ตอนที่แล้วผมพูดถึงเรื่องการ Refresh Brand ที่จำเป็นต้องมีบริบทเรื่องสิ่งแวดล้อมเข้าไปด้วย ท่านผู้อ่านที่ไม่ได้อ่านตอนแรก ผม recap ให้อ่านง่ายๆ สักเล็กน้อย เริ่มจาก ISO หรือ International Organization for Standardization มีตัวใหม่ๆ ด้านสิ่งแวดล้อมออกมามากมาย เช่น ISO 14064-1 เป็นมาตรฐานว่าด้วยเรื่องหลักการและข้อกำหนดระดับองค์กร สำหรับการวัดปริมาณและการรายงานผลการปลดปล่อยและลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก ISO 14020 เป็นมาตรฐานว่าด้วยเรื่องฉลากผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
Carbon Neutrality การเป็นกลางทางคาร์บอน คือความสมดุลระหว่างปริมาณคาร์บอนที่ถูกปล่อยกับปริมาณคาร์บอนที่ถูกกำจัด Net Zero การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ และมีบางประเทศสามารถทำได้ถึงขั้น Carbon Negative คือปล่อยก๊าซคาร์บอนน้อยกว่าปริมาณที่ดูดซับได้ เช่น ประเทศภูฏาน หรือองค์กรอย่าง Microsoft ที่ตั้งเป้าหมายแก้โลกร้อนที่ Carbon Negativity ภายในปี 2030 (จะทำได้จริงหรือไม่ต้องติดตาม)
ส่วนเรื่องฉลากก็ดูจะมีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ และน่าจะกลายเป็นสิ่งที่ทุกบริษัทต้องทำในที่สุด เราจึงควรรู้จัก EPD (Environmental Product Declaration) เป็นฉลากที่บอกองค์ประกอบของผลิตภัณฑ์ และผลกระทบที่มีต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นตลอดอายุการใช้งานของผลิตภัณฑ์นั้นๆ โดย EPD จะมีการคำนวณจากวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ (Life Cycle Assessment) ตั้งแต่ การคัดเลือกวัตถุดิบ กระบวนการผลิต การขนส่งสินค้า ไปจนถึงการใช้งาน ซึ่ง EPD จะมีการบอกรายละเอียดในเรื่องของทรัพยากรที่ใช้และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ในบทความตอนแรกผมกล่าวถึงการประชุมสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมที่สำคัญของโลกอย่าง COP (Conference of Parties to the United Nations Framework Convention on Climate Change) เป็นการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อัปเดตการประชุมล่าสุด COP ครั้งที่ 29 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 11 – 22 พฤศจิกายน 2568 ณ เมืองบากู ประเทศอาเซอร์ไบจาน COP29 ถูกเรียกว่าเป็น Financial COP เพราะมีเรื่องสำคัญคือ การกำหนดเป้าหมายใหม่ทางการเงิน (New Collective Quantified Goal on Climate Finance: NCQG) โดยที่ประชุมสรุปมีการกำหนดให้ประเทศที่พัฒนาแล้วจะต้องจัดสรรเงินช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาเพิ่มขึ้นเป็น 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี และมีเป้าหมายการระดมทุนรวม 1,300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2035
ดูจะเป็นเรื่องใหญ่ที่ทำได้หรือไม่ก็ไม่รู้ ระดมทุนได้หรือไม่ก็ไม่รู้ และประเทศกำลังพัฒนาได้ไปแล้วจะไปทำอะไรก็ไม่รู้ อย่างไรก็ตามก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย ยกตัวอย่างประเทศไทยของเรา ก็มีการตื่นตัวเรื่องเหล่านี้เป็นอย่างมาก ตามที่ผมเล่าให้ฟังในบทความทั้งสองตอนว่าถ้าอยากจะ Rebrand, Refresh หรือ Transform องค์กร จำเป็นต้องมีเรื่องสิ่งแวดล้อมเข้าไปเกี่ยวข้องแน่ๆ
