กลยุทธ์การตลาดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่ควรลองใช้ในปี 2567
31 Jan 2024

 

เนื่องจากแคมเปญการตลาดเป็นวิธีดึงดูดลูกค้าใหม่และรักษาลูกค้าเก่าไว้ ไม่มีวิธีใดที่จะดีไปกว่าการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ แต่สร้างผลกระทบอย่างมากต่อธุรกิจทั้งหมดของคุณ หากต้องการแรงบันดาลใจและไอเดียใหม่ๆ ที่ทำได้ไม่ยาก ต่อไปนี้เป็นกลยุทธ์การตลาดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่ควรลองทำในปี 2567 นี้ (และปีต่อๆ ไป)

 

1. เปลี่ยนไปใช้แพลตฟอร์มอีเมลที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

 

ในปี 2566 มีการเปิดตัว EcoSend แพลตฟอร์มอีเมลที่คำนึงถึงสภาพอากาศรายแรกของโลก โดยใช้พลังงานทดแทนและปลูกต้นไม้ในนามธุรกิจของคุณ

หลายคนอาจแปลกใจว่าอีเมลที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพราะอีเมลทุกฉบับที่เราส่งไป จำเป็นต้องใช้พลังงานในการสร้าง ส่ง และเปิด

แต่ละฉบับปล่อย CO2 ได้มากถึง 26 กรัม และทั่วโลกมีการส่งอีเมลถึง 300 พันล้านฉบับทุกวัน ซึ่งก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ดังนั้น เป้าหมายของ EcoSend คือมอบเครื่องมือทั้งหมดที่คุณต้องการเพื่อให้สามารถส่งแคมเปญอีเมลหรืออีเมล มาร์เกตติ้ง ที่น่าทึ่งและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ในราคาเริ่มต้นเพียง 29 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1,000 บาท) ต่อเดือนและทดลองใช้งานฟรี 14 วันได้ในทุกแพ็กเกจ

 



2. แสดงรอยเท้าคาร์บอนของผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณ

 

การแสดงข้อมูลที่ตรงไปตรงมาเกี่ยวกับต้นทุนคาร์บอนของผลิตภัณฑ์และบริการของคุณ ช่วยให้คุณสามารถจัดการกับพื้นที่ที่สิ้นเปลืองในธุรกิจของคุณได้ นอกจากนี้ยังช่วยให้มั่นใจว่าลูกค้าของคุณจะเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับรอยเท้าคาร์บอนของตนเอง

สำหรับธุรกิจใดๆ ที่มีความก้าวหน้าในด้านความยั่งยืนมากขึ้นในปี 2567 การแสดงการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณอาจเป็นทรัพย์สินทางการตลาดที่ดีเยี่ยม

จากรายงาน Business of Sustainability Index พบว่า 72% ของผู้ที่มีอายุระหว่าง 27-42 ปี จะยอมจ่ายเงินมากขึ้นเพื่อซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีความยั่งยืน

เพราะฉะนั้นนักการตลาดพึงตระหนักว่าความยั่งยืนไม่ใช่สิ่งที่ต้องปิดบัง จริงๆ แล้วเป็นสิ่งที่น่าพูดถึงแบบจะแจ้ง โปร่งใส และตรวจสอบได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณเสนอทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าคู่แข่งของคุณ!

 

อย่างไรก็ตาม อย่าได้คิดจะหลอกลวงผู้บริโภคเด็ดขาด หากผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณไม่ได้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจริงๆ

เพียงเพราะฉลากระบุว่าผลิตภัณฑ์คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เป็นธรรมชาติทั้งหมด หรือออร์แกนิก ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นจริงเสมอไป

การกล่าวอ้างในประเด็นสิ่งแวดล้อมที่ทำให้เข้าใจผิดกลายเป็นปัญหาที่น่ารังเกียจ เนื่องจากผู้บริโภคตระหนักถึงความเสี่ยงของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากขึ้นเรื่อยๆ และพยายามปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

แต่หากธุรกิจต่างๆ ที่รับรู้ถึงโอกาสทางการตลาดนี้และเริ่มก้าวกระโดดไปสู่กลุ่มการตลาดสีเขียว โดยพยายามที่จะทำกำไรแบบไร้จรรยาบรรณ ด้วยการปกปิด ซ่อนเร้น หรือนำเสนอข้อมูลเท็จที่จงใจสร้างขึ้นเพื่อบิดเบือนและทำให้ผู้บริโภคหลงเชื่อ การกระทำที่อัปยศอดสูเหล่าก็จะนำไปสู่สิ่งที่เรียกว่า "Greenwashing" ‍

แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดจาก "การตลาดสีเขียว" ซึ่งหมายถึงบริษัทที่จำหน่ายสินค้าหรือบริการตามคำกล่าวอ้างด้านสิ่งแวดล้อมที่เป็นจริงและชอบด้วยกฎหมาย

แต่ปัญหาใหญ่ประการหนึ่งที่ผู้บริโภคพบคือ การแยกความแตกต่างระหว่างการตลาดสีเขียวจาก Greenwashing หรือแยกบริษัทที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมจากบริษัทที่ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิด อาจเป็นเรื่องยากมาก

 

3. เสนอทางเลือกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

 

Statista ได้ทำการศึกษา ในปี 2565 พบว่าผู้บริโภคมีความกังวลเกี่ยวกับความยั่งยืนของผลิตภัณฑ์มากขึ้นถึง 80% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว เนื่องจากความตระหนักรู้ของผู้บริโภคเกี่ยวกับความยั่งยืนยังคงเติบโต ดังนั้นธุรกิจต่างๆ จึงต้องเหยียบคันเร่งเพื่อตามให้ทันในปี 2566 นี้

เคล็ดลับง่ายๆ ประการหนึ่งคือการให้ทางเลือกสำหรับทางเลือกที่ยั่งยืนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นตัวเลือกการเดินทางที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยลง หรือตัวเลือกการจัดส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

กรณีศึกษาที่ชัดเจนคือ Google ทำแนวคิดดังกล่าวให้เป็นไปได้โดยนำเสนอตัวเลือกในการจัดเรียงเที่ยวบินตาม "การปล่อยมลพิษ"

โดยแสดงตัวเลือกที่สร้างมลพิษน้อยที่สุดก่อน จริงอยู่ว่าการเดินทางโดยเครื่องบินไม่ได้ดีต่อสิ่งแวดล้อมในทุกด้าน แต่ความสามารถในการดูปริมาณ CO2 ที่ผลิตได้

อย่างน้อยก็ทำให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกในการรับทราบข้อมูลที่แท้จริง แทนที่จะซ่อนเร้นหรืออำพรางข้อมูลนี้จากพวกเขา เพราะบางทีผู้บริโภคบางคนอาจตัดสินใจที่จะใช้โหมดการขนส่งที่สะอาดกว่าแทนหากเป็นไปได้

การศึกษาร่วมกันระหว่าง McKinsey และ NielsenIQ ศึกษาการเติบโตของยอดขายของผลิตภัณฑ์ที่อ้างว่ามีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม พบว่ามีการเติบโตสะสมโดยเฉลี่ย 28% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เทียบกับ 20% สำหรับผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้อ้างสิทธิ์ดังกล่าว

 


บทความจากนิตยสาร MarketPlus ฉบับที่ 163 เดือนมกราคม 2567

[อ่าน 10,547]
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
15 เรื่องเด่น Google I/O 2025 เมื่อ AI กำลังจะพลิกโฉมโลก!
ไทยยืนยันปลอดโรคแอนแทรกซ์ในโค หลังลาวยกเลิกคำสั่งปิดด่าน เปิดทางส่งออกสัตว์มีชีวิตตามปกติ
รถยนต์ไฟฟ้าของ Cadillac กำลังดึงดูดลูกค้าใหม่ รวมถึงลูกค้าของ Tesla ด้วย
The Sims เปิดตัว Plumbob Headbands ที่สามารถเรืองแสงได้เหมือนซิมส์ของคุณ!
จีนเปิดตัว “Laozi Digital Human” AI โต้ตอบได้ ที่ Hangu Pass ยกระดับท่องเที่ยววัฒนธรรม
ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เปิดแพลตฟอร์มอาคารอัจฉริยะ EcoStruxure™ ช่วยธุรกิจลดใช้พลังงาน 15% คืนทุนใน 6 เดือน
MAGAZINE UPDATE
Owner
DOUBLE D CREATION Co.,Ltd.
เอเวอร์กรีนวิว ทาวเวอร์ ชั้น 4
เลขที่ 22/43 ซอยบางนา-ตราด 56 ถนนบางนา-ตราด
แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร 10260
Tel : 0-2751-4995-6
Mobile : 062-194-4561
Advertising
ติดต่อโฆษณา และ การตลาด
คุณศุภากร ยาตพงศ์ (บู)
Mobile : 08-1355-3636
Tel : 0-2751-4995-6
E-mail : market-plus@hotmail.com
info@marketplus.in.th
PR News
ส่งข่าวประชาสัมพันธ์
E-mail : info@marketplus.in.th,
market-plus@hotmail.com,
marketplus@hotmail.co.th
Copyright © 2016 DOUBLE D CREATION Co.,Ltd. All rights Reserved