ชีวิตที่แขวนอยู่บนเส้นด้าย 'ธุรกิจลักซ์ชัวรีและแฟชั่น’
14 May 2020

 

หากจะถามว่า การแพร่ระบาดของโรคโควิด - 19 ที่ลุกลามไปทั่วโลกมากกว่า 3 เดือน นอกจากผลกระทบด้านสุขภาพที่มีผู้ติดเชื้อมากกว่า 2.8 ล้านคน และเสียชีวิตมากกว่า 2 แสนคน เอฟเฟกต์ที่เกิดขึ้นตามมาแทบจะทันทีคือผลกระทบทางธุรกิจ  เมื่อหนึ่งในวิธีรับมือโรคระบาด คือ การขอให้ประชาชนหยุดอยู่ในที่พักของตัวเอง คำสั่งต่อมาที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ของโลก คือ การปิดศูนย์การค้า ร้านค้าที่ไม่จำเป็น แน่นอนว่า หากไม่ใช่สินค้าที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน ย่อมต้องปิดหมด ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ  ‘ธุรกิจลักซ์ชัวรีและแฟชั่น’

 

หากจะบอกว่า ชีวิตของ ‘ธุรกิจลักซ์ชัวรีและแฟชั่น’ กำลังแขวนอยู่บนเส้นด้ายก็ไม่ผิดนัก เพราะผลสำรวจที่จัดทำโดย McKinsey & Company และ Business of Fashion โดยการเก็บข้อมูลจากผู้ที่อยู่ในอุตสาหกรรมนี้กว่า 1,400 คน พบว่าแม้ลูกค้าจะหันมาซื้อสินค้าในช่องทางออนไลน์ ทดแทนร้านค้าที่ต้องปิดตัวลงชั่วคราวก็จริง แต่การซื้อก็ไม่ได้คึกคักเหมือนที่เคย ผู้บริโภคซื้อสินค้าแบบระมัดระวังทำให้ธุรกิจลักซ์ชัวรีและแฟชั่นอยู่ในภาวะ ‘ไม่มั่นคง หรือ ไร้ทิศทาง’ ซึ่งอาจทำให้รายได้ทรุดลง 30% ในปี 2020 นี้ โดยกลุ่มสินค้าหรูจะเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ยอดขายอาจหดตัวลง 40%

 

เมื่อรายได้ลดย่อมส่งผลกระทบไปยังพนักงานที่อยู่ในอุตสาหกรรมนี้ที่กำลังเผชิญกับ ‘ความยากลำบากและการขาดรายได้’ พนักงานหลายแสนคนต้องหยุดการทำงานเนื่องจากร้านต้องปิดตัวลงชั่วคราว สิ่งที่น่ากังวลจากรายงานนี้ชิ้นนี้ คือ มีการเตือนว่า 80% ของบริษัทที่ทำการสำรวจประเมินว่า ตัวเองนั้นจะประสบปัญหาทางการเงินในปีนี้ และคาดการณ์ว่าจะมีธุรกิจที่เกี่ยวข้องจำนวนมากล้มละลายภายใน 18 เดือน หากร้านค้ายังต้องปิดอยู่

 

ถ้าจะบอกว่า รายงานชิ้นนี้ไม่ได้เกิดจากความเป็นจริงก็คงไม่ผิดนัก เพราะจากผลประกอบการที่รายงานในไตรมาสเดือนมกราคม - มีนาคมปี 2020 ของยักษ์ใหญ่ที่อยู่ในอุตสาหกรรมลักซ์ชัวรีและแฟชั่น ล้วนแล้วแต่ประสบปัญหารายได้ลดกันถ้วนหน้า

 

 

 

H&M

ขอเริ่มด้วย H&M แบรนด์ฟาสต์แฟชั่นสัญชาติสวีเดนที่ตกเป็นข่าวในหลายประเด็นด้วยกัน เริ่มด้วยช่วยกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ได้ออกมาประกาศปิดร้านชั่วคราว 460 สาขาในเยอรมนี ซึ่งเป็นตลาดที่มียอดขายอันดับ 1 และอีก 590 ในสหรัฐอเมริกาซึ่งมียอดขายตลาดใหญ่อันดับ 2 นอกจากนี้ยังจะปิดในแคนาดาด้วย โดยปิดชั่วคราวเป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ พร้อมกับยืนยันว่า พนักงานจะไม่ได้รับผลกระทบ ด้วยจะมีการจ่ายเงินค้าจ้างตามปรกติ