ในการประชุม COP29 ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นำเสนอในที่ประชุม COP29 มี 5 ประเด็นสำคัญ ได้แก่
1. การขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ เพื่อการบรรลุ NDC 2030 ซึ่งคาดว่าสามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้ 43% จากเป้าหมาย 30-40% (NDC: National Determined Contribution คือ การมีส่วนร่วมที่แต่ละประเทศกำหนด หาอ่านได้ในบทความตอนที่ 1)
2. การขับเคลื่อนแผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
3. การเร่งผลักดัน ‘พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ’ ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) โดยคาดว่าจะบังคับใช้ในปี 2026 (ข้อนี้น่าจะกระทบกับการดำเนินงานของบริษัทต่างๆ ภายในประเทศ ที่ทำให้ต้องวางแผนปรับตัวกันครับ)
4. นำเสนอตัวอย่างการสร้างความร่วมมือของทุกภาคส่วนให้เป็นรูปธรรม จากการประชุมภาคีขับเคลื่อนการปฏิบัติงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทย ครั้งที่ 3 (Thailand Climate Action Conference: TCAC 2024)
5. การจัดส่งรายงานความโปร่งใสรายสองปี ฉบับที่ 1 (First Biennial Transparency Report: BTR1) ซึ่งประเทศไทยกำหนดให้สามารถจัดส่งได้ภายในเดือนธันวาคม 2024 ตามกำหนดเวลา
สำหรับการประชุม COP30 ในช่วงปลายปี 2025 จะจัดขึ้นที่เมืองเบเลม (Belém) ทางตอนเหนือของบราซิล
นอกจากการประชุม COP ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องสิ่งแวดล้อมโดยตรงแล้ว ในการประชุมระดับโลกต่างๆ ก็ยังมีการพูดถึงเรื่องสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง เช่น World Economic Forum 2025 นอกจากจะพูดถึงเรื่อง Digital Economy, Technology/ Energy Growth, Investment in People, Rebuilding Trust แล้ว ก็มีการพูดถึง Climate Change ว่าการลดคาร์บอนในปัจจุบันยังทำได้เพียง 66% ของเป้า Net Zero เท่านั้น
กลยุทธ์ 2 Low สูตรเด็ด 2025 Transformation
หลายท่านอ่านมาถึงตรงนี้แล้วอาจจะรู้สึกไกลตัวบ้าง ใกล้ตัวบ้าง แต่ที่แน่ๆ ทุกท่านอยากทราบว่าเราต้องทำอย่างไรในปีใหม่นี้ วางแผนกันอย่างไร ปรับตัวอะไรบ้าง ผมนำสูตรเด็ดง่ายๆ มาฝากนั่นคือสูตร 2 Low ครับ คือ ‘Low Cost or Low Carbon’ ท่านที่เรียนกลยุทธ์มาตั้งแต่กาลก่อนอาจคุ้นชินกับ Competitive Strategy ของ Porter ทั้งการสร้างความแตกต่าง (Differentiation) การเป็นผู้นำด้านต้นทุน (Cost Leadership) และการมุ่งตลาดเฉพาะส่วน (Focus)
ในปัจจุบันควรเพิ่ม 2 ตัวเข้าไปเป็นกลยุทธ์หลัก คือ Low Cost หรือต้นทุนต่ำ ในยุคที่จีนเป็นมหาอำนาจหลายด้านในโลก อย่างน้อยก็ด้านการผลิตสินค้า ดูได้จากเครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์ไฟฟ้า ทำให้สินค้าจากประเทศจีนมีราคาถูกมากจนถูกกว่าต้นทุนการผลิตของหลายๆ ประเทศ รวมทั้งประเทศไทย ประกอบกับ ‘ราคา’ กลายเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจของผู้บริโภคในยุคที่เศรษฐกิจไม่สู้ดีนัก การต่อสู้กับประเทศจีน และประเทศอื่นๆ จึงจำเป็นต้องทำให้ต้นทุนต่ำจริงๆ เพื่อให้สินค้าขายได้
