เคยสังเกตไหมว่าทุกครั้งที่ Apple เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ มักจะมีเสียงฮือฮาตามมาเสมอ?
แต่ตอนนี้ บริษัทที่เคยล้ำหน้าและสร้างปรากฏการณ์โลกมากมายกลับต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายครั้งใหญ่ที่สุด
Apple กำลังกระโดดตบลูกบอลที่ไม่ได้อยู่ในสนามของตัวเองอีกต่อไป ในขณะที่คลื่นลูกยักษ์ AI กำลังซัดสาดและท่วมทับทุกอย่างไปหมด
มาร์ค เกอร์แมน แห่ง Bloomberg ได้นำเสนอรายละเอียดของวิกฤติ AI ของ Apple อย่างน่าตกใจ บริษัทกำลังพยายามดิ้นรนไล่ตามเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์ หรือ Generative AI ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่หล่อเลี้ยง ChatGPT และแชตบอตสุดล้ำอื่นๆ
แต่ดูเหมือนว่าระยะห่างจะยิ่งถ่างกว้างขึ้นเรื่อยๆ และการเปิดตัวล่าสุดของ Alexa+ จาก Amazon ยิ่งตอกย้ำให้เห็นว่า Apple กำลัง ‘ตกขบวน’ อย่างน่าใจหาย
จาก ‘ผู้นำ’ กลายเป็น ‘ผู้ตาม’
น่าแปลกที่ไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนี้ด้วยซ้ำ Apple เองเคยเป็นแรงบุกเบิกในวงการแชตบอตมาก่อน เมื่อพวกเขาพา Siri เข้าสู่ตลาดในปี 2011 แต่แทนที่จะพัฒนาต่อยอดจนเหนือชั้น พวกเขากลับปล่อยให้จมดิ่งสู่ความล้าหลังอย่างน่าเสียดาย
เมื่อ Siri รุ่นใหม่ที่เสริมพลังด้วย AI เปิดตัวในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ทุกอย่างดูเพอร์เฟกต์บนจอภาพคอมพิวเตอร์กราฟิก โดย Siri ตัวใหม่สามารถเจาะลึกข้อมูลส่วนตัวเพื่อตอบคำถามได้แม่นยำ วิเคราะห์ภาพบนหน้าจอ และบังคับฟีเจอร์และแอปต่างๆ ได้อย่างเหนือชั้น
แต่ความจริงที่น่าตกใจคือ Apple แทบไม่มีต้นแบบที่ใช้งานได้จริงเลยด้วยซ้ำ และตอนนี้วิศวกรของ Apple กำลังเร่งสปีดทำงานหนักเพื่อให้เสร็จทันภายในเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้
ยิ่งไปกว่านั้น ชุดฟีเจอร์ AI ที่เรียกว่า Apple Intelligence ที่เริ่มทยอยเปิดตัวตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้ว ก็ยังไม่น่าประทับใจเท่าที่ควร ความสามารถที่มีในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือช่วยเขียน การถอดข้อความเสียง อิโมจิแบบสร้างเองที่เรียกว่า Genmoji หรือ Image Playground แอปที่ทำให้รูปถ่ายกลายเป็นการ์ตูนได้ ตลอดจนระบบจัดเรียงอีเมลอัตโนมัติและการแจ้งเตือนที่ดีขึ้น ล้วนแล้วแต่เป็นเพียงฟีเจอร์ ‘ถ้ามีก็ดี’ เท่านั้น บางอย่างแทบจะไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง
นี่คงเป็นช่วงเวลาที่น่าตกใจเป็นอย่างมาก เพราะบริษัทที่เคยสร้างนวัตกรรมระดับตำนานให้วงการเทคโนโลยีกลับกำลังพ่ายแพ้อย่างหมดรูปในสงคราม AI หรือ ‘อย่างน้อยก็ในตอนนี้’ ตามที่เกอร์แมน กล่าวไว้
แชตบอตแค่ ‘เลียนแบบ’
ยังทำได้ไม่ดี
แม้แต่ความพยายามผนึกกำลังกับ OpenAI เพื่อนำ ChatGPT มาซ่อมช่องโหว่ในซอฟต์แวร์ของตัวเอง ก็ยังทำออกมาได้ไม่น่าประทับใจ ฟีเจอร์นี้ดูเหมือนถูกยัดเยียดเข้ามาทีหลังและขาดความลื่นไหลในการสนทนา
ขณะที่ฟีเจอร์ Visual Intelligence ที่ออกแบบมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งของต่างๆ ที่เราเห็นในชีวิตประจำวันก็เป็นเพียงเวอร์ชั่นที่ด้อยกว่า Google Lens เท่านั้น
ที่แย่ไปกว่านั้น การสรุปการแจ้งเตือนของ Apple ซึ่งเป็นหนึ่งในคอนเซปต์ AI พื้นฐานที่สุดที่ AI ต้องมี กลับต้องถูกปิดใช้งานในบางแอปหลังจากที่มีปัญหาปลอมแปลงการแจ้งเตือนข่าวด่วน
เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้ความหวังที่ว่า Apple Intelligence จะเป็นแรงจูงใจให้ผู้บริโภคอัปเกรดอุปกรณ์เริ่มเลือนราง แทบไม่มีเหตุผลให้ใครต้องควักกระเป๋าซื้อ iPhone รุ่นใหม่หรือผลิตภัณฑ์อื่นๆ เพียงเพื่อให้ได้ซอฟต์แวร์เหล่านี้มาใช้
เกอร์แมน รายงานว่า Apple รู้ดีถึงปัญหานี้ แม้บริษัทจะอ้างกับ Wall Street ว่า iPhone ขายดีขึ้นในภูมิภาคที่มีการเสนอฟีเจอร์ AI ก็ตาม แต่ข้อมูลภายในบริษัทเปิดเผยชัดเจนว่าการใช้งานจริงของ Apple Intelligence อยู่ในระดับต่ำมาก
ช้ากว่านี้ก็ถอดใจกันได้เลย
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ Apple มักจะเข้าสู่ตลาดใหม่หลังคู่แข่ง พวกเขาไม่ใช่เจ้าแรกที่ขายสมาร์ทวอทช์ โทรศัพท์มือถือ หรือหูฟังไร้สาย แต่มักจะปรากฏตัวพร้อมนวัตกรรมที่เหนือชั้นกว่า แม้แต่ Vision Pro ที่ยอดขายไม่ถล่มทลายก็ยังเป็นตัวอย่างของเทคโนโลยีระดับสุดยอด
แต่กับ Apple Intelligence เรื่องราวกลับตรงกันข้าม เพราะบริษัทกำลังวิ่งไล่ตาม ChatGPT, Gemini ของ Google และ Copilot ของ Microsoft
แม้ที่ผ่านมา Apple พยายามจะชูจุดเด่นว่า ‘AI สำหรับคนธรรมดาทั่วไป’ ในการเปิดตัวเทคโนโลยีเมื่อเดือนมิถุนายนปีที่ผ่านมาก็ตาม
แต่เป้าหมายนั้นยังห่างไกลความเป็นจริง ระบบของพวกเขายังห่างชั้นจากคู่แข่ง และการพลาดในจุดนี้อาจมีผลกระทบร้ายแรงต่อบริษัท
เหตุผลเป็นเพราะ AI กำลังจะกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเราและเปลี่ยนวิธีที่เราโต้ตอบกับอุปกรณ์ สื่อสาร และทำงานต่างๆ ให้สำเร็จ
รอไปอีก... 3 ปี!
