแย่งชิงตำแหน่งมาจาก Tesla ของ อีลอน มัสก์
โดย BYD ก่อตั้งโดยมหาเศรษฐีชาวจีน Wang Chuanfu ในปี 1995 และผลิตรถยนต์มาตั้งแต่ปี 2003 โดยส่วนใหญ่ขายรถยนต์ในจีนแผ่นดินใหญ่ แต่กำลังมองหาที่จะเป็นผู้เล่นระดับโลกโดยมีแผนขยายตลาดในต่างประเทศ
แบตเตอรี่ลิเธียมเหล็กฟอสเฟตของ BYD ได้พิสูจน์คุณภาพให้กับผู้ขับขี่และผู้ประกอบรถยนต์ชาวจีนแล้ว จากการที่เซลล์แบตเตอรี่ถูกจัดเรียงในลักษณะที่เพิ่มความหนาแน่นของพลังงานในขณะที่เพิ่มความต้านทานต่อความร้อนสูงเกินไป ความสามารถนี้ทำให้แบตเตอรี่เยังถูกส่งไปยังโรงงานของเทสลาในกรุงเบอร์ลิน Tesla อีกด้วย
Tesla โตขึ้นก็จริง แต่ไม่เป็นไปตามที่คาดไว้
Tesla เพิ่งเผยแพร่รายงานการผลิตและการส่งมอบรถยนต์ในไตรมาสที่สี่ของปี 2022 โดยการส่งมอบทั้งหมดในไตรมาส 4 อยู่ที่ 405,278 คัน รวมแล้วในปี 2022 ได้ส่งมอบไปกว่า 1.31 ล้านคัน สูงขึ้น 40% เมื่อเทียบเป็นรายปี
แต่กระนั้นตัวเลขในไตรมาสที่สี่กลับต่ำกว่าความคาดหวังของนักวิเคราะห์ ซึ่งจากการประมาณคาดว่า Tesla รายงานการส่งมอบประมาณ 427,000 รายการในไตรมาสสุดท้ายของปี แต่ที่สุดแล้วก็ไม่เป็นไปตามที่ประเมินไว้
แม้ว่า Tesla เริ่มการผลิตที่โรงงานใหม่สองแห่งได้แก่ ออสติน เท็กซัส และบรันเดนบูร์ก เยอรมนี และเพิ่มการผลิตในฟรีมอนต์ แคลิฟอร์เนีย และเซี่ยงไฮ้ แต่ไม่มีการเปิดเผยจำนวนการผลิตและส่งมอบในแต่ละภูมิภาค
ในไตรมาสที่สี่ของปี 2022 Tesla กล่าวว่าการส่งมอบรถซีดาน Model 3 ระดับเริ่มต้นและรถครอสโอเวอร์ Model Y มีจำนวน 388,131 คัน ในขณะที่การส่งมอบรถซีดาน Model S และรถ SUV ระดับไฮเอนด์อยู่ที่ 17,147 คัน
ในการนำเสนอต่อผู้ถือหุ้นประจำไตรมาสที่สาม Tesla เขียนว่า "ในระยะเวลาหลายปี เราคาดว่าจะบรรลุการเติบโตเฉลี่ย 50% ต่อปีในการส่งมอบรถยนต์ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับเวลาทำงานของโรงงาน ประสิทธิภาพการดำเนินงาน ตลอดจนความสามารถและเสถียรภาพของห่วงโซ่อุปทาน”
ซึ่งในโค้งสุดท้ายของปี Tesla ต้องเผชิญกับความท้าทายในจีน เนื่องจากการระบาดของโควิดทำให้ต้องปิดโรงงาน ขณะเดียวกัน Tesla ได้พยายามกระตุ้นยอดขายของตัวเองด้วยการลดราคาที่ไม่เคยเห็นมาก่อน และโปรโมชันอื่นๆ ในสหรัฐอเมริกา จีน และที่อื่นๆ เพื่อกระตุ้นความต้องการ แม้ว่าการทำเช่นนั้นอาจสร้างแรงกดดันต่ออัตรากำไรขั้นต้นก็ตาม
ในอีเมลที่ส่งถึงพนักงาน Tesla ตัวของ 'อีลอน มัสก์’ ได้ขอให้พนักงานเป็น 'อาสาสมัคร’ เพื่อส่งมอบรถยนต์ให้กับลูกค้าให้ได้มากที่สุดก่อนสิ้นปี 2022 พร้อมกับขอให้พนักงานไม่ต้อง 'กังวล’ กับสิ่งที่เขาเรียกว่า 'ความบ้าคลั่งของตลาดหุ้น’ หลังจากหุ้นของ Tesla ดิ่งลงอย่างมาก
ตลาดแดนมังกรอาจไม่หวือหวาอีกแล้ว
ที่ผ่านมาตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในจีนถึงเป็นเค้กก้อนใหญ่ของบรรดาค่ายรถยนต์ แต่ภาพเหล่านั้นกำลังจะเจือจางลงในปี 2023 นี้
โดยยอดขายรถยนต์ที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ที่เติบโตอย่างช้าๆ อาจจทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์ของแผ่นดินใหญ่ต้องเผชิญกับการผลิตที่เกินความต้องการ ซึ่งอุตสาหกรรมนี้จ้างงาน 1 ใน 6 ของพนักงาน 800 ล้านคนของจีน
จากข้อมูลของ China Passenger Car Association (CPCA) ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในแผ่นดินใหญ่ประมาณ 200 รายคาดว่าจะส่งมอบรถยนต์ได้ทั้งหมด 8.4 ล้านคันในปี 2023 เพิ่มขึ้นประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์จาก 6.4 ล้านคันในปีนี้
