สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ผลักดันการจัดหาทองคำอย่างมีจริยธรรม
15 Feb 2020

 

ปัจจุบันการจัดหาวัตถุดิบอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมเป็นประเด็นร้อนแรงในธุรกิจเครื่องประดับทั่วโลก สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์หรือ UAE เป็นประเทศหนึ่งที่ให้ความสำคัญต่อประเด็นดังกล่าว โดยนอกเหนือจากการเข้าร่วมและปฏิบัติตามข้อกำหนดของ Kimberley Process สำหรับการค้าเพชรแล้ว สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ยังพยายามผลักดันแนวทางในการจัดหาทองคำด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยคาดว่าจะช่วยลดหรือกำจัดทองคำแท่งที่ไม่ผ่านการรับรองแหล่งที่มาให้หมดไปจากตลาด และช่วยสร้างความโปร่งใสให้แก่ภาคอุตสาหกรรมเพิ่มมากขึ้น

 

การรับรองแหล่งที่มาของทองคำใน UAE

ปัจจุบันการเข้าร่วมกระบวนการรับรองแหล่งที่มาของทองคำใน UAE ยังคงขึ้นอยู่กับความสมัครใจ โดยมีหน่วยงาน Dubai Multi Commodities Centre (DMCC) เป็นองค์กรหลักที่กำหนดกฎระเบียบในด้านแหล่งที่มาอย่างถูกต้องและมีความรับผิดชอบ (Responsible Sourcing Regulatory) มาตรฐานด้านจริยธรรมทางการค้า (Ethical Standards) แนวทางปฏิบัติสำหรับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในอุตสาหกรรมทองคำและโลหะมีค่า (DMCC Guidance) และข้อกำหนดในการทบทวนที่อ้างถึงกฎสำหรับการตรวจสอบสถานะความเสี่ยงพื้นฐานของกิจการในธุรกิจนี้ตลอดห่วงโซ่อุปทาน (DMCC Rules for Risk Based Due Diligence in the Gold and Precious Metals Supply Chain) ซึ่ง DMCC เป็นหนึ่งในสมาชิกขององค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) จึงอ้างอิงกระบวนการรับรองแหล่งที่มาโดยปฏิบัติตามแนวทางของ OECD ที่จัดทำกรอบขั้นตอน OECD Due Diligence Guidance for Responsible Supply Chains of Minerals from Conflict-Affected and High Risk Areas (ข้อมูลเพิ่มเติมศึกษาได้จาก http://www.oecd.org/corporate/mne/mining.htm)

 

ที่ผ่านมากิจการสกัดทองคำ และกิจการค้าทองคำภายใน UAE บางรายได้สมัครเข้าร่วมปฏิบัติตามข้อกำหนดในการจัดหาเครื่องประดับอย่างถูกต้องและมีความรับผิดชอบแล้ว โดยส่วนหนึ่งเป็นกิจการค้าทองคำและเครื่องประดับในดูไบ ซึ่งเป็นสมาชิกของ Dubai Gold Jewellery Group (DGJG) ที่ได้สมัครขอใบรับรองเพื่อช่วยยืนยันว่ากิจการของตนใช้ทองคำแท่งที่ “จัดหามาอย่างถูกต้อง” ในขณะที่กิจการอีกหลายรายยังไม่ได้เข้าร่วมกระบวนการรับรอง เนื่องจากความกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการดำเนินการที่คิดตามสัดส่วนของผลประกอบการ ซึ่งจะเป็นภาระหนักสำหรับผู้ค้าปลีก

 

 

ถึงกระนั้นก็ตามภาคอุตสาหกรรมยังเชื่อว่าการเข้าร่วมกระบวนการรับรองดังกล่าวจำเป็นอย่างยิ่งในเวลานี้และเหมาะสมกับสถานะของดูไบในการเป็น“เมืองแห่งทองคำ” เพราะระบบการรับรองอย่างถูกต้องนั้นจะช่วยจัดการปัญหาว่าด้วยทองคำจาก “การทำเหมืองอย่างไม่เป็นทางการ” โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแอฟริกา ทั้งนี้การเข้าร่วมระบบการรับรองหมายความว่ากิจการแต่ละแห่งในธุรกิจทองคำและเครื่องประดับไม่ว่าจะเป็นผู้ขายปลีกผู้ขายส่งผู้ค้าทองคำแท่ง และกิจการโรงงานสกัดทองคำจะต้องตรวจสอบว่าทองคำที่ตนซื้อ และนำไปใช้งานนั้น มาจากแหล่งที่ผ่านการรับรองและติดตามข้อมูลได้ ด้วยวิธีนี้ การค้าทองคำที่ไม่ผ่านการรับรองและไม่ทราบแหล่งที่มาก็จะถูกยับยั้งหรือยกเลิกไปโดยสิ้นเชิง