 

คำสั่งปิดในครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากก่อนหน้านั้น ได้มีได้ปิดสาขาในอิตาลี โปแลนด์ สเปน สาธารณรัฐเช็ก บัลแกเรีย เบลเยียม ฝรั่งเศส ออสเตรีย ลักเซมเบิร์ก บอสเนีย และเฮอร์เซโกวีนา สโลวีเนีย คาซัคสถาน และบางแห่งในกรีซด้วย ส่วนในจีนร้านส่วนใหญ่เริ่มกลับมาเปิดทำการอีกครั้งแล้ว หลังมีคำสั่งปิดไปประมาณ 45 สาขา อย่างไรก็ตามเมื่อไม่มีรายได้เข้ามา การแบกรับค่าใช้จ่ายเรื่องเงินเดือนพนักงานจึงเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสเป็นอย่างมาก สำหรับ H&M ที่ต้องปิดร้านชั่วคราวไปทั้งสิ้น 3,441 สาขา จากทั้งหมด 5,062 สาขาที่กระจายอยู่ทุกมุมโลก แม้จะยังในตลาดมากกว่าครึ่งที่ไปบุกจะสามารถเปิดขายออนไลน์ได้ แต่ยอดขายที่เข้ามาก็ไม่อาจชดเชยการเปิดขายในช่วงเวลาปรกติ

 

ดังนั้นเมื่อต้องเผชิญกับยอดขายที่ตกต่ำ H&M จึงจำเป็นต้องทบทวนแผนธุรกิจ และหาวิธีลดต้นทุนเพื่อประคองธุรกิจให้ผ่านช่วงเวลาวิกฤติไปให้ได้ มีการเปิดเผยว่า H&M กำลังอยู่ในระหว่างพิจารณา ‘ปลดพนักงานชั่วคราว’ ซึ่งคาดว่าจะกระทบกับพนักงานหลายหมื่นคนทั่วโลก โดยมีการเริ่มใช้มาตรการนี้ในบางพื้นที่ นอกจากนี้ H&M ยอมรับว่าสถานการณ์ที่เลวร้ายนี้ อาจมีพนักงานบางคนตกงานอย่างถาวรด้วย

 

ที่สุดแล้วโควิด-19 ทำให้ H&M บาดเจ็บเป็นอย่างมาก โดยมีรายงานว่า ยอดขายในเดือนมีนาคมซึ่งเป็นเดือนแรกของไตรมาส 2 ยอดขายในรูปแบบเงินสกุลท้องถิ่นลดลงกว่า 46% H&M ประเมินว่า เลี่ยงไม่ได้ที่ยอดขายในอาจจะขาดทุน

 

ด้วยเหตุนี้ H&M จึงวางแผนลดต้นทุน 25% ในไตรมาสสองนี้ โดยจะมีการพิจารณาหาวิธีลดต้นทุนต่างๆ เช่น พิจารณาลดชั่วโมงทำงานของพนักงานหลายหมื่นคนทั่วโลก ตลอดจนเจรจากับเจ้าของพื้นที่เช่าเพื่อขอลดหรือยืดระยะเวลาการจ่ายค่าเช่า นอกจากนี้ผู้บริหารระดับสูงได้ลดเงินเดือนของตัวเองลง 20% เพื่อช่วยเหลือบริษัท

 

 

 

Zara

ตามมาติดๆ ด้วย Zara อีกหนึ่งคู่แข่งสำคัญในตลาดฟาสต์แฟชั่น ซึ่งยอดขายในเดือนมีนาคมอันเป็นช่วงที่กราฟของผู้ติดเชื้อไต่เข้าสู่ช่วงสูงสุด ก็ไม่สภาพไม่ได้ต่างจาก H&M มากนัก

Inditex บริษัทแม่ของ Zara เปิดเผยว่า โควิด-19 ทำให้ต้องปิดร้านต้องปิดร้าน 3,785 แห่ง หรือเกือบครึ่งหนึ่งของสาขาที่มีทั่วโลก 7,400 แห่ง ในส่วนของยอดขายเฉพาะนับเฉพาะวันที่ 1 กุมภาพันธ์ถึง 16 มีนาคม พบว่า ยอดขายในร้านค้าและออนไลน์ในเงินสกุลท้องถิ่นลดลง 4.9% แต่ถ้ารับเฉพาะวันที่ 1-16 มีนาคม ยอดขายร่วงลงไปถึง 24.1%