Siri เวอร์ชั่นใหม่จะเป็นบททดสอบว่า Apple จะกลับมาแข่งขันได้จริงหรือไม่ ซอฟต์แวร์นี้คาดว่าจะเปิดตัวในเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้ หลังจากที่ต้องรอกันแสนนานเกือบหนึ่งปีนับจากวันที่ประกาศครั้งแรก
ปัจจุบัน Siri บน iOS 18 มีสมอง 2 ส่วน ส่วนแรกจัดการคำสั่งเดิมๆ อย่างตั้งนาฬิกาปลุกหรือโทรออก ส่วนที่สองรับมือกับคำขอที่ซับซ้อนกว่า
เกอร์แมน เปิดเผยว่า เพื่อให้ Apple Intelligence ออกมาทันเป็นส่วนหนึ่งของ iOS 18 บริษัทไม่มีเวลาผสานระบบทั้งสองเข้าด้วยกัน ส่งผลให้ซอฟต์แวร์ทำงานไม่ราบรื่นเท่าที่ควร
สำหรับ iOS 19 แผนของ Apple คือการหลอมรวมระบบทั้งคู่และเปิดตัวสถาปัตยกรรม Siri ใหม่ คาดว่าจะมีการแนะนำเร็วที่สุดในงาน Worldwide Developers Conference ช่วงเดือนมิถุนายนปีนี้
โดยทีม Apple เรียกระบบใหม่นี้ว่า ‘LLM Siri’ ภายในบริษัท แต่การพัฒนาจะใช้เวลาอีกยาวนาน คาดว่าผู้ใช้จะได้สัมผัสของจริงประมาณฤดูใบไม้ผลิ ปี 2026 ผ่านการอัปเดต iOS 19.4 ซึ่งจะทำให้ Siri สามารถพูดคุยได้เป็นธรรมชาติมากขึ้นกว่าเดิม
ก่อนที่ Apple จะเร่งรัดการพัฒนา Siri รุ่นใหม่ที่ควรจะสามารถทำงานคล้าย ChatGPT และ Alexa+ ได้เสียที พวกเขาจำเป็นต้องแก้ไขระบบพื้นฐานก่อน ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย
นั่นทำให้คนวงในแผนก AI ของ Apple เชื่อว่า Siri ที่ทันสมัยและสามารถสนทนาได้อย่างเป็นธรรมชาติจริงๆ จะเริ่มถึงมือผู้บริโภคอย่างเร็วที่สุดคือในปี 2027 เมื่อ iOS 20 เปิดตัว และทิศทางการพัฒนาเบื้องหลังกำแพง Apple Park ก็เผยให้เห็นปัญหาที่ซับซ้อนยิ่งกว่า
Siri ของ Apple:
วิกฤติศรัทธากับคำรับสารภาพที่ปวดใจ
ต่อมาในวันที่ 15 มีนาคม ม่านหมอกแห่งวิกฤติ AI ของ Apple ได้ถูกเปิดออกอีกชั้น เมื่อ รอบบี้ วอล์คเกอร์ ผู้บริหารระดับสูงที่กุมบังเหียนโครงการ Siri ต้องออกมายอมรับกับทีมงานด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า ความล่าช้าของฟีเจอร์สำคัญไม่ใช่แค่เรื่องน่าผิดหวัง แต่เป็น ‘ความอับอายและน่าขายหน้า’ อย่างที่สุด
“นี่เป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายของพวกเรา” วอล์คเกอร์กล่าวในที่ประชุมของแผนก Siri อย่างไม่มีการอ้อมค้อม เสียงกระซิบของพนักงานที่อยู่ในห้องประชุมเล่าว่า บรรยากาศดูหม่นหมองราวกับงานประชุมวิกฤติที่ไร้ทางออก ท่ามกลางสีหน้าหมองคล้ำของทีมงานที่ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจมาตลอดหลายเดือน
ปัญหาไม่ได้อยู่แค่ว่าพวกเขาทำงานไม่สำเร็จ แต่เป็นเพราะ Apple เลือกที่จะ ‘เอาหน้า’ ไปก่อน ด้วยการนำเทคโนโลยีที่ยังไม่พร้อมมาโชว์ต่อสาธารณชน
“เราไม่ได้แสดงแผนหลังจากที่ทำเสร็จแล้ว แต่เราเลือกที่จะอวดมันก่อน”
วอล์คเกอร์ระบายความอัดอั้น พร้อมเสริมด้วยความรู้สึกเจ็บปวดว่า สิ่งที่แย่ไปกว่านั้นคือฝ่ายการตลาดยังผลักดันให้นำเทคโนโลยีนี้มาโปรโมตอย่างจริงจัง
ขายฝันทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้
ฝ่ายการตลาดของ Apple ยังคงยืนยันที่จะนำเทคโนโลยีนี้มาเป็นจุดขายของ iPhone 16 ทั้งๆ ที่ต้นแบบของ Siri รุ่นใหม่ยังแทบใช้งานไม่ได้เลย พวกเขารู้อยู่เต็มอกว่ากำลังขายฝัน แต่ก็เลือกที่จะทำ เพราะนอกจากนั้น iPhone 16 แทบไม่มีจุดขายอื่นที่โดดเด่นพอจะดึงดูดผู้บริโภค
Apple Intelligence ถูกนำเสนอในแคมเปญการตลาดและโฆษณาทางทีวีหลายชุดตั้งแต่ปีที่แล้ว แม้ภายในบริษัทจะรู้ดีว่าเทคโนโลยีนี้ยังห่างไกลจากสิ่งที่นำเสนอต่อสาธารณชน บางทีนี่อาจเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของ Apple ที่พวกเขาโฆษณาในสิ่งที่แทบไม่มีอยู่จริง
วอล์คเกอร์ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าแม้แต่ตอนนี้ Siri รุ่นใหม่ก็ยังทำงานได้ถูกต้องเพียง 60-80% ของเวลาเท่านั้น ซึ่งหมายความว่า มันยังล้มเหลวทุก 1 ใน 3 ครั้งที่ใช้งาน
เกณฑ์นี้จึงไม่อาจเป็นที่ยอมรับได้สำหรับผลิตภัณฑ์ระดับโลกของบริษัทที่ภาคภูมิใจในมาตรฐานอันสูงลิบ
ทีมงานกับภาวะหมดไฟ
“พวกคุณอาจจะรู้สึกโกรธ ผิดหวัง หมดแรง และอับอาย” วอล์คเกอร์ กล่าวกับทีมงาน
ความเหนื่อยล้าและหมดแรงบันดาลใจเริ่มคืบคลานสู่แผนก AI ของ Apple หลายคนทำงานหนักแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอนเพื่อให้ทันกำหนดเส้นตายในเดือนพฤษภาคม แต่ก็ต้องพบกับความจริงที่ว่า พวกเขายังห่างไกลจากเป้าหมายมากเกินไป
คำขวัญ “อย่าคิดแตกต่าง แต่ให้คิดเป็นไปได้” ที่ ทิม คุก มักพูดถึง ดูเหมือนจะเลือนหายไปจากวัฒนธรรมองค์กร
วอล์คเกอร์รับรู้ถึงปัญหานี้ดี เขาประกาศให้ทีมมีสิทธิ์ลาพักเพื่อชาร์จพลังใหม่ เพราะยังมี “งานหนักมากมายรออยู่ข้างหน้า” ด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกว่า การเดินทางนี้ยังอีกยาวไกล
คำว่า “ขอเวลาอีกไม่นาน” ที่ Apple มักใช้เป็นมนตร์วิเศษ กลับกลายเป็นคำที่ไร้ความหมาย เมื่อวอล์คเกอร์เองยังไม่กล้ายืนยันว่าฟีเจอร์ใหม่จะพร้อมในปี 2026 ตามที่คาดการณ์ไว้ เพราะ “เราไม่ได้หมายความว่าเรากำลังจะส่งมอบในตอนนั้น” โครงการอื่นๆ ของบริษัทอาจมีความสำคัญเร่งด่วนมากกว่า
ว่ายแสนไมล์แต่ยังไม่ถึงฝั่ง