 

กระบวนการทั้งหมดนี้จะไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อผู้ซื้อ/ผู้บริโภคทองคำในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ความเปลี่ยนแปลงนั้นอยู่ที่การเพิ่มกระบวนการรับรองขึ้นมาอีกขั้นตอนหนึ่งในภาคธุรกิจทองคำเท่านั้น โดยข้อกำหนดสำคัญประการหนึ่งคือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกรายจะต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบสองขั้นในการซื้อแต่ละครั้ง กล่าวคือ ทองคำที่ขายนั้นจะต้องสืบย้อนกลับไปได้ถึง “ผู้จัดหาทองคำสองรายก่อนหน้านั้น” แต่หากไม่สามารถระบุข้อมูลดังกล่าวนี้ได้ ก็ไม่ควรดำเนินการซื้อขายต่อ

อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมชี้ว่าทองคำจากแหล่งทำเหมืองอย่างไม่เป็นทางการนั้นไม่ใช่ปัญหาในระดับค้าปลีก แต่เป็นสิ่งที่ผู้สกัดทองคำทุกรายต้องพึงระวัง เพราะทองคำที่ไม่ผ่านการรับรองอาจอยู่ในรูปของเม็ดทองคำขนาดเล็กซึ่งส่งตรงไปยังโรงงานสกัดทองคำเพื่อเลี่ยงภาษี โรงงานอาจซื้อเม็ดทองคำเหล่านี้ได้ในราคาลดพิเศษ แล้วนำไปสกัดและแปรรูปให้เป็นทองคำแท่ง

 

ในขณะที่ผู้ค้าปลีกส่วนใหญ่นั้นไม่รับซื้อทองคำดิบ เพราะผู้ค้าปลีกชั้นนำทุกรายซื้อทองจากธนาคารทองคำที่มีชื่อเสียงระดับโลก อีกทั้งยังมีมาตรฐานการดำเนินงานที่เข้มงวดอยู่แล้ว อย่างในกรณีของบริษัท Malabar Gold & Diamonds ซึ่งเป็นผู้ผลิตและผู้ค้าเครื่องประดับทองรายใหญ่ 1 ใน 5 รายสำคัญของดูไบ ระบุว่า ทองคำที่บริษัทใช้กว่าร้อยละ 80 มาจากธนาคารทองคำ ส่วนที่เหลือนั้นเป็นทองคำรีไซเคิลซึ่งมาจากผู้ซื้อในประเทศ ฉะนั้นทองคำแท่งที่จัดหามาอย่างไม่ถูกต้องนั้นมีจำนวนน้อยมากในตลาดสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ขณะเดียวกันการขอรับการตรวจสอบว่าเป็นกิจการที่จัดหาทองคำอย่างถูกต้องยังถือเป็นส่วนที่ง่ายในกระบวนการนี้ แต่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการอาจเป็นอุปสรรคที่ทำให้กิจการหลายแห่งไม่ต้องการเข้าร่วม ซึ่งรวมถึงบริษัท Malabar Gold & Diamonds ด้วย เนื่องจากค่าใช้จ่ายนี้จะเพิ่มภาระต้นทุนสำหรับผู้ค้าปลีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อความต้องการทองคำชะลอตัวลงในตลาดนี้

ดังนั้น กระบวนการรับรองแหล่งที่มานี้น่าจะได้ผลในระดับผู้สกัดทองคำมากกว่าในระดับอื่นๆ แต่จากมุมมองของภาคอุตสาหกรรม ถ้าผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายเข้าร่วมแนวทางการรับรองก็จะช่วยสร้างความโปร่งใสให้เกิดขึ้นได้ในทุกภาคส่วน

 

