นางพิทยา วรปัญญาสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2568 มีแนวโน้มชะลอตัวลง และอาจส่งผลต่อเนื่องถึงปี 2569 จากปัจจัยสำคัญของผลกระทบภาคการส่งออกจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ ซึ่งความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจนี้ส่งผลให้อุตสาหกรรมสินเชื่อหดตัวลง และผู้บริโภคยังระมัดระวังการใช้จ่าย”
“ภายใต้ความท้าทายและปัจจัยกดดันจากสภาวะเศรษฐกิจโลก และความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจในประเทศ เคทีซียังคงสร้างผลการดำเนินงานได้ดี จากการบริหารคุณภาพสินทรัพย์และการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัล รวมทั้งเพิ่มส่วนแบ่งตลาดในทุกผลิตภัณฑ์หลักในช่วง 8 เดือนของปี 2568
เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปี 2567 ลูกหนี้บัตรเครดิตมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 14.5% จาก 14.2% ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 13.4% จาก 12.8% และลูกหนี้สินเชื่อบุคคลมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 4.2% จาก 4.0%”
“กลุ่มบริษัทเคทีซียังรักษาฐานรายได้รวมไว้อย่างมั่นคง จากช่วงเดียวกันของปี 2567 โดยไตรมาส 3/2568 อยู่ที่ 6,906 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 0.2%) จากรายได้ดอกเบี้ยตามการขยายตัวของพอร์ตสินเชื่อ ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรที่ยังคงเพิ่มสูงขึ้น และการบริหารค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีค่าใช้จ่ายรวม 4,343 ล้านบาท (ลดลง 4.0%) จากผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นลดลง
ซึ่งเป็นผลจากการบริหารคุณภาพสินทรัพย์ได้ดี และค่าใช้จ่ายทางการเงินที่ลดลงจากการบริหารเงินกู้ยืมที่สอดคล้องกับการขยายตัวของพอร์ตสินเชื่อ ส่งผลให้ กลุ่มบริษัทเคทีซีสามารถทำกำไรสุทธิในไตรมาส 3/2568 เท่ากับ 1,951 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 1.7%) และงวด 9 เดือน เท่ากับ 5,707 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 2.8%) และยังคงรักษาระดับเงินสำรองที่แข็งแกร่งและเพียงพอ
ซึ่งสะท้อนได้จาก NPL ratio ของกลุ่มบริษัท ไม่เกินกว่าอัตราที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ อย่างไรก็ตาม บริษัทยังให้ความสำคัญกับการติดตามสภาวะเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินสถานการณ์และดำเนินธุรกิจด้วยความรอบคอบและระมัดระวัง”
“สำหรับความคืบหน้าในการประกอบธุรกิจนายหน้าประกันภัย (ประกันวินาศภัยและประกันชีวิต) ของเคทีซี ตามที่ได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2568 ขณะนี้บริษัทได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัยและนายหน้าประกันชีวิตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) รวมถึงได้แจ้งต่อธนาคารแห่งประเทศไทยผ่านธนาคารกรุงไทย เกี่ยวกับการเพิ่มเติมการประกอบธุรกิจของบริษัทเรียบร้อยแล้ว
และปัจจุบันอยู่ระหว่างการเตรียมงานในส่วนต่างๆ รวมถึงการสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรบริษัทประกันวินาศภัยและบริษัทประกันชีวิต เพื่อให้สามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่หลากหลายผ่านช่องทางต่างๆ ของเคทีซีได้อย่างมีประสิทธิภาพ เน้นการนำเอาเทคโนโลยีมาปรับใช้ เพื่อตอบสนองความต้องการของสมาชิกให้ตรงจุด ยกระดับการให้คำแนะนำและการจัดการข้อมูลลูกค้าอย่างปลอดภัย โดยจะนำเสนอผลิตภัณฑ์ประกันภัยและสิทธิประโยชน์แก่สมาชิกบัตร
เครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลของเคทีซีเป็นจุดเริ่มต้น เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ตลอดจนเพิ่มรายได้ค่าธรรมเนียมจากการนำเสนอผลิตภัณฑ์ประกันภัย เคทีซีเริ่มดำเนินการประกอบธุรกิจนายหน้าประกันภัยในฐานะธุรกิจใหม่ โดยมุ่งเน้นการเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไปและรอบคอบ ควบคู่ไปกับการขยายพอร์ตสินเชื่ออย่างต่อเนื่อง ภายใต้หลักการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบและเป็นธรรม ให้ความสำคัญกับการควบคุมคุณภาพสินทรัพย์และการบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว”
ในส่วนของแหล่งเงินทุน กลุ่มบริษัทมีเงินกู้ยืมรวมทั้งสิ้น 55,655 ล้านบาท (รวมหนี้สินตามสัญญาเช่า) แบ่งเป็นเงินกู้ยืมระยะยาว 70% และเงินกู้ยืมระยะสั้น 30% (รวมส่วนของเงินกู้ยืมและหุ้นกู้ที่ครบกำหนดชำระภายใน 1 ปี) อัตราส่วนของหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นลดลงอยู่ที่ 1.51 เท่า ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้าที่ 1.78 เท่า
ซึ่งอยู่ในระดับต่ำมากเมื่อเทียบกับภาระผูกพัน (Debt Covenants) ที่กำหนดไว้ 10 เท่า สะท้อนให้เห็นถึงความยืดหยุ่นทางการเงินที่สูงในการขยายธุรกิจ รองรับความผันผวนทางเศรษฐกิจในอนาคต และมีวงเงินสินเชื่อคงเหลือที่ยังไม่เบิกใช้ แบ่งเป็นวงเงินกู้ยืมระยะสั้น 25,990 ล้านบาท
ในขณะที่มีภาระหนี้หุ้นกู้และเงินกู้ยืมระยะยาวที่จะครบกำหนดชำระในไตรมาส 4 ปี 2568 ทั้งสิ้น 4,000 ล้านบาท ด้วยสภาพคล่องที่สูงกว่าภาระหนี้ที่ใกล้ครบกำหนด แสดงถึงสถานะสภาพคล่องที่แข็งแกร่งและความเสี่ยงด้านการผิดนัดชำระหนี้ในระยะสั้นที่อยู่ในระดับต่ำมาก