'ทีเอ็มบีธนชาต' รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 1 ปี 2566 ที่ 4,295 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
20 Apr 2023

ทีเอ็มบีธนชาต ตอกย้ำความแข็งแกร่งทางการเงิน รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 1 ปี 2566 ที่ 4,295 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ด้านคุณภาพสินทรัพย์ยังคงบริหารจัดการได้ตามแผน โดยหนี้เสียทรงตัวในระดับต่ำที่ 2.69% ขณะที่อัตราส่วนสำรองฯ หรือกันชนรองรับความเสี่ยงเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 140% พร้อมเดินหน้าตามแผนธุรกิจ ควบคู่ไปกับการดูแลลูกค้ากลุ่มเปราะบางภายใต้ภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น 


 

ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ ทีเอ็มบีธนชาต (ทีทีบี) แจ้งผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2566 โดยมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 4,295 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% จากไตรมาสก่อน และ 34% จากไตรมาส 1 ปี 2565 ด้านอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพหรือหนี้เสียทรงตัวในระดับต่ำที่ 2.69% ขณะที่อัตราส่วนสำรองฯ ต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 140% สะท้อนให้เห็นถึงผลการดำเนินงานที่เป็นไปตามเป้าหมายในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการสร้างรายได้ การบริหารค่าใช้จ่าย และการดูแลคุณภาพสินทรัพย์ 

 

 

นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกของปี 2566 ถือว่าเป็นไปตามเป้าหมาย และสะท้อนถึงผลลัพธ์จากแนวทางการดำเนินธุรกิจของทีเอ็มบีธนชาต ที่เน้นย้ำการเติบโตธุรกิจอย่างมีคุณภาพ ควบคู่ไปกับการนำเอาจุดแข็งจากการรวมกิจการมาเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันและความสามารถในการสร้างกำไร ที่สำคัญอีกประการคือการดูแลสถานะทางการเงินให้มีความแข็งแกร่ง เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงของธนาคารให้พร้อมรับมือกับทุกสภาพเศรษฐกิจ

 

โดยในการดูแลสถานะทางการเงินนั้น ธนาคารดำเนินการผ่านการบริหารจัดการทุกองค์ประกอบของงบดุลทั้งด้านสินทรัพย์ หนี้สิน และส่วนทุนให้มีคุณภาพ เช่น ในด้านสินเชื่อ ธนาคารใช้กลยุทธ์การเติบโตอย่างรอบคอบ เน้นที่คุณภาพ เพราะไม่ต้องการสร้างความเสี่ยงต่องบดุลภายใต้ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังคงเปราะบาง ด้านพอร์ตการลงทุน ธนาคารมีนโยบายการลงทุนในตราสารที่มีความเสี่ยงต่ำและสภาพคล่องสูง เพื่อจุดประสงค์ในการบริหารสภาพคล่องเป็นหลัก ไม่มีนโยบายแสวงหาผลกำไรจากการลงทุนในตราสารหรือสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีความเสี่ยงสูงแต่อย่างใด ในด้านเงินฝากก็เน้นขยายฐานเงินฝากกลุ่มลูกค้ารายย่อยในประเทศเป็นหลัก เพื่อไม่ให้เกิดความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของผู้ฝากรายใหญ่ และในการบริหารส่วนทุน ก็ต้องมีประสิทธิภาพและเพียงพอพร้อมรองรับการเติบโตทางธุรกิจ

 

ผลลัพธ์จากการดำเนินการทั้งหมดนี้ ส่งผลให้ทีเอ็มบีธนชาตมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนได้จากการที่ธนาคารสามารถรักษาแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของผลกำไรมาตลอด 6 ไตรมาส ขณะที่สถานะทางการเงินก็แข็งแกร่งขึ้นในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นอัตราส่วนเงินกองทุนรวมที่เพิ่มขึ้นจากระดับก่อนรวมกิจการที่ประมาณ 18% ขึ้นมาสู่ระดับ 20% ในปัจจุบัน อัตราส่วนสำรองฯ ต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพซึ่งสะท้อนถึงกันชนป้องกันความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจาก 120% มาอยู่ที่ 140% หรืออัตราส่วน LCR (Liquidity Coverage Ratio) ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดด้านสภาพคล่องอยู่ในระดับสูงที่ประมาณ 180% จากเกณฑ์ขั้นต่ำที่ 100% ทำให้มั่นใจได้ว่า ทีเอ็มบีธนชาตมีสถานะทางการเงินหลังการรวมกิจการที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น มีการดำรงสภาพคล่องและเงินกองทุนที่เพียงพอ และมีความพร้อมที่จะเติบโตตามแผนธุรกิจที่วางไว้ 