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา DMCC ได้ดำเนินการให้ความรู้แก่ภาคอุตสาหกรรมว่าด้วยการจัดหาวัตถุดิบอย่างถูกต้องและการดูแลให้กิจการปฏิบัติตามแนวทางที่เหมาะสม และพิจารณาเพิ่มความเข้มงวดรัดกุมให้มากยิ่งขึ้น ด้วยการผลักดันใช้มาตรการอื่นๆ เพิ่มเติม โดยในวันที่ 13 ตุลาคม 2019 คณะรัฐมนตรีของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เพิ่งอนุมัตินโยบายทองคำฉบับใหม่ เพื่อเสริมสถานะของประเทศในฐานะศูนย์กลางการค้าทองคำและเครื่องประดับระดับโลก ซึ่งนโยบายนี้จะตั้งอยู่บนพื้นฐานหลัก 3 ข้อคือ ธรรมาภิบาล ความยั่งยืน และนวัตกรรม โดยการสร้างธรรมาภิบาลในตลาดทองคำทั้งระดับรัฐบาลและระดับท้องถิ่น ริเริ่มใช้เทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานและภาคการผลิตในอุตสาหกรรม จัดตั้งแพลตฟอร์มของรัฐบาลกลางสำหรับการค้าทองคำและติดตามแหล่งที่มาของทองคำให้ตรงตามมาตรฐานสากล รวมถึงส่งเสริมการตลาดระหว่างประเทศของธุรกิจทองและเครื่องประดับทอง ซึ่งคาดว่านโยบายนี้จะช่วยสร้างความโปร่งใสและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมมากยิ่งขึ้น

 

 

การตรวจสอบแหล่งที่มาของทองคำทวีความสำคัญในตลาดโลก

ปัจจุบันมีหลายประเทศสำคัญของโลกที่ยึดหลักการสร้างความโปร่งใสในธุรกิจทองคำ เพื่อให้แน่ใจว่า ตลอดห่วงโซ่การผลิต ตั้งแต่เหมืองไปจนถึงกระบวนผลิตทองคำ จะไม่มีแหล่งเงินทุนสนับสนุนเหตุความขัดแย้ง และกลุ่มนอกกฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้อง เพื่อป้องกันประเด็นเรื่องการฟอกเงิน ที่รัฐบาลหลายประเทศควบคุมอย่างเข้มงวดมากขึ้น บางประเทศจึงได้ออกกฎหมายบังคับใช้โดยเฉพาะ ขณะที่บางหน่วยงานหรือสมาคมก็กำหนดให้มีกระบวนการรับรองแหล่งที่มาของทองคำตามที่ OECD กำหนดแนวทางปฏิบัติไว้ อาทิเช่น Responsible Jewellery Council, London Bullion Market Association, The London Metal Exchange และ Responsible Minerals Initiative เป็นต้น

 

สำหรับสวิตเซอร์แลนด์ ประเทศที่มีบทบาทสำคัญในตลาดทองคำระหว่างประเทศเป็นอย่างมาก รัฐบาลสวิสให้ความสำคัญกับมาตรการตรวจสอบแหล่งที่มาของทองคำจากนอกประเทศ โดยได้ทำข้อตกลงในระดับชาติและนานาชาติเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว เพื่อป้องกันไม่ให้มีการนำเข้าทองคำที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนในกระบวนการผลิตเข้าสู่ประเทศ โดยออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการค้าทองคำของสวิส คือ Precious Metals Control Act และ Anti-Money Laundering Act อย่างเข้มงวด เพื่อให้การตรวจสอบมั่นใจได้ว่าจะไม่มีการบิดเบือนแหล่งที่มาของทองคำ นอกจากนี้ สภาแห่งชาติของสวิสยังได้แนะนำให้เพิ่มบทบาทของผู้มีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมและขยายความร่วมมือในการผลิตทองคำที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม

 

ขณะที่สหรัฐอเมริกาก็กำลังเตรียมจะออกกฎหมายใหม่ที่กำหนดให้ธุรกิจเครื่องประดับจะต้องรับรู้และเปิดเผยข้อมูลแหล่งที่มาของวัตถุดิบทั้งหมด ไม่ใช่แค่อัญมณี เพชรหรือพลอยสี แต่รวมถึงทองคำและโลหะมีค่าอื่นๆด้วย มิฉะนั้นจะถูกดำเนินการตามกฎหมายใหม่ที่คาดว่าจะนำมาใช้ในอุตสาหกรรมนี้อย่างเข้มงวด นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายประเทศที่กำลังศึกษาและดำเนินการกำหนดกระบวนการรับรองแหล่งที่มาของทองคำเช่นกัน อย่างเช่น สหภาพยุโรปที่คาดว่าจะเริ่มบังคับใช้กฎหมายในเดือนมกราคม 2021 โดยอ้างอิงกระบวนการตาม OECD