หลายท่านอาจแย้งว่าไม่ต้องต้นทุนต่ำ แต่สร้างความแตกต่างจากสินค้าจีนสิ ท่านลองไปขับรถไฟฟ้าหลากยี่ห้อจากประเทศจีนดูหรือซื้อโทรศัพท์เคลื่อนที่ของจีนดู ท่านจะทราบว่ายุคของการสร้างความแตกต่างกำลังหมดไปแล้วเพราะสินค้าทุกอย่างตามทันกันหมดแล้วครับ เรื่อง Low Cost อีกอย่างที่ควรรู้จักคือต้นทุนทางการเงิน ถ้าเกี่ยวกับเรื่องสิ่งแวดล้อมท่านผู้อ่านควรรู้จัก Green Finance หรือการจัดสรรเงินทุนเพื่อวัตถุประสงค์ด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นการเพิ่มระดับการไหลเวียนของเงินทุน ทั้งจากกิจกรรมของธนาคาร การให้สินเชื่อรายย่อย การประกันภัยและการลงทุน
รวมไปถึง Green Loan หรือ สินเชื่อเพื่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นการจัดสรรเงินทุนจากผู้ให้กู้หรือสถาบันการเงินแก่กิจการที่ต้องการลงทุนในโครงการพัฒนาหรือปรับปรุงการดำเนินธุรกิจให้เกิดผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อม มักจะมีอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าสินเชื่อทั่วไปเนื่องจากมีการสนับสนุนโครงการที่มีประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม ดังนั้นถ้าเราจึงควรศึกษาเรื่อง Low Cost ให้มากขึ้นในทุกมิติครับ
นอกจากนี้ยังมีอีก 1 Low ให้ลองทำดู นั่นคือ Low Carbon เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เข้าใจก่อนได้เปรียบ ปรับตัวก่อนได้เปรียบ กลยุทธ์ Decarbonization เป็นสิ่งที่ทุกองค์กรควรกำหนดในการ Transform องค์กร โดย Novaone Advisor ได้ให้ข้อแนะนำ 5 เทคโนโลยีอนาคตในการ Decarbonization ไว้ดังนี้
1. Green Hydrogen กำลังมีการเติบโตทั่วโลก สามารถผลิตไฟฟ้าแบบปลอดคาร์บอนได้ สามารถใช้กับยานพาหนะได้
2. Carbon Capture Utilize and Storage ก็มีการเติบโตเช่นกัน โดยบริษัทน้ำมันชั้นนำของโลกกำลังดำเนินการเรื่องนี้ เช่น Shell, EXXON Mobil และ Chevron
3. AI Technology ช่วยทำให้ประหยัดกำลังคน ทำงานได้รวดเร็ว ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น Precision Farming
4. Nuclear Energy ที่ฟังดูแล้วน่าอันตราย แต่ผมไปฟังการไฟฟ้าฝ่ายผลิตของประเทศไทยมา เข้าใจว่าปลอดภัยขึ้นมากแล้ว และนำมาใช้เป็นพลังงานในอนาคต เช่น การผลิตไฟฟ้าของประเทศได้
5. Gene Modification การตกแต่งพันธุกรรม มีมูลค่าที่เติบโตขึ้นมาก ทำห้ผลผลิตสูงขึ้นโดยปล่อยคาร์บอนน้อยลง
จากบทความทั้งสองตอนที่ผมเล่าให้ฟัง หากท่านผู้อ่านคิดว่าน่าสนใจ และจำเป็นในการดำเนินธุรกิจ ผมแนะนำหลักสูตรที่ผมไปอบรมมานั่นคือ Net Zero CEO ที่จัดโดยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และธนาคารกสิกรไทย ผมเรียนรุ่นที่ 1 กำลังจะจบ ทราบว่ากำลังจะเปิดรุ่นสองเร็วๆ นี้ สิ่งที่ได้รับจากการอบรมคือ ข้อมูลเยอะมากมายมหาศาลจากผู้รู้ตัวจริง เสียงจริงจากทั่วโลกครับ เรียกว่าเยอะจนต้องเลือกรับทีเดียว นอกจากนี้จะได้เจอกับผู้บริหารจากบริษัทชั้นนำที่ใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง ช่วยกันต่อยอด Connection ได้ดีมากๆ ใครสนใจลองติดตามหลักสูตรนี้ดูนะครับ แล้วมีเรื่องสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ จะมาอัพเดทท่านผู้อ่านเรื่อยๆ ครับ
บทความจากนิตยสาร MarketPlus ฉบับที่ 172 December 2024