 

การเปิดเผยตัวเลขดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงการรายงานผลประกอบการประจำปี 2019 สิ้นสุด 31 มกราคม 2020 มียอดขายสุทธิ 2.83 หมื่นล้านยูโร หรือ 0.93 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% มีกำไรสุทธิ 3.64 พันล้านยูโร หรือ 1.28 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% โดยยอดขายออนไลน์เติบโตก้าวกระโดด 23%

 

ทว่าผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้ Inditex ต้องบันทึกสินค้าคงเหลือสำหรับฤดูใบไม้ผลิ / ฤดูร้อน กว่า 287 ล้านยูโร หรือ 1 หมื่นล้านบาท หากไม่บันทึกจะทำให้กำไรสุทธิเติบโตถึง 12% ด้วยเหตุนี้ Inditex ยังไม่ตัดสินใจว่า จะจ่ายเงินปันผลหรือไม่ คาดว่าความชัดเจนจะเกิดขึ้นตอนประชุมผู้ถือหุ้นประจำปีในเดือนกรกฎาคม

 

สำหรับผลกระทบของโควิด-19 ต่อผลประกอบการในปีงบประมาณใหม่นั้น Inditex ระบุเร็วเกินไปที่จะประเมิน แต่เชื่อว่าบริษัทจะผ่านไปได้อย่างไม่ยากลำบากมากนัก เพราะมีผลประกอบการที่แข็งแกร่ง และเงินสดในมือกว่า 8 พันล้านยูโร หรือ 2.8 แสนล้านบาท

 

 

 

Uniqlo

ข้ามมาฝั่งยักษ์ฟาสต์แฟชั่นของเอเชียกันบ้าง Uniqlo ก็เป็นอีกรายที่ต้องปิดร้านชั่วคราวหนีโควิด-19 ในช่วงแรกของการระบาด Uniqlo ต้องปิดร้านไปทั้งสิ้น 350 สาขา จากจำนวนร้านทั้งหมด 750 แห่งที่มีในแผ่นดินใหญ่

เมื่อการระบาดได้ลุกลามเข้าสู่โลกตะวันตก Uniqlo จึงได้ปิดสาขาทั้งหมดที่มีอยู่ 50 แห่งในสหรัฐอเมริกา ส่วนในโซนยุโรปนั้นจะปิดสาขาทั้งสิ้น 27 สาขาจากทั้งหมด 98 สาขาที่ตั้งอยู่ ได้แก่ 22 สาขาในฝรั่งเศส 4 สาขาในสเปนและอีก 1 สาขาในอิตาลี ส่วนที่ในบ้านเกิดต้องปิดชั่วคราวมากถึง 170 สาขา หลังจากรัฐบาลญี่ปุ่นประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน

 

แม้ร้านส่วนใหญ่ในจีนอันเป็นตลาดสำคัญของ Uniqlo จะกลับมาเปิดสาขาได้ส่วนใหญ่แล้วก็ตาม ทว่าก็ไม่อาจทำให้ยอดขายกระกระเตื้องขึ้นสักเท่าไรนัก Fast Retailing บริษัทแม่ของ Uniqlo รายงานผลประกอบการในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2020 สิ้นสุดเดือนกุมภาพันธ์ มีผลกำไรจากการดำเนินงานทั้งสิ้น 1.367 แสนล้านเยน หรือ 4.12 หมื่นล้านบาท ลดลง 21% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

 

และด้วยร้านค้าจำนวนมากยังต้องปิดชั่วคราวอยู่ทำให้ Fast Retailing ตัดสินใจปรับลดประเมินผลประกอบการในปี 2020 โดยคาดว่าในปีงบประมาณ 2020 จะมีกำไรจากการดำเนินงาน 1.45 แสนล้านเยน หรือ 4.37 หมื่นล้านบาท ซึ่งลดลง 44% จากที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะมีกำไรจากการดำเนินงาน 2.45 แสนล้านเยน หรือ 7.87 หมื่นล้านบาท

 

 

 