 

โดยในปี 2566 นี้ เราตั้งเป้าที่จะเติบโตสินเชื่อรายย่อยมากขึ้น ด้วยการต่อยอดจากความเป็นผู้นำในตลาดสินเชื่อบ้านและสินเชื่อเช่าซื้อ ไปสู่การนำเสนอผลิตภัณฑ์สินเชื่อรถแลกเงิน (ttb cash your car) สินเชื่อบ้านแลกเงิน (ttb cash your home) สินเชื่อ ttb payday loan และกลุ่มผลิตภัณฑ์ประกันภัยรถ โดยจะเน้นฐานลูกค้าที่เพิ่มขึ้นจากการรวมกิจการเป็นหลัก ซึ่งธนาคารรู้จักและเข้าใจความต้องการของลูกค้าเป็นอย่างดี เป็นผลดีต่อการบริหารความเสี่ยงและการนำเสนอผลิตภัณฑ์ได้ตรงความต้องการ นอกจากนั้นแล้วยังเตรียมนำเสนอโซลูชันทางการเงินสำหรับกลุ่มพนักงานเงินเดือน คนมีบ้าน คนมีรถ ด้วยแนวคิด Ecosystem Play ซึ่งจะทยอยเปิดตัวให้บริการในไตรมาสถัด ไป

 

สำหรับรายละเอียดผลการดำเนินงานหลักในไตรมาส 1 ปี 2566 มีดังนี้

 

ในไตรมาส 1/66 ธนาคารสามารถเติบโตสินเชื่อใหม่ในกลุ่มเป้าหมายได้ตามแผน นำโดยสินเชื่อรถแลกเงินและสินเชื่อบ้านแลกเงิน แต่เนื่องจากมีการชำระคืนหนี้จากกลุ่มลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ เมื่อสุทธิแล้วจึงทำให้สินเชื่อรวม สิ้นไตรมาสอยู่ที่ 1,358 พันล้านบาท ลดลง 1.3% จากสิ้นปีที่แล้ว ด้านเงินฝากอยู่ที่ 1,402 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.2% หนุนโดยเงินฝากประจำ ซึ่งเป็นไปตามแผนการบริหารต้นทุนเงินฝากภายใต้ทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น 

 

ทั้งนี้ เพื่อคงความสามารถในการสร้างผลตอบแทนจากการให้สินเชื่อ หลังจากที่ธปท.ประกาศปรับขึ้นอัตราเงินนำส่ง FIDF สู่ระดับก่อนโควิด-19 ซึ่งสร้างแรงกดดันต่อต้นทุนเงินฝาก ธนาคารได้ใช้กลยุทธ์การรีไซเคิลเงินทุน หรือนำสภาพคล่องที่ได้รับจากการชำระคืนหนี้ไปหมุนเวียนใช้ปล่อยสินเชื่อใหม่ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าภายใต้กรอบความเสี่ยงที่เหมาะสม ประกอบกับหลายไตรมาสก่อนหน้านี้ธนาคารได้ทยอยขยายฐานเงินฝากไว้ล่วงหน้าก่อนที่จะเข้าสู่วัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้น จึงทำให้ยังสามารถขยายสินเชื่อใหม่ได้โดยที่ไม่ต้องเร่งขยายฐานเงินฝาก สะท้อนได้จากอัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากที่อยู่ที่ 97% สิ้นไตรมาส 1/66

 

จากกลยุทธ์ด้านสินเชื่อและเงินฝากดังกล่าว รวมทั้งการบริหารสภาพคล่องส่วนเกินและพอร์ตการลงทุนในเชิงรุกเพื่อให้ได้รับประโยชน์จากทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น รายได้ดอกเบี้ยสุทธิจึงฟื้นตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนแม้ว่ายอดสินเชื่อสุทธิจะลดลงก็ตาม ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมก็ปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน และเป็นปัจจัยหนุนให้รายได้จากการดำเนินงานรวมเพิ่มขึ้น 6.9% จากไตรมาส 1/65 มาอยู่ที่ 16,870 ล้านบาท

 

