ด้วยเป้าหมายที่ท้าทายในการก้าวเป็นศูนย์กลางด้านพลังงานยั่งยืนของเอเชีย ประเทศไทยคาดหวังว่างานแสดงเทคโนโลยีและการประชุมด้านพลังงานเพื่ออนาคตแห่งเอเชีย หรือ Future Energy Asia Exhibition & Conference (FEA) 2018 ซึ่งจะจัดขึ้นที่ศูนย์แสดงสินค้าไบเทค บางนา ระหว่างวันที่ 12-14 ธันวาคมนี้ จะช่วยเร่งการเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคพลังงาน 4.0 และการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศไปสู่ เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม
"FEA 2018" จัดขึ้นโดยได้รับความร่วมมือจากกระทรวงพลังงานของไทย เพื่อเป็นเวทีพบปะและแลกเปลี่ยนของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในแวดวงพลังงานทั้ง Energy Value Chain จากทั่วทุกมุมโลก ซึ่งรวมถึงผู้นำจากภาครัฐ บริษัทที่ดำเนินธุรกิจด้านพลังงานครบวงจร ผู้ให้บริการเทคโนโลยีสะอาด ผู้ประกอบการ และภาคส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีกมากมาย ซึ่งพร้อมจะรวมพลัง เพื่อกำหนดกลยุทธ์สำหรับภูมิภาคเอเชียและตอบสนองความต้องการด้านพลังงานในอนาคต
งานในปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด "The Future Energy Mix to 2030" โดยจะมีผู้เชี่ยวชาญ ตัวแทนระดับรัฐมนตรีของรัฐบาลประเทศต่างๆ และผู้บริหารระดับสูงที่มีอำนาจตัดสินใจ มาร่วมพูดคุย ถกเถียง และกำหนดทิศทางและแนวโน้มในอนาคตสำหรับเชื้อเพลิงแบบผสมผสานและเทคโนโลยีต่างๆ ที่จำเป็น โดยมุ่งความสนใจไปที่น้ำมันและก๊าซ เพื่อตอบสนองความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้น ปรับปรุงประสิทธิภาพและรองรับการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ (Lower-Carbon Economy)
ดร. ทวารัฐ สูตะบุตร ผู้ตรวจราชการกระทรวงพลังงาน กล่าวในที่ประชุมคณะกรรมจัดงาน FEA 2018 ว่า "จากความต้องการใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้นและแหล่งก๊าซธรรมชาติที่มีจำกัด คาดว่าปริมาณการนำเข้า LNG จะเพิ่มขึ้นเป็น 34.4 ล้านตันในปี 2579 กระทรวงพลังงานกำลังพิจารณาผ่อนปรนกฎระเบียบสำหรับอุตสาหกรรมก๊าซธรรมชาติให้เอื้อต่อการเข้าถึงของผู้ประกอบการ เพื่อลดปริมาณการนำเข้า LNG และให้เกิดการลงทุนในประเทศ เรากำลังศึกษาตัวเลือกต่างๆ ในแผนการเปิดเสรี เพื่อหาผู้เล่นรายใหม่ๆ มาลงทุนในอุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐานเกี่ยวกับก๊าซธรรมชาติของประเทศ ทั้งส่วนที่จะเป็นผู้ส่งออกรายใหม่ และกำลังมองหาพันธมิตรทางธุรกิจและโอกาสใหม่ๆ ด้วย
ประเทศไทยพยายามอย่างเต็มที่เพื่อขับเคลื่อนนโยบายพลังงาน 4.0 ซึ่งเน้นปรับเปลี่ยนและพัฒนาพลังงาน เพื่อความมั่นคงด้านพลังงานและพลังงานทดแทนที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ ทั้งสามวันของการจัดงานครั้งนี้จะเป็นเวทีที่เหมาะสำหรับบรรดา บริษัทน้ำมันแห่งชาติ (NOCs) และ บริษัทน้ำมันข้ามชาติ (IOCs) ตลอดจนบริษัทด้านสาธารณูปโภคระดับชาติ และ ผู้ผลิตไฟฟ้าอิสสระ (IPP) ผู้ให้บริการเทคโนโลยีสะอาด ผู้รับเหมาด้านวิศวกรรม และผู้จัดหาเงินทุน เพื่อส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านของประเทศจากผู้จัดหาเชื้อเพลิงแบบเดิมๆ ไปเป็นผู้ให้บริการด้านพลังงานแบบครบวงจร นอกจากนี้ ยังสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามอย่างต่อเนื่องของประเทศไทยในการส่งเสริมโครงการด้านพลังงานใหม่ๆ ดึงดูดการลงทุนภาคพลังงาน และการเป็นศูนย์กลางการสื่อสารกับนักลงทุนต่างประเทศและองค์กรระหว่างประเทศขนาดใหญ่ ซึ่งมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งยวดในการสร้างโอกาสการลงทุน"