Muji

อีกหนึ่งแบรนด์เสื้อผ้าแฟชั่นที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กันสำหรับ Muji แบรนด์ที่ขึ้นชื่อด้วยเอกลักษณ์ความเรียบง่าย และ ไร้แบรนด์ที่ทำให้ใครต่อใครติดอกติดใจในเสื้อผ้า

ทว่าโควิด-19 ได้ทำสร้างความหนักอกหนักใจให้กับ Muji ที่ต้องประสบปัญหา ‘การควบคุมสินค้าคงคลัง’ เนื่องจากร้านค้ากว่า 90% ของ Muji ในญี่ปุ่นต้องปิดตัวลงชั่วคราว หรือ ลดเวลาทำการลง ด้านร้านส่วนใหญ่ในสหรัฐอเมริกาและยุโรปก็มีชะตากรรมที่ไม่ต่างกันมากนัก

 

นี่เองทำให้สินค้าของ Muji เหลืออยู่เป็นจำนวนมากในร้านโดยเฉพาะอย่างยิ่งเสื้อผ้าฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน นักวิเคราะห์จาก JPMorgan Securities Japan กล่าวว่า ผลประทบต่อสินค้าคงคลังสูงกว่าที่ประเมินไว้มาก ซึ่ง Muji อาจถูกบังคับให้ลดราคาขายลงหรือบันทึกมูลค่าที่ลดลงสำหรับสินค้าที่ขายไม่ออก

 

สำหรับช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณที่จะสิ้นสุดในเดือนสิงหาคมมีนักวิเคราะห์ประเมินว่า กำไรจากการดำเนินงานอาจติดลบหากยอดขายลดลง 25-30% โดยการทำโปรโมชั่นจะช่วยลดปริมาณสินค้าในสต๊อก ตลอดจนช่วยเพิ่มการควบคุมต้นทุน แต่จะทำให้แนวโน้มกำไรลดลง จริงๆ แล้ว โควิด-19 ไม่ได้เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดปัญหากับสินค้าคงคลังของ Muji ซะทีเดียว เพราะที่ผ่านมาปัญหาคว่ำบาตรของบริษัทญี่ปุ่นในเกาหลีใต้ การประท้วงทางการเมืองในฮ่องกง การปรับขึ้นภาษีการบริโภคในญี่ปุ่น และฤดูหนาวที่อบอุ่นกว่าปรกติ ล้วนส่งผลให้ยอดขายและกำไรลดลง ซึ่งสาเหตุหลักๆ มาจากการล้มเหลวในการคำนวณความต้องการของผู้บริโภค

 

มูลค่าของสินค้าคงคลังสิ้นสุด ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2563 อยู่ที่ 1.05 แสนล้านเยน หรือ 3.15 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% Muji ประเมินว่า สำหรับสินค้าในฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนที่ขายไม่ออกเพราะโรคระบาดจะมีมูลค่ามากกว่า 2 หมื่นล้านเยน หรือเกือบ 6 พันล้านบาท แม้จะมีการวางแผนลดการผลิตสินค้าในฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว แต่ปัญหาเรื่องของสินค้าคงคลังเป็นเรื่องด่วนที่ต้องเร่งแก้ไข เพราะถึงการลดราคาจะเป็นทางออกที่ช่วยระบายสินค้าในคลัง แต่ความเสี่ยงที่มาพร้อมกันคือ อาจทำให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์อยู่ในระดับเดียวกับเสื้อผ้ากลุ่มฟาสต์แฟชั่น สำหรับธุรกิจแฟชั่นแล้วภาพลักษณ์ของแบรนด์ถือเป็นเรื่องสำคัญ ที่ต้องใช้เวลายาวนานในการสร้าง จึงไม่อาจทำให้ผู้บริโภคเกิดความเปลี่ยนแปลงต่อแบรนด์ได้

 

 

 

เครือ LVMH

ขยับมาสู่สินค้าในกลุ่มลักซ์ชัวรีกันบ้าง ต้องบอกว่ากลุ่มนี้ก็ได้รับผลกระทบหนักไม่แพ้กัน จากที่กล่าวไปข้างต้น McKinsey & Company ประเมิน ยอดขายของกลุ่มนี้อาจหดตัวลง 40% ด้าน Bain & Co. ประเมินตลาดลักซ์ชัวรีจะหดตัวลง 25-30% ในช่วงไตรมาสแรก พร้อมคาดการณ์ว่า หากสถานการณ์แย่ที่สุดในปี 2020 ตลาดลักซ์ชัวรีจะหดตัวลงมากถึง 35% ด้วยกัน