กระนั้น วอล์คเกอร์ยังคงพยายามปลอบใจทีมงานด้วยคำกล่าวเปรียบเปรยที่น่าประทับใจ “เราวิ่งมาไกลมากแล้ว อาจจะไกลที่สุดในประวัติศาสตร์ด้วยซ้ำ แต่ปลายทางยังอยู่อีกไกล และเรายังไปไม่ถึง” เขากล่าว
“น่าเสียดายที่โลกไม่ได้ชื่นชมระยะทางอันไกลที่เราก้าวผ่านมา แต่กลับจดจำเพียงว่าเราล้มเหลวในการไปให้ถึงเส้นชัย”
เขายังแสดงให้เห็นว่าระบบสามารถทำงานได้ในบางกรณี เช่น ค้นหาเลขใบขับขี่ตามคำสั่ง หาภาพถ่ายเฉพาะของเด็ก รวมถึงสาธิตวิธีที่เทคโนโลยีสามารถควบคุมแอปด้วยเสียงได้อย่างแม่นยำ เช่น แทรกเนื้อหาในอีเมล เพิ่มผู้รับ และทำการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ
แต่การทดสอบเหล่านี้เกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมควบคุม ยังห่างไกลจากการใช้งานจริงในชีวิตประจำวันที่มีตัวแปรมากมาย นี่คือสาเหตุที่ เครก เฟเดอริกี หัวหน้าฝ่ายซอฟต์แวร์ ได้แสดงความกังวลต่อผู้บริหารระดับสูงคนอื่นๆ ว่าฟีเจอร์เหล่านี้ไม่ได้ทำงานตามที่โฆษณาไว้ ซึ่งในที่สุดนำไปสู่การตัดสินใจเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด
อนาคตที่ไกลเกินเอื้อม
สิ่งที่น่าวิตกกว่านั้นคือ ความก้าวหน้าที่แท้จริงของ Siri ยังคงเป็นเพียงภาพฝันที่ไกลโพ้น Apple วางแผนที่จะทำให้ Siri สามารถสนทนาได้อย่างเป็นธรรมชาติจริงๆ ในปี 2027 แต่ถ้าดูจากการปฏิบัติงานที่ผ่านมา แม้แต่กำหนดการนี้ก็ยังเป็นเพียงการคาดเดาที่อาจจะเป็นไปได้ยาก
วอล์คเกอร์ยอมรับว่า การนำ Siri มาสู่ยุคใหม่ต้องอาศัยโครงสร้างพื้นฐานใหม่ทั้งหมด “มีสิ่งมากมายที่เราจะเก็บไว้และมีสิ่งสำคัญที่เราจะเปลี่ยนแปลง” เขากล่าว ประโยคนี้สะท้อนให้เห็นว่า Apple กำลังพิจารณาทุกทางเลือก รวมไปถึงการรื้อระบบเก่าทิ้งและเริ่มต้นใหม่ ซึ่งเป็นการยอมรับโดยนัยว่าโครงสร้างปัจจุบันอาจไม่สามารถแข่งขันกับ ChatGPT หรือ Gemini ได้เลย
ในขณะที่บริษัทยังไม่มีแผนจะไล่ผู้บริหารระดับสูงออกในทันที แต่ก็มีการพูดคุยถึงการปรับเปลี่ยนในการบริหารครั้งใหญ่ รวมถึงการดึงตัวผู้บริหารที่มีประสบการณ์มาช่วยกอบกู้สถานการณ์
สัญญาณเหล่านี้บ่งบอกว่า ผู้บริหารระดับสูงเริ่มรู้สึกถึงแรงกดดันและความรับผิดชอบร่วมกันในวิกฤติครั้งนี้
แม้จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์รุนแรง แต่วอล์คเกอร์ยังคงยืนยันว่า Apple จะไม่ยอมลดมาตรฐาน ‘สิ่งเหล่านี้ยังไม่พร้อมที่จะออกสู่สาธารณชนทั่วไป แม้คู่แข่งของเราอาจเปิดตัวพวกมันในสภาพนี้หรือแย่กว่า’
ทุกคนในห้องประชุมรู้ดีว่า เส้นทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล และหากพวกเขาไม่สามารถพลิกสถานการณ์ได้ บริษัทที่เคยบุกเบิกมาตรฐานใหม่ให้วงการอาจต้องกลายเป็นเพียงเรื่องเล่าในตำนานเทคโนโลยี บทเรียนราคาแพงครั้งนี้อาจจะตอกย้ำคำกล่าวเก่าแก่ที่ว่า “ชัยชนะสร้างความประมาท ความพ่ายแพ้ก่อให้เกิดปัญญา”
แต่สำหรับ Apple แล้ว การกลับมาครั้งนี้อาจต้องใช้มากกว่าแค่ปัญญา แต่ต้องอาศัยความกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อย่างแท้จริง
ปัญหาเชิงลึก
ผู้ที่เกี่ยวข้องกับงาน AI ของ Apple บอกกับเกอร์แมน ว่าโมเดลพื้นฐานและโมเดลภาษาขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำหรับฟีเจอร์ AI ที่พัฒนาเอง กำลังชนเพดานขีดจำกัด
อีกทั้งยังมีปัญหาเรื่องคู่แข่งที่ดึงตัวบุคลากรที่มีความสามารถไป รวมถึงการบริหารงานภายในที่ขาดประสิทธิภาพที่ทาง Apple เองกำลังเผชิญ
Apple หวังว่าโมเดลของพวกเขาจะมีความสามารถมากขึ้นในที่สุด (เหมือนที่เคยโม้ไว้เสียที) แต่การจัดหาชิปให้เพียงพอก็เป็นอีกความท้าทายหนึ่ง มีการแย่งชิงตัวเร่ง AI ส่วนใหญ่จาก Nvidia Corp. เพื่อฝึกฝนซอฟต์แวร์ทั่วทั้งอุตสาหกรรม
นั่นอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมบริษัทจึงเพิ่มการผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI ของตัวเองและมีทีมชิปทำงานบนโซลูชั่นใหม่ๆ คู่แข่งในอุตสาหกรรมได้ฮุบกำลังการผลิตส่วนใหญ่ไปแล้ว ตามคำบอกเล่าของพนักงานหลายคน เมื่อ Apple ตระหนักว่าพวกเขาต้องการทรัพยากรมากขึ้นหลังจากถูก ChatGPT จับได้ว่าล้าหลัง ก็สายเกินไปที่จะได้มาเพียงพอ
นอกจากนี้ อุตสาหกรรม AI กำลังพัฒนาเร็วมากจนบ่อยครั้งที่ผลงานของทีมกลายเป็นของล้าสมัยก่อนที่จะได้เปิดตัวด้วยซ้ำ
ทางรอดของ Apple
หลังจากเผชิญกับวิกฤติความล่าช้าและปัญหาคุณภาพ Apple ยังมีทางออกที่ยังเป็นไปได้ นั่นคือการเดินตามรอย Samsung, Microsoft และ Amazon ด้วยการพึ่งพาเทคโนโลยีจากภายนอกมากขึ้น แทนที่จะดันทุรังพัฒนาเองทั้งหมด
คู่แข่งในตลาดได้พิสูจน์แล้วว่าการร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางอย่าง Gemini, ChatGPT และ Claude สามารถช่วยให้พวกเขาก้าวล้ำไปได้อย่างรวดเร็ว Apple อาจต้องพิจารณาเส้นทางนี้อย่างจริงจัง โดยผสานโมเดล AI จากบุคคลที่สามเข้ากับอุปกรณ์และแอปของตน แล้วค่อยๆ พัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองตามมาในภายหลัง
ที่จริงแล้ว Apple มีความร่วมมือกับ ChatGPT อยู่แล้ว แต่เป็นเพียงการผนวกแบบผิวเผิน ปัจจุบัน OpenAI ไม่ได้ขับเคลื่อนฟีเจอร์หลักของ Apple Intelligence แต่ทำหน้าที่เพียงตัวสำรองในกรณีที่ Siri ตอบไม่ได้ หรือเป็นเพียงตัวช่วยวิเคราะห์ภาพใน Visual Intelligence ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่แทบไม่มีใครใช้
เบื้องหลังกำแพง Apple Park มีการปรับโครงสร้างผู้นำเพื่อแก้ไขสถานการณ์ คิม วอร์แรธ ผู้จัดการมากประสบการณ์ผู้เคยพลิกโครงการ Vision Pro ให้สำเร็จถูกดึงมาช่วยทีม AI
แม้ จอห์น เจียนนันเดรีย อดีตผู้บริหารระดับสูงของ Google จะยังคงนำทีมอยู่ แต่ในแผนก AI หลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า ทิม คุก หรือแม้แต่คณะกรรมการบริษัท ควรทำการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่กว่านี้หรือไม่
ผู้บริหารของ Apple เชื่อมั่นว่าแม้จะล้าหลังในด้าน AI แต่บริษัทไม่ได้เสี่ยงต่อการสูญเสียฐานลูกค้า ด้วยจุดแข็งด้านการผสานระบบฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ความเชี่ยวชาญด้านชิป และอินเทอร์เฟซผู้ใช้ที่ลูกค้าคุ้นเคย แต่เกอร์แมนมองว่าการปฏิวัติ AI มีพลังเปลี่ยนแปลงมากพอที่จะสั่นคลอนธุรกิจของ Apple ได้
ลงทุนมหาศาลเพื่อพลิกเกม
ที่น่าสนใจคือ Apple เพิ่งประกาศแผนการลงทุนมหาศาลกว่า 5 แสนล้านดอลลาร์ในสหรัฐ พร้อมจ้างงานใหม่ถึง 20,000 ตำแหน่ง ซึ่งรวมถึงการสร้างโรงงานผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI ในฮูสตัน
แม้ไม่มีเหตุผลทางธุรกิจที่ชัดเจนว่าทำไมต้องผลิตในอเมริกา แต่นี่แสดงให้เห็นถึงความพยายามอย่างหนักที่จะเพิ่มศักยภาพด้าน AI โดยเร็วที่สุด แม้บางส่วนของการลงทุนนี้อาจมีแรงจูงใจทางการเมืองด้วยก็ตาม
อย่างไรก็ตาม เกอร์แมนวิเคราะห์ว่า การลงทุนครั้งนี้คล้ายคลึงกับที่ Apple เคยประกาศในยุคไบเดน ที่สัญญาจะลงทุน 4.3 แสนล้านดอลลาร์ใน 5 ปี ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งมาจากภาวะเงินเฟ้อ และที่สำคัญ Apple ไม่จำเป็นต้องทำตามสัญญาทั้งหมด ดังที่เห็นได้จากโครงการในนอร์ทแคโรไลนาที่ถูกระงับไปโดยไม่มีกำหนด
แม้จะลงทุนมหาศาล แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการเร่งพัฒนาเทคโนโลยี AI ให้ทันคู่แข่ง เพราะนี่คือการปฏิวัติเทคโนโลยีครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในรุ่น และนาฬิกาทรายกำลังร่วงผ่านไปอย่างรวดเร็ว
หากไม่สามารถปรับตัวและเร่งพัฒนาให้ทัน ยักษ์ใหญ่ผู้เคยเปลี่ยนโลกด้วยนวัตกรรมล้ำสมัยอาจกลายเป็นเพียงตำนานให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา ว่าครั้งหนึ่งมีบริษัทที่พลาดโอกาสสำคัญจนต้องตกขบวนประวัติศาสตร์
บทความจากนิตยสาร MarketPlus ฉบับที่ 175
มีนาคม - เมษายน 2568