กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ) รายงาน ผลประกอบการ 9 เดือนแรกปี 2568 มีกำไรสุทธิจำนวน 24,612 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.1% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 โดยมีปัจจัยหลักมาจากการลดลงของผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น กำไรพิเศษที่เกิดจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนใน บมจ. ติดล้อ โฮลดิ้งส์ (TIDLOR) ซึ่งบางส่วนสุทธิด้วยการลดลงของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ สอดคล้องกับการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายและการชะลอตัวของเงินให้สินเชื่อ
ภายใต้สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่มีความท้าทาย ส่งผลให้ความต้องการเงินให้สินเชื่อลดลง กรุงศรียังคงเดินหน้าตามยุทธศาสตร์ระยะกลางและระยะยาวเพื่อสนับสนุนการเข้าถึงบริการทางการเงิน และสร้างโอกาสการเติบโตในตลาดลูกค้ารายย่อยและผู้ประกอบการ SME โดยการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน TIDLOR เพิ่มขึ้นจาก 30.18% เป็น 46.51% ในไตรมาสสามของปี 2568
สรุปผลประกอบการและฐานะการเงินที่สำคัญสำหรับช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568:
นายเคนอิจิ ยามาโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “กรุงศรียังคงมุ่งมั่นดำเนินการตามกลยุทธ์ที่สำคัญสำหรับปีนี้ โดยมุ่งเน้นการบริหารจัดการต้นทุนทางการเงินอย่างรัดกุมต่อเนื่อง เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน และการบริหารความเสี่ยงที่รอบคอบระมัดระวัง นอกจากนี้ ธนาคารยังเดินหน้าตามยุทธศาสตร์ระยะกลางและระยะยาวในการเพิ่มการเข้าถึงบริการทางการเงิน รวมถึงการสร้างโอกาสการเติบโตในกลุ่มลูกค้ารายย่อยและ SME สะท้อนได้จากการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้น ใน บมจ. ติดล้อ โฮลดิ้งส์ ซึ่งเป็นการต่อยอดความแข็งแกร่งของธนาคารในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่”
นายเคนอิจิให้ความเห็นเรื่องแนวโน้มเศรษฐกิจว่า “เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 เผชิญแรงกดดันที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะจากผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมของนโยบายทางการค้าของสหรัฐฯ รวมถึงการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวที่ยังคงเปราะบาง และอุปสงค์ในประเทศที่อ่อนแรง อย่างไรก็ตาม คาดว่าปัจจัยที่จะช่วยประคองการขยายตัวของเศรษฐกิจในไตรมาสที่สี่ มาจากเสถียรภาพทางการเมืองที่ปรับตัวดีขึ้น กอปรกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่มุ่งสนับสนุนการบริโภคและการท่องเที่ยวภายในประเทศ ทั้งนี้ กรุงศรียังคงประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจปี 2568 ที่ 2.1%”
ณ วันที่ 30 กันยายน 2568 กรุงศรีซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจการเงินที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับห้าในระบบเศรษฐกิจไทยจากมูลค่าสินทรัพย์ สินเชื่อและเงินรับฝาก และเป็นหนึ่งในสถาบันการเงินที่มีความสำคัญเชิงระบบ (D-SIB) มีสินเชื่อรวม 1.95 ล้านล้านบาท เงินรับฝาก 1.72 ล้านล้านบาท และสินทรัพย์รวม 2.59 ล้านล้านบาท ขณะที่เงินกองทุนของธนาคารอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 336.98 พันล้านบาท หรือเทียบเท่า 20.23% ของสินทรัพย์เสี่ยง โดยเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของคิดเป็น 16.02%