 

ผลประกอบการของบรรดาแบรนด์หรูที่ออกมาแม้จะดีกว่าตัวเลขประเมิน แต่ก็ติดลบในระดับที่สร้างความตกใจเหมือนกัน

 

เครือ LVMH ที่เป็นเจ้าของแบรนด์หรู เช่น Louis Vuitton, Dior, Bvlgari, Céline, Moët Hennessy, และ Sephora เป็นบริษัทแรกที่ออกมาเปิดเผยผลประกอบการ โดยพบว่า ไตรมาส 1 ของปี 2020 (มกราคม - มีนาคม) มีรายได้ 1.06 หมื่นล้านยูโร หรือ 3.72 แสนล้านบาท ร่วงลง 15%  อันที่จริงตัวเลขนี้เป็นไปตามคาดการณ์ที่เครือ LVMH ออกมาประเมินในช่วยปลายเดือนมีนาคมว่า ยอดขายจะลดลง 10 - 20% เมื่อเทียบกับช่วยเดียวกันของปีที่แล้ว

 

สินค้าทุกกลุ่มล้วนได้รับผลกระทบเหมือนกันหมด โดยสินค้ากลุ่มไวน์และสุราลดลง 14% สินค้าแฟชั่นและเครื่องหนังรายได้ลดลง 10% กลุ่มน้ำหอมและเครื่องสำอาง 19% กลุ่มธุรกิจนาฬิกาและจิวเวลรี่ลดลง 26% ธุรกิจค้าปลีกลดลง 26% เนื่องจาก Sephora ต้องปิดร้านทั้งหมดในจีนช่วงไตรมาสที่ผ่านมา ส่วนร้านค้าในยุโรปและสหรัฐอเมริกาได้ปิดตัวลงตั้งแต่กลางเดือนมีนาคม

 

อย่างไรก็ตามด้วยสถานการณ์โรคระบาดในจีนที่เริ่มเข้าสู่ภาวะปรกติ ทำให้มียอดขายเข้ามาชดเชยบ้างทั้งในกลุ่มแบรนด์หลัก เช่น Louis Vuitton , Dior และ Sephora ยอดขายเริ่มกลับมาดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของเดือนมีนาคม คาดว่ายอดขายจะก้าวกระโดดอีกครั้งในช่วงเดือนเมษายน ที่น่าสนใจคือยอดขายบางแบรนด์ เช่น Louis Vuitton พลิกกลับมาเติบโตสูงมาก โดยพบว่าตัวเลขเพิ่มขึ้นถึง 50%

 

ถึงยอดขายในตลาดหลักอย่างจีนจะมีทิศทางที่ดีขึ้น แต่ก็ไม่สามารถไว้วางใจได้ เครือ LVMH จึงได้ตัดสินใจ ตัดเงินปันผลลง 30% และปรับลดการลงทุนในปีนี้ลง 40% ด้วยกัน

 

เครือ Kering

ถัดมาไม่กี่วัน เครือ Kering ที่มีแบรนด์หรูในมือเช่น Gucci, Saint Laurent, Bottega Veneta และ Balenciaga ก็รายงานผลประกอบการตามคู่ปรับ เครือ LVMH มาติดๆ

การระบาดทำให้ร้านของ Kering ต้องปิดชั่วคราวถึง 53% ในไตรมาสแรก แต่ด้วยโรคระบาดที่รุนแรงขึ้นในช่วงต้นเดือนเมษายน ทำให้ต้องปิดร้านค้าเพิ่มเติมในญี่ปุ่นและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมๆ สัปดาห์ที่ผ่านมามีร้านค้าต้องปิดชั่วคราวมากถึง 2 ใน 3

 

เครือ Kering เปิดเผย รายได้รวมลดลง 15.4% เหลือ 3.2 พันล้านยูโร หรือ 1.12 แสนล้านบาท มากกว่าผลประเมินก่อนหน้านี้ที่มองว่ารายได้จะลดลงระหว่าง 13 - 15%

 

Gucci ซึ่งเป็นแบรนด์หลักที่สร้างรายได้มากกว่า 60% ของเครือ และทำกำไรจากการดำเนินงานในปีที่ผ่านมาด้วยสัดส่วน 82% ยอดขายลดลง 23.2% ถือว่าลดเยอะมากเมื่อเมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ของปี 2019 ที่เติบโต 10.5% และ 20% ในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว

 

แม้ช่วง 2 เดือนแรก Gucci จะทำผลงานได้ดีในทวีปอเมริกาเหนือจนตัวเลขเพิ่มขึ้นสองหลัก แต่เมื่อรวมกับยอดขายในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ผลที่ออกมาจึงติดลบ แม้ว่าร้านในจีนจะกลับมาเปิดได้แล้วก็ตาม แต่ Gucci ยังมีไม่กี่แห่งเท่านั้น แต่โชคดีที่ได้ยอดขายออนไลน์มาชดเชย โดยมีการเติบโตมากกว่า 100% เลยทีเดียว

 

ส่วนแบรนด์อื่นๆ ก็มียอดขายที่ลดลงเช่นเดียวกัน โดยสินค้ากลุ่มนาฬิกาและเครื่องประดับได้รับผลกระทบมากกว่าสินค้ากลุ่มเครื่องหนัง ส่วนแบรนด์ Balenciaga และ Alexander McQuee ก็มียอดขายลดลง 5.4%

 

เหมือนกับทุกแบรนด์ เครือ Kering วางแผนรับมือกับโควิด-19 ด้วยการวางแผนลดค่าใช้จ่ายโดยบางแบรนด์จะลดลงในระดับ 2 หลัก แต่อย่างไรก็ตาม การลงในโครงการขนาดใหญ่ไว้ ทั้งการลงทุนเพื่อเสริมประสิทธิภาพของโลจิสติกส์ การปรับปรุงขีดความสามารถด้านดิจิทัล อีคอมเมิร์ซและไอที จะถูกรักษาเอาไว้ เพราะถือเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องลงทุน

 

ทั้งหมดนี้ยังเป็นผลกระทบเพียงบางส่วนที่ถูกรายงานออกมาเท่านั้น ต้องจับตาต่อไปว่า เมื่อครบ 1 ปีแล้ว ‘โควิด-19’ จะแผลงฤทธิ์ สร้างผลกระกับให้กบ ธุรกิจลักซ์ ชัวรีและแฟชั่น’ มากน้อยแค่ไหน

 


บทความในนิตยสาร MarketPlus Issue 123 April-May 2020

[อ่าน 3,248]
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ปฏิบัติการ รีแบรนด์ Microsoft Office เมื่อ “AI” เข้ามาเปลี่ยนวิธีคิดการดีไซน์
ทำไม JW Anderson จึงโดดเด่นในการออกแบบกระเป๋าถืออันเป็นเอกลักษณ์
สี จิ้นผิง–เผิง ลี่หยวน เปิดงานเลี้ยงต้อนรับผู้นำ SCO 2025 ที่เทียนจิน โชว์บทบาทเจ้าภาพผลักดันความร่วมมือภูมิภาค
มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก เดิมพันครั้งสุดท้าย? คว้า ‘อเล็กซานเดอร์ หวัง’ ขุนศึก AI ปั้นฝัน Superintelligence
AI ไม่ได้ฆ่า Google Search? เบื้องหลังปราการป้องกันที่แข็งแกร่งกว่าที่คิด
“มาห์เล” เร่งเครื่องนวัตกรรมยานยนต์ ลดคาร์บอนด้วยเทคโนโลยีหลากหลาย – หนุนสหภาพยุโรปแก้กฎหมาย CO₂
MAGAZINE UPDATE
Owner
DOUBLE D CREATION Co.,Ltd.
เอเวอร์กรีนวิว ทาวเวอร์ ชั้น 4
เลขที่ 22/43 ซอยบางนา-ตราด 56 ถนนบางนา-ตราด
แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร 10260
Tel : 0-2751-4995-6
Mobile : 062-194-4561
Advertising
ติดต่อโฆษณา และ การตลาด
คุณศุภากร ยาตพงศ์ (บู)
Mobile : 08-1355-3636
Tel : 0-2751-4995-6
E-mail : market-plus@hotmail.com
info@marketplus.in.th
PR News
ส่งข่าวประชาสัมพันธ์
E-mail : info@marketplus.in.th,
market-plus@hotmail.com,
marketplus@hotmail.co.th
Copyright © 2016 DOUBLE D CREATION Co.,Ltd. All rights Reserved