ครั้งหนึ่ง Netflix มีการจัดส่งดีวีดี 900 ล้านแผ่นต่อปีไปรษณีย์ และคิดเป็น 1.3 เปอร์เซ็นต์ของจดหมายทั้งหมดในสหรัฐอเมริกา
แต่ด้วยเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป ดังนั้น Netflix จะไม่มีวันเป็นผู้จัดส่งดีวีดีตลอดไป จึงกลายเป็นที่มาของการยุติธุรกิจที่ทำมายาวนาน 25 ปี และเป็นดั่งสารตั้งต้นของสตรีมมิ่งยักษ์ใหญ่ของโลก
บริการดีวีดีได้เข้าสู่ ‘ซีซันสุดท้าย’ แล้ว
บริการดีวีดีได้เข้าสู่ ‘ซีซันสุดท้าย’ แล้ว โดย Ted Sarandos ซีอีโอร่วมของ Netflix ได้ออกมากล่าวว่า
"ซองจดหมายสีแดงที่เป็นสัญลักษณ์เหล่านั้นเปลี่ยนวิธีที่ผู้คนดูรายการและภาพยนตร์ที่บ้าน และปูทางไปสู่การเปลี่ยนไปสู่การสตรีม"
ตลอด 25 ปีที่ผ่านมา Netflix กล่าวว่าได้จัดส่งแผ่นดีวีดีมากกว่า 5.2 พันล้านแผ่นนับตั้งแต่ซองจดหมายสีแดงชุดแรกถูกจัดส่งในเดือนมีนาคม 1998 ขณะที่ซองสุดท้ายจะถูกจัดส่งในในเดือนกันยายนนี้
ผู้ชื่นชอบภาพยนตร์และผู้ที่คลั่งไคล้ดีวีดีจำนวนมากยังคงใช้บริการดีวีดีของ Netflix แม้ว่าคนอื่นๆ จะตัดสินว่าแผ่นดิสก์นั้นยุ่งยากเกินไปก็ตาม สมาชิกบอกว่าพวกเขาชอบบริการนี้เพราะ Netflix มีแคตตาล็อกภาพยนตร์เก่าที่ใหญ่กว่าแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งอื่นๆ
ในวันที่ Netflix เริ่มส่งดีวีดีทางไปรษณีย์เป็นครั้งแรก นี่กลายเป็นทางเลือกใหม่ที่ช่วยให้สมาชิกไม่ต้องเดินทางไปร้านเช่าวิดีโอ เช่น Blockbuster หรือ Hollywood Video สมาชิกสามารถเลือกภาพยนตร์หรือรายการทีวีได้สูงสุดสามเรื่องต่อครั้ง และบริษัทจะส่งแผ่นดิสก์เหล่านั้นให้ทางไปรษณีย์
ยิ่งสมาชิกดูและคืนแผ่นได้เร็วเท่าไร พวกเขายิ่งดูได้มากขึ้นในแต่ละเดือน แผนดีวีดีรายเดือนของ Netflix มีตั้งแต่ $9.99 สำหรับหนึ่งแผ่นต่อครั้ง ไปจนถึง $19.99 สำหรับสามแผ่น และไม่คิดค่าขนส่งหรือส่งคืนล่าช้า
การตัดสินใจที่ถูกต้อง
นักวิเคราะห์จาก The Verge ชี้ว่า นี่ถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องสำหรับ Netflix เพราะธุรกิจดีวีดีที่ครั้งหนึ่งเคยมีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ต่อปี ได้พังทลายลงในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
การขายและให้เช่าบลูเรย์และดีวีดีคิดเป็นมูลค่าธุรกิจทั่วโลกประมาณ 6.5 พันล้านดอลลาร์ในปี 2564 ตามรายงานของสมาคมภาพยนตร์แห่งอเมริกา
ถึงจะดูเป็นจำนวนเงินที่มาก แต่จริงๆ แล้วนี่เป็นตัวเลขที่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของเมื่อห้าปีที่แล้ว ในขณะที่ตลาดบันเทิงดิจิทัลของสหรัฐอเมริกาคาดว่าจะใหญ่กว่าตลาดสื่อจริงประมาณ 10 เท่า