อย่างไรก็ตาม อัตราการเติบโตนั้นตรงกันข้ามกับการเติบโตแบบปีต่อปีที่ 114% ในปี 2022 ซึ่งอุตสาหกรรม EV ของจีนขายรถยนต์ได้ 2.99 ล้านคันในปี 2021
ความท้าทายในอุตสาหกรรม EV ขึ้นจากจากการที่รัฐบาลจะยุติการให้เงินอุดหนุนเงินสดสำหรับการซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะยุติความพยายาม 12 ปีในการกระตุ้นยอดขายรถยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ในปี 2565 รัฐบาลกลางให้เงินช่วยเหลือ 12,600 หยวน แก่ผู้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าที่มีระยะทางการขับขี่มากกว่า 400 กิโลเมตร
“ตลาด EV ขึ้นอยู่กับแนวโน้มเศรษฐกิจและธุรกิจ” Ding Haifeng ที่ปรึกษาของ Integrity บริษัทที่ปรึกษาทางการเงินในเซี่ยงไฮ้กล่าว “ผู้บริโภคชนชั้นกลางส่วนใหญ่ไม่มั่นใจว่ารายได้จะเพิ่มขึ้นในปี 2023 ดังนั้นพวกเขาจะระมัดระวังในการตัดสินใจซื้อรถยนต์”
ปี 2030 คาดว่ารถยนต์ใหม่ 3 ใน 5 จะเป็นรถ EV
เป้าหมายของจีนในการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2060 เป็นแรงผลักดันสำคัญสำหรับตลาด EV ของประเทศ เนื่องจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วของโครงสร้างพื้นฐานด้านการชาร์จ ทำให้สะดวกมากขึ้นสำหรับเจ้าของรถยนต์ที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ในการเดินทางระหว่างเมืองและหมู่บ้าน
ในเดือนพฤศจิกายน 36 เปอร์เซ็นต์ของรถยนต์คันใหม่ที่เข้าสู่ถนนแผ่นดินใหญ่เป็นรถยนต์ไฟฟ้าล้วนหรือรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด
ขณะที่ธนาคารยูบีเอสของสวิสคาดการณ์ว่าภายในปี 2030 รถยนต์ใหม่ 3 ใน 5 ที่ขายในจีนจะใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ กระนั้นแต่มุมมองที่สดใสนั้นไม่เพียงพอที่จะทำให้ทุกธุรกิจดำเนินต่อไปได้
รายงานการวิจัยโดย CCID Consulting พบว่าในปี 2020 แผ่นดินใหญ่มีกำลังการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 26.7 ล้านคันต่อปี ซึ่งเป็นสี่เท่าของการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าทั่วประเทศในปี 2022
"กำลังการผลิตส่วนเกินยังคงเป็นปัญหายุ่งยากสำหรับอุตสาหกรรม EV ของแผ่นดินใหญ่ที่ต้องเอาชนะ" Gao Shen นักวิเคราะห์อิสระในเซี่ยงไฮ้กล่าว “การแข่งขันจะรุนแรงขึ้นในปี 2566 เนื่องจากมีรถยนต์รุ่นใหม่ออกสู่ตลาดมากขึ้น”
รถรุ่นใหม่หลายสิบรุ่นจากบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี เช่น Baidu และผู้ผลิต EV อัจฉริยะอย่าง Xpeng และ Nio จะส่งมอบให้กับลูกค้าในปีนี้
Tesla กำลังโดนท้าชิงจาก Nio, Xpeng และ Li Auto
แม้ในกลุ่มรถ EV ระดับพรีเมียมนั้น Tesla จะยังเป็นผุ้นำ แต่ Nio, Xpeng และ Li Auto ผู้ผลิตรถยนต์สามรายที่ถูกมองว่าเป็นคู่แข่งหลักในประเทศจีน รายงานยอดส่งมอบที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในเดือนธันวาคม เนื่องจากผู้คนรีบซื้อก่อนที่มาตรช่วยเหลือจะหมดลง
สิ่งที่ต้องจับตาคือ ความกังวลเกี่ยวกับการตกงานและค่าแรงที่ลดลงทำให้ผู้ซื้อบางรายต้องยกเลิกคำสั่งซื้อรถยนต์ไฟฟ้าระดับพรีเมียม และหันไปซื้อรถในกลุ่มแมสแทน
รายงานของ McKinsey ชี้ว่า ชาวจีนกำลังไตรตรองมากขึ้นในการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าสักคัน โดยพวกเขามีความอ่อนไหวต่อราคามากกว่า และต้องการได้รถที่คุ้มค่ากับเงินที่เสียไป
บทความจาก MarketPlus Magazine Issue 153