
เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง (SCG Smart Living) ประกาศทิศทางธุรกิจสำหรับปี 2569 โดยมุ่งปรับพอร์ตโฟลิโอเชิงกลยุทธ์ พร้อมทั้งยึดแนวคิด "Greenovation for Better Living" เป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนธุรกิจ เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันระยะยาว ท่ามกลางสถานการณ์ตลาดที่ยังมีความเปราะบางสูง ทั้งจากกำลังซื้อที่อ่อนตัวลง การแข่งขันที่รุนแรง และต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น รวมถึงตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัวที่ชัดเจน ส่งผลต่อตลาดวัสดุก่อสร้างมีแนวโน้มทรงตัว แม้จะมีแรงหนุนการลงทุนภาครัฐก็ตาม จากความท้าทายดังกล่าว ธุรกิจยังคงเดินหน้าอย่างไม่หยุดยั้งเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าด้วยสินค้าที่ครอบคลุมกำลังซื้อที่หลากหลาย ควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนสินค้ากรีนรองรับทิศทาง Net Zero Emission
วิโรจน์ รัตนชัยสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง ภายใต้ บริษัท เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด ได้เปิดเผยว่า
องค์กรยังคงขับเคลื่อนด้วยการผสานนวัตกรรม คุณภาพ และความยั่งยืน ให้สอดรับกับความท้าทายด้านเศรษฐกิจ โครงสร้างประชากร และพฤติกรรมผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพ ความคุ้มค่า และผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยกลยุทธ์สำคัญคือการสร้างนวัตกรรมที่แก้ปัญหาได้จริง ซึ่งเริ่มต้นจากการเข้าใจ Pain Point ของผู้บริโภค ก่อนต่อยอดเป็นสินค้าและโซลูชันที่ใช้งานได้จริงอย่างเป็นรูปธรรม
ตัวอย่างความสำเร็จจากแนวคิดนี้สะท้อนผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์หลายกลุ่ม อาทิ กระเบื้องปูพื้นเอสซีจี รุ่นคอมฟอร์ท ที่เป็นรายแรกและรายเดียวในไทยที่ใช้ HeatSync Technology สามารถลดอุณหภูมิพื้นผิวได้ถึง 3–7°C หรือ ผนังสมาร์ทบอร์ด เอสซีจี ซูเปอร์ ซิลา ที่พัฒนาด้วย Firm & Flex Technology ผสานโครงสร้าง Double Super Molecule และ Ultra Fiber ช่วยลดการแตกหักขณะติดตั้ง รองรับแรงกระแทกได้ดีขึ้น พร้อมเพิ่มดีไซน์ลายหินที่มีมิติ เพื่อตอบโจทย์การยกระดับทั้งด้านฟังก์ชัน ดีไซน์ ความทนทาน และความคุ้มค่าไปพร้อมกัน ซึ่งเป็นทิศทางสำคัญในตลาดที่ลูกค้าต้องการความคุ้มค่าแต่ยังคงมาตรฐานคุณภาพ
สำหรับการรับมือกำลังซื้อที่ยังไม่กลับมาสู่ภาวะปกติ ธุรกิจได้ขยายพอร์ตสินค้าให้ครอบคลุมทุกกำลังซื้อ โดยพัฒนาทั้งสินค้ากลุ่ม Smart Value Products (SVP) ที่เน้นให้ทั้งคุณภาพและความคุ้มค่า เพื่อตอบโจทย์กำลังซื้อที่ชะลอตัวลง เช่น กระเบื้องหลังคาเซรามิก เอสซีจี รุ่น Celica Curve และ Celica SRA ขณะเดียวกันก็เร่งขยายสินค้ากลุ่ม High Value-Added (HVA) เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและตอบโจทย์ลูกค้าโดยตรง เช่น โซลูชัน ONNEX Active Air Quality และ Active Airflow ที่ช่วยให้บ้านมีอากาศหมุนเวียนและดีต่อสุขภาพ นอกจากนี้ยังมีการขยายธุรกิจโซลาร์ไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมและโรงพยาบาล ซึ่งเป็นตลาดที่เติบโตต่อเนื่องจากแรงผลักดันด้านประหยัดต้นทุนและนโยบายลดคาร์บอน
กลยุทธ์สำคัญอีกประการคือ การนำเทคโนโลยีมาใช้ในทุกมิติของกระบวนการผลิต ไม่ว่าจะเป็นการประยุกต์ใช้ IoT AI และระบบ Lean Automation เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการผลิต ลดขั้นตอนซ้ำซ้อน และลดของเสียในโรงงาน รวมถึงการใช้ระบบ MES ช่วยบริหารการผลิตแบบ Real-time ทำให้สามารถผลิตได้มากขึ้นในเวลาน้อยลง พร้อมคุณภาพที่สม่ำเสมอและการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่ามากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมาย Net Zero Emission ในระยะยาว รวมถึงการนำนวัตกรรม Drone Imaging และ AI มาใช้ตรวจวิเคราะห์หลังคา ช่วยลดเวลาทำงาน เพิ่มความปลอดภัย และให้ข้อมูลที่แม่นยำกว่าที่เคย


ด้านความยั่งยืน เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง มุ่งเดินหน้าในทุกมิติ ทั้งพลังงาน คาร์บอน และเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างจริงจัง โดยปัจจุบันโรงงานใช้พลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์มากถึง 21% และทดแทนก๊าซธรรมชาติด้วยพลังงานชีวมวล 45% ขณะเดียวกัน กว่า 80% ของผลิตภัณฑ์ได้รับการรับรอง Carbon Footprint of Product (CFP) และตั้งเป้าครบ 100% ภายในปี 2569 ส่วนผลิตภัณฑ์หลักยังได้รับ EPD International ตอกย้ำมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมอย่างโปร่งใสและเป็นสากล นอกจากนี้ ธุรกิจยังผลักดันเศรษฐกิจหมุนเวียน เช่น โครงการนำเศษวัสดุ Q-CON ไปปรับปรุงคุณภาพดิน และให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของผู้บริโภคโดยหลีกเลี่ยงการใช้วัสดุเสี่ยง เช่น แร่ใยหินและ VOCs
นอกจากนี้ เอสซีจี รูฟฟิ่ง ผู้ผลิตกระเบื้องและอุปกรณ์หลังคา ซึ่งเป็นหนึ่งในหน่วยธุรกิจสำคัญของเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง ยังได้รับการรับรองมาตรฐาน มอก. 9999 ด้านเศรษฐกิจพอเพียงภาคอุตสาหกรรม สะท้อนถึงการบริหารจัดการอย่างสมดุลในมิติเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และทรัพยากรบุคคล ซึ่งตอกย้ำความมุ่งมั่นด้าน ESG ของกลุ่มธุรกิจที่พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนมาตรฐานนี้อย่างต่อเนื่อง

ด้วยความเชื่อมั่นที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน ทำให้ SCG Smart Living หรือ บริษัท เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด ได้รับการยอมรับสูงสุดจากการสำรวจ 2025–2026 Thailand’s Most Admired Company โดย BrandAge ครองอันดับ 1 ในกลุ่มธุรกิจวัสดุก่อสร้าง โดยได้รับคะแนนสูงสุดในทุกหมวด ทั้ง Innovation, Business Performance, Corporate Image, Management และ Sustainable Development สะท้อนภาพความสำเร็จเชิงกลยุทธ์ที่ตอบโจทย์ทั้งลูกค้า อุตสาหกรรม และสังคมในระยะยาว