ขณะที่ตลาดเช่าที่บ้านไม่รวมวิดีโอออนดีมานด์หดตัวลงเหลือ 502.4 ล้านดอลลาร์ในปี 2565 ลดลง 16.7% จากปีก่อนหน้า ตามรายงานของ Digital Entertainment Group
“เป้าหมายของเราคือการให้บริการที่ดีที่สุดสำหรับสมาชิกของเราเสมอมา แต่ในขณะที่ธุรกิจยังคงหดตัวลง นั่นจะกลายเป็นเรื่องยากขึ้นเรื่อยๆ” Ted Sarandos กล่าว
อย่างไรก็ตาม Netflix ทราบมาตั้งแต่ปี 2552 เป็นอย่างน้อยว่าธุรกิจดีวีดีจะก้าวตามเทคโนโลยีเก่าอื่นๆ เนื่องจากการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์นั้นเร็วขึ้นและมีราคาย่อมเยามากขึ้น บริษัทเริ่มลงทุนในเนื้อหาสตรีมมิ่งต้นฉบับมากกว่าดีวีดีใหม่
กลยุทธ์นั้นได้ผล บริการสตรีมมิ่งของ Netflix สิ้นสุดไตรมาสแรกด้วยสมาชิกมากกว่า 232.5 ล้านคน แต่ไม่ขอเปิดเผยจำนวนลูกค้าแผน DVD อีกต่อไป แต่กล่าวว่ามีสมาชิกดังกล่าว 40 ล้านรายตลอดอายุการใช้งาน
ความท้าทายรอบด้าน
ถึงวันนี้ Netflix จะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในวงการแต่ก็ต้องเผชิญความท้าทายรอบด้าน ในขณะที่ผู้เล่นรายใหม่อย่าง Apple และ YouTube ทุ่มเงินมหาศาลไปกับทุกสิ่งตั้งแต่รายการที่ได้รับรางวัลไปจนถึงสิทธิ์พิเศษด้านกีฬา ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า Netflix มีข้อได้เปรียบด้านประสบการณ์ผู้ใช้แบบเดียวกับที่เคยได้รับในศตวรรษที่ผ่านมา
Reed Hastings ผู้ร่วมก่อตั้ง Netflix พูดเสมอว่าเขากังวลเกี่ยวกับ ‘ภัยคุกคามจากด้านข้าง’ มากกว่าเรื่องความบันเทิง คู่แข่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ Netflix คือการนอนหลับ แต่กระนั้นดูเหมือนว่าทุกคนเป็นคู่แข่งของ Netflix และหลายคนก็แข็งแกร่งขึ้นทุกวัน
Netflix จึงพยายามทำสิ่งใหม่ๆ เป็นการเพิ่มเกมลงในแพลตฟอร์มด้วยความพยายามครั้งแรกที่เรียบร้อย แต่ยังไม่มีเกมยอดนิยม มีการผลักดันเนื้อ Live content มากขึ้น แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จมากนัก
แต่ส่วนใหญ่แล้ว Netflix พยายามทำเงินให้มากขึ้น โดย Netflix ได้เข้าสู่ช่วงเดียวกับที่บริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งทำในที่ซึ่งไม่เหลือการเติบโตมากนัก และสิ่งที่คุณทำได้คือพยายามบีบเงินจากลูกค้าที่มีอยู่ของคุณให้มากขึ้น นั่นเป็นเหตุผลที่ Netflix พยายามอย่างเต็มที่ในการปราบปรามการแบ่งปันรหัสผ่าน
แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ลูกค้าในสเปนหายไป 1 ล้านคนหลังจากเริ่มปราบปรามดังกล่าว และยังไม่แน่ชัดว่าเมื่อเปิดตัวในวงกว้างจะทำให้ลูกค้าหายไปอีกเท่าไร แม้ Netflix จะย้ำว่า วิธีที่ตัวเองทำนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องก็ตาม