 

ฉะนั้นผู้ประกอบการไทยที่จะส่งออกสินค้าไปจำหน่ายในตลาดเหล่านี้ ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบที่แต่ละประเทศกำหนดไว้ และให้ความสำคัญตั้งแต่กระบวนการจัดหาวัตถุดิบ สำหรับผลิตเป็นเครื่องประดับซึ่งควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าตนเองไม่ได้ใช้วัตถุดิบอย่างทองคำ และอัญมณีจากเหมืองที่ใช้แรงงานเด็ก หรือเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งรวมถึงอุตสาหกรรมเหมืองทองและอัญมณีนั้น ดำเนินงานอย่างมีความรับผิดชอบ และมีจิตสำนึกสามารถตรวจสอบได้ โดยผู้ประกอบการ จะต้องสำแดงเอกสารแหล่งที่มา ของวัตถุดิบให้เป็นไปตามกระบวนการที่กำหนดอย่างถูกต้อง จากหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ อาทิ องค์กรที่ให้การรับรองเหมืองทองอย่าง Fairtrade และ Fairmined ใบรับรองลำดับการครอบครอง (Chain of Custody) ของ Responsible Jewellery Council หรือเพชรที่มีใบรับรอง Kimberley Process รวมถึงการใช้เทคโนโลยี Blockchain ที่สามารถระบุและติดตามแหล่งที่มาของอัญมณีในทุกๆ ขั้นตอนตลอดห่วงโซ่อุปทาน เพื่อแสดงถึงความโปร่งใสในธุรกิจเครื่องประดับ

 

การจัดหาวัตถุดิบทั้งอัญมณีและโลหะมีค่าตามหลักจริยธรรมทางการค้าเป็นจุดเริ่มต้นและต่อยอดไปถึงภาคการผลิต และการค้าเครื่องประดับที่ควรดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน และโปร่งใสตลอดห่วงโซ่อุปทาน เพราะการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคยุคใหม่นั้นมีพื้นฐานมาจากแนวทางที่ผู้ขายนำเสนอปัจจัยเหล่านี้อุตสาหกรรมนี้จึงควรให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่ผู้บริโภคเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและกระตุ้นความเชื่อมั่นในการซื้อสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ

 


ศูนย์ข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับ

สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

 

[อ่าน 3,872]
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ปฏิบัติการ รีแบรนด์ Microsoft Office เมื่อ “AI” เข้ามาเปลี่ยนวิธีคิดการดีไซน์
ทำไม JW Anderson จึงโดดเด่นในการออกแบบกระเป๋าถืออันเป็นเอกลักษณ์
สี จิ้นผิง–เผิง ลี่หยวน เปิดงานเลี้ยงต้อนรับผู้นำ SCO 2025 ที่เทียนจิน โชว์บทบาทเจ้าภาพผลักดันความร่วมมือภูมิภาค
มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก เดิมพันครั้งสุดท้าย? คว้า ‘อเล็กซานเดอร์ หวัง’ ขุนศึก AI ปั้นฝัน Superintelligence
AI ไม่ได้ฆ่า Google Search? เบื้องหลังปราการป้องกันที่แข็งแกร่งกว่าที่คิด
“มาห์เล” เร่งเครื่องนวัตกรรมยานยนต์ ลดคาร์บอนด้วยเทคโนโลยีหลากหลาย – หนุนสหภาพยุโรปแก้กฎหมาย CO₂
MAGAZINE UPDATE
Owner
DOUBLE D CREATION Co.,Ltd.
เอเวอร์กรีนวิว ทาวเวอร์ ชั้น 4
เลขที่ 22/43 ซอยบางนา-ตราด 56 ถนนบางนา-ตราด
แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร 10260
Tel : 0-2751-4995-6
Mobile : 062-194-4561
Advertising
ติดต่อโฆษณา และ การตลาด
คุณศุภากร ยาตพงศ์ (บู)
Mobile : 08-1355-3636
Tel : 0-2751-4995-6
E-mail : market-plus@hotmail.com
info@marketplus.in.th
PR News
ส่งข่าวประชาสัมพันธ์
E-mail : info@marketplus.in.th,
market-plus@hotmail.com,
marketplus@hotmail.co.th
Copyright © 2016 DOUBLE D CREATION Co.,Ltd. All rights Reserved