ด้านค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอยู่ที่ 7,303 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน การเพิ่มขึ้นดังกล่าวสอดคล้องกับกิจกรรมทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้นและแผนการลงทุนของธนาคาร โดยธนาคารยังคงสามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายให้สอดคล้องกับด้านรายได้ได้เป็นอย่างดี สะท้อนจากอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ซึ่งอยู่ที่ 43% เทียบกับ 44% ในไตรมาส 1/65 ส่งให้ผลกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักสำรองฯ อยู่ที่ 9,561 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

 

ในไตรมาส 1/66 ค่าใช้จ่ายตั้งสำรองฯ อยู่ที่ 4,276 ล้านบาท ลดลง 11.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เมื่อหักค่าใช้จ่ายสำรองฯ และภาษี จึงทำให้มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 4,295 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34.4% จากปีที่แล้ว 

 

ทั้งนี้ การตั้งสำรองฯ ที่ลดลงเป็นผลต่อเนื่องมาจากการบริหารคุณภาพสินทรัพย์ได้ตามแผน โดยอัตราส่วนหนี้เสียต่อสินเชื่อรวมลดลงมาอยู่ที่ 2.69% เทียบกับ 2.73% จากสิ้นปีก่อนหน้า ด้านกันชนป้องกันความเสี่ยงยังคงแข็งแกร่ง สะท้อนได้จากอัตราส่วนสำรองฯ ต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพที่เพิ่มขึ้นจาก 132% ในไตรมาส 1/65 มาอยู่ที่ 138% สิ้นปีที่แล้ว และอยู่ที่ 140% สิ้นไตรมาส 1/66

 

ท้ายสุดด้านความเพียงพอของเงินกองทุน อัตราส่วน CAR และ Tier 1 (เบื้องต้น) สิ้นไตรมาส 1/66 อยู่ที่ 19.9% และ 16.2% สูงเป็นลำดับต้น ของอุตสาหกรรม และสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของธนาคารกลุ่ม D-SIBs ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดไว้ที่ 12.0% และ 9.5% ตามลำดับ 

 

นายปิติ กล่าวเพิ่มเติมว่านอกเหนือจากการเติบโตธุรกิจ แน่นอนว่าธนาคารยังคงให้ความสำคัญกับการดูแลลูกค้าภายใต้ภาวะเศรษฐกิจไทยที่เข้าสู่วัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้น โดยธนาคารมีแนวทางในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากอย่างเหมาะสมเพื่อส่งเสริมการออม และปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อช่วยให้ลูกค้าโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางทั้งลูกค้ารายย่อยและลูกค้าธุรกิจสามารถปรับตัว พร้อมกับบริหารจัดการสภาพคล่องได้ในระยะยาว ตอกย้ำเป้าหมายของธนาคารในการสร้างชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นให้กับคนไทย

[อ่าน 1,243]
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เอเซอร์ เปิดตัวแล็ปท็อป TravelMate X14 AI พร้อมโปรเจ็กเตอร์รักษ์โลก Vero
แฟชั่นนิสต้าห้ามพลาด! เซ็นทรัลพัฒนา จับมือ บัตรเครดิต ttb เสิร์ฟแคมเปญ “ช้อปตัวแม่”
New Balance เปิดคอนเซ็ปต์สโตร์ใหญ่สุดในไทยที่ CENTRAL PARK ประเดิมขายรุ่น 1906L สีใหม่ 10 ก.ย. นี้
Lee ปลุกตำนานยีนส์ ดึง Zhang Linghe นั่ง Brand Ambassador APAC
มาสเตอร์การ์ด–Beam เปิดตัว “Beam Bolt” พลิกโฉม SME ไทยสู่ดิจิทัลเพย์เมนต์
MJets ผู้นำการบินส่วนบุคคลจากไทย ยกระดับสู่เวทีโลกด้วยบริการครบวงจร
MAGAZINE UPDATE
Owner
DOUBLE D CREATION Co.,Ltd.
เอเวอร์กรีนวิว ทาวเวอร์ ชั้น 4
เลขที่ 22/43 ซอยบางนา-ตราด 56 ถนนบางนา-ตราด
แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร 10260
Tel : 0-2751-4995-6
Mobile : 062-194-4561
Advertising
ติดต่อโฆษณา และ การตลาด
คุณศุภากร ยาตพงศ์ (บู)
Mobile : 08-1355-3636
Tel : 0-2751-4995-6
E-mail : market-plus@hotmail.com
info@marketplus.in.th
PR News
ส่งข่าวประชาสัมพันธ์
E-mail : info@marketplus.in.th,
market-plus@hotmail.com,
marketplus@hotmail.co.th
Copyright © 2016 DOUBLE D CREATION Co.,Ltd. All rights Reserved