เป็นเรื่องที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อ Inditex ผู้ค้าปลีกเสื้อผ้าแฟชั่นสัญชาติสเปนซึ่งมีรายได้มากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของโลก และเป็นเจ้าของแบรนด์แฟชั่นดังอย่าง Zara, Massimo Dutti, และ Pull&bear ตัดสินใจที่จะเปิดร้านค้าหลักพันสาขาในช่วง 1-2 ปีต่อจากนี้ และมุ่งหน้าให้ความสำคัญกับ E-Commerce มากขึ้น
ขาดทุนรายไตรมาสเป็นครั้งแรก
การตัดสินใจดังกล่าวได้เกิดขึ้นในระหว่างการประกาศผลประกอบการประจำไตรมาส ซึ่ง Inditex นั้น มียอดขายรวม 3.3 พันล้านยูโร หรือ 1.17 แสนล้านบาท ลดลงจาก 5.9 พันล้านยูโร หรือ 2.09 แสนล้านบาท ในช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ขาดทุนสุทธิ 409 ล้านยูโร หรือ 1.45 หมื่นล้านบาท
โดยนี่ถือเป็นการบันทึกผลขาดทุนรายไตรมาสเป็นครั้งแรก หลังโรคโควิด-19 บังคับให้ Inditex ต้องปิดร้านค้าเกือบ 90% ในช่วงสามเดือนตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน
อย่างไรก็ตามไตรมาสที่ผ่านมายังมีข่าวดีให้ Inditex นั้นชื่นใจอยู่บ้าง เมื่อสินค้าคงคลังในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายนลดลงถึง 10% ณ ช่วงสิ้นไตรมาส เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
หลายคนมองว่า นี่เป็นการตอกย้ำความสามารถของ Inditex ในการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในวันที่ทุกคนต้องหยุดอยู่กับบ้านได้เป็นอย่างดี ซึ่งยืนยันได้ด้วยตัวเลขยอดขายจากช่องทางออนไลน์พุ่งกระฉูดถึง 95% ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา
จุดนี้เองทำให้ Inditex วาดฝันว่า ภายในปี 2022 ยอดขายจากช่องทางออนไลน์จะกินสัดส่วนถึง 25% เมื่อเทียบกับ 14% ที่สามารถทำได้ในปี 2019 และกลายเป็นที่มาของการปิดสาขา
ลงทุน 1 พันล้านยูโร เพื่อพัฒนาช่องทางอีคอมเมิร์ซ
Inditex ระบุว่า ปิดร้านค้ามากถึง 1,200 สาขาอย่างถาวรในช่วงปี 2020 - 2011 จำนวนสาขาดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วนมากถึง 16% ของร้านค้าทั่วโลก โดยคาดว่าการปิดในเอเชียและยุโรปจะกระทบกับต่อร้านค้าขนาดเล็กและแบรนด์อื่นๆ ที่ไม่ใช่ Zara ได้แก่ Pull & Bear, Oysho และ Stradivarius
จำนวนร้านค้าทั้งหมดจะลดลงจาก 7,412 สาขา อยู่ระหว่าง 6,700 สาขาและ 6,900 สาขาหลังจากการปรับโครงสร้างองค์กรซึ่งจะรวมถึงการเปิดสาขาใหม่ 450 สาขา ส่วนพนักงานในร้านที่ถูกปิดนั้นจะถูกย้ายไปทำงานอย่างอื่น เช่น การจัดส่งสินค้าซึ่งมีการสั่งซื้อเข้ามาจากช่องทางออนไลน์
โดย Inditex ได้ประกาศงบลงทุน 1