

นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยขับเคลื่อนด้วยอีคอมเมิร์ซ การผลิต และการค้าข้ามพรมแดนที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้ความต้องการคลังสินค้าที่มีประสิทธิภาพพุ่งสูงขึ้น ความร่วมมือครั้งนี้จึงเป็นมากกว่า “การปล่อยกู้” แต่เป็นการสร้างรากฐานโครงสร้างพื้นฐานใหม่ของประเทศ รองรับซัพพลายเชนยุคใหม่ ทั้งด้านนวัตกรรม การจัดเก็บ-กระจายสินค้า และการเติบโตแบบยั่งยืน
เธอกล่าวว่า คลังสินค้าไม่ได้เป็นเพียงสถานที่เก็บของอีกต่อไป แต่เป็น “หัวใจของเศรษฐกิจยุคใหม่” ความร่วมมือกับ SC Asset จะช่วยผลักดันอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ของไทยให้แข็งแรงขึ้น พร้อมปลดล็อก “New Growth Engine” ให้ประเทศในระยะยาว

ด้าน นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SC Asset ระบุว่า บริษัทกำลังเร่งเดินหน้าสร้าง “Engine 2” หรือกลุ่มธุรกิจรายได้ประจำ เช่น ออฟฟิศ โรงแรม และคลังสินค้า เพื่อเพิ่มเสถียรภาพการเติบโต ตั้งเป้าภายใน 5 ปี รายได้นี้จะมีสัดส่วนกว่า 20% ของกำไรทั้งหมด
SC Asset เผยว่าอุตสาหกรรมคลังสินค้า-โลจิสติกส์เป็นตลาดที่เติบโตสูง ความต้องการเช่าทั้งประเทศแตะ 7.8 ล้าน ตร.ม. อัตราเช่าสูงถึง 90% และเติบโตเฉลี่ย 7% ต่อปี บริษัทจึงเร่งพัฒนาโครงการรวม 700,000 ตร.ม. ภายในปี 2029
สำหรับโครงการที่ได้รับการสนับสนุนรอบนี้ ครอบคลุม 4 ทำเลยุทธศาสตร์ ได้แก่
SCX Logistics บางนา กม.20 ทำเลใหญ่ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ
บางนา กม.23 โซนอุตสาหกรรม Purple Zone
แหลมฉบัง เชื่อมท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3
อมตะ ชลบุรี รองรับระบบอัตโนมัติ เหมาะกับผู้ผลิตญี่ปุ่น-ยุโรป
ทั้งกสิกรไทยและ SC Asset ต่างระบุว่า ความร่วมมือที่ยาวนานกว่า 20 ปี คือพื้นฐานสำคัญที่ทำให้การต่อยอดสู่ธุรกิจคลังสินค้าเดินหน้าได้อย่างแข็งแรง โดยหวังว่าการลงทุนครั้งนี้จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถโลจิสติกส์ไทย และสร้างระบบซัพพลายเชนที่ครบวงจร-ยั่งยืนในอนาคต





