SCG Decor หรือ SCGD เป็นบริษัทแกนหลักของ SCG ในการดำเนินธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ (Decor Surfaces & Bathroom) ผ่านบริษัทย่อยและบริษัทร่วม โดยปัจจุบันเป็นผู้นำธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์อย่างครบวงจรในภูมิภาคอาเซียนที่มีฐานผลิตกระเบื้องปูพื้นและบุผนังในไทย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และส่วนฐานผลิตสุขภัณฑ์มีเฉพาะในไทย
ทั้งนี้กลุ่มบริษัทใน SCG Decor แบ่งเป็น 5 บริษัท ได้แก่ บริษัท เอสซีจี เซรามิกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ COTTO ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายกระเบื้องปูพื้นและบุผนังในประเทศไทย มียอดขายกระเบื้องเซรามิกเป็นอันดับ 1 ในไทยด้วยส่วนแบ่งการตลาด 33% บริษัท สยามซานิทารี่แวร์ จำกัด หรือ SSW ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายสุขภัณฑ์ในไทยและส่งออกไปต่างประเทศมียอดขายสุขภัณฑ์เป็นอันดับ 1 ในไทยด้วยส่วนแบ่งการตลาด 32.8%
กลุ่มบริษัท Prime Group ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายกระเบื้องปูพื้นและบุผนังในเวียดนามมียอดขายเป็นอันดับ 1 ด้วยส่วนแบ่งการตลาด 26.4% บริษัท Mariwasa-Siam Ceramics, Inc หรือ MSC ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายกระเบื้องปูพื้นและบุผนังในฟิลิปปินส์ มียอดขายเป็นอันดับ 1 ด้วยส่วนแบ่งการตลาด 16.8% และบริษัท PT Keramika Indonesia Assosiasi, Tbk หรือ KIA ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายกระเบื้องปูพื้นและบุผนังในอินโดนีเชีย
นำพล มลิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGD กล่าวว่า หลังจากมีการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้วิถีใช้ชีวิตของผู้คนเปลี่ยนไปใน 3 ด้าน คือการคำนึงถึงสุขอนามัย ต้องการป้องกันเชื้อโรค ความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตประจำวันและการใช้ห้องน้ำเป็นพื้นที่แห่ง
การพักผ่อน โดยบริษัทได้พัฒนานวัตกรรมและออกแบบสินค้าเพื่อรองรับความต้องการดังกล่าว
ทั้งนี้กลุ่มธุรกิจตกแต่งพื้นผิว ได้พัฒนากระเบื้องฟอกอากาศพร้อมประจุลบในสารเคลือบกระเบื้อง กระเบื้องยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย กระเบื้องกันลื่น ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีทั้งในประเทศไทย เวียดนาม ส่วนกลุ่มธุรกิจสุขภัณฑ์ได้พัฒนานวัตกรรมสุขภัณฑ์ Smart Toilet ที่มีระบบสัมผัสอัตโนมัติซึ่งมีฐานการผลิตอยู่ที่ประเทศไทย มองว่าตลาดสุขภัณฑ์ในประเทศไทยรวมถึง Smart Bathroom ยังมีโอกาสเติบโตเช่นเดียวกับตลาดในอาเซียน โดยคาดว่าจะมีมูลค่า 78,700 ล้านบาทในปี 2569 สูงกว่าตลาดในไทยกว่า 6 เท่าตัว
อีกทั้งมีการคาดการณ์แนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมกระเบื้องเซรามิก และสุขภัณฑ์ตลาดอาเซียนระหว่างปี 2565-2569 ในอัตราเฉลี่ยต่อปี (CAGR) จาก Euromonitor ซึ่งในไทยกระเบื้องเชรามิกมีอัตราเฉลี่ยต่อปี 1.2% และสุขภัณฑ์ 2.1% ส่วนเวียดนาม กระเบื้องเชรามิก 14.3% และสุขภัณฑ์ 13.9% ขณะที่ฟิลิปปินส์ กระเบื้องเซรามิก 4.4% และสุขภัณฑ์ 6.9% และสำหรับอินโดนีเซีย กระเบื้องเซรามิก 6.9% และสุขภัณฑ์ 8.5%
ทั้งนี้อัตราเฉลี่ยต่อปีดังกล่าวมาจากการเพิ่มขึ้นของประชากร การขยายตัวของเมือง (Urbanization) และเทรนด์ความนิยมใช้กระเบื้องแผ่นใหญ่เพิ่มขึ้น ตลอดจนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานในแต่ละประเทศรวมถึงการเติบโตของ GDP โดยเฉพาะอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์จะส่งผลให้มีการขยายตัวของกรก่อสร้างที่อยู่อาศัยและความต้องการใช้กระเบื้องและสุขภัณฑ์ในอาคารพักอาศัยและพื้นที่สำาธารณะ เพื่อการตกแต่งและปรับปรุงซ่อมแชมเพิ่มขึ้น
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เดคคอร์ กล่าวว่า จุดแข็งด้านธุรกิจที่บริษัทมีคือ เป็น
ผู้นำธุรกิจในอาเซียนด้านตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ ภายใต้โจทย์ "Space of Happiness - For Better Living of ASEAN People" ให้กับผู้บริโภคกว่า 560 ล้านคน ในกลุ่มประเทศที่บริษัทมีโรงงานผลิต คือ ไทย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย
ทั้งนี้ในส่วนของสินค้านั้นครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้า โดยมีแบรนด์เป็นที่รู้จักและยอมรับในภูมิภาคที่หลากหลายสำหรับ
ทุกกลุ่มลูกค้า รวมถึงได้รับความไว้วางใจจากผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ ทีมออกแบบและวิจัยพัฒนาสินค้าทั่วทั้งอาเซียนกว่า 250 คน ที่สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายตอบสนองความต้องการของลูกค้า
และผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (High Value Added Products) และนำเสนอนวัตกรรมต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
อีกทั้งด้านคุณภาพสินค้า ได้นำสนอผลิตภัณฑ์ตกแต่งพื้นผิวภายในและภายนอกกระเบื้องปูพื้นและบุผนัง กระเบื้องขนาดเล็กถึงขนาดใหญ่และสุขภัณฑ์รวมถึงอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องหลากหลาย สามารถตอบสนองทุกไลสไตล์ของลูกค้าด้วยเทคโนโลยีการผลิตชั้นนำ เครื่องจักรอัตโนมัติและใช้ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ร่วมด้วย
สำหรับช่องทางจำหน่ายครอบคลุมระดับภูมิภาค ทั้งร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม ร้านค้าปลีกสมัยใหม่และร้านค้าปลีกของ SCG Decor ร้านคลังเซรามิก 100 สาขาในไทย การขายแบบเฉพาะกลุ่มให้กับลูกค้าโครงการที่อยู่อาศัยและมีเครือข่ายร้านผู้แทนจำหน่ายกว่า 592 รายในไทย และ 277 รายในต่างประเทศ ซึ่งครอบคลุมพื้นที่สำคัญของแต่ละประเทศ
นอกจากนี้บริษัทให้ความสำคัญกับการเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยมาตรฐานระดับโลก ที่พัฒนาผลิตภัณฑ์รักษ์โลกและกระบวนการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลดของเสียจากการผลิตและนำกลับมาหมุนเวียนเป็นผลิตภัณฑ์รักษ์โลกเพื่อสร้างรายได้ลดต้นทุนพลังงานด้วยการเพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียนและเพิ่มการใช้พลังงานแสงอาทิตย์มุ่งบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2593 (NET ZERO 2050) สอดคล้องกับแนวทาง ESG ที่ทั่วโลกให้ความสนใจ
อย่างไรก็ตาม ยังมองว่าอีกสิ่งที่เป็นจุดแข็งสำคัญของบริษัทคือ ประสบการณ์ของคณะกรรมการและทีมผู้บริหาร ซึ่งมีประสบการณ์กว่า 20ปีในธุรกิจกระเบื้องเซรามิกและสุขภัณฑ์ รวมถึงความร่วมมือจากเครือข่ายกลุ่ม SCG จากการแลกเปลี่ยนและใช้บริการต่างๆ ในกลุ่มบริษัทเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน เช่น การเงินและบัญชี, กฎหมาย, ทรัพยากรบุคคล เป็นต้น
สิทธิชัย สุขกิจประเสริฐ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามซานิทารีแวร์ จำกัด หรือ แบรนด์ COTTO กล่าวว่า ได้พัฒนาสินค้านวัตกรรมดิจิทัล-ออโตเมชัน สำหรับ Smart Bathroom เช่น สุขภัณฑ์อัตโนมัติ ก๊อกน้ำอัจฉริยะและกระจกอัจฉริยะมัลติฟังก์ชัน เป็นต้น อีกทั้ง COTTO ยังได้นำระบบออโตเมชัน มาใช้ควบคู่ไปกับการบริหารกำลังการผลิตในโรงงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้มั่นใจว่าลูกค้าได้รับสินค้าคุณภาพสูง ลดขั้นตอนการทำงานที่เสี่ยงต่อสุขภาพของพนักงาน ส่งเสริมให้พนักงานพัฒนาทักษะและศักยภาพเพื่อรองรับสำหรับการขยายธุรกิจในอาเซียน
อีกทั้ง การนำระบบออโตเมชันมาใช้ในโรงงานอยู่ภายใต้แนวคิด หุ่นยนต์ทำงานร่วมกับคน หรือ Man & Machine Automation Smart Factory เพื่อความเชี่ยวชาญในการผลิตสุขภัณฑ์มาสอน ออกแบบและควบคุมให้หุ่นยนต์สามารถทำงานได้อย่างแม่นยำ ซึ่งใช้ในกระบวนการผลิตหลัก เช่น การขึ้นรูปหม้อน้ำสำหรับโถสุขภัณฑ์ด้วยเครื่องหล่อแรงดันสูง ที่ใช้สายพานและระบบลำเลียงอัตโนมัติ ช่วยลดความเสี่ยงจากการบาดเจ็บจากการทำงานในการเคลื่อนย้ายชิ้นงานด้วยแรงงานคน
ระบบพ่นสีเคลือบอัตโนมัติด้วยหุ่นยนต์ ทำให้สีที่เรียบเนียนสม่ำเสมอได้มาตรฐานและยังช่วยลดการสัมผัส สูดดมสีของพนักงาน การนำเทคโนโลยีใช้ในห้องปฏิบัติการทดสอบ เช่น เทคโนโลยีการประมวลภาพ หรือ Image Processing เพื่อเพิ่มความละเอียดแม่นยำในการตรวจสอบและวิเคราะห์คุณภาพสินค้าก่อนส่งถึงมือลูกค้า เป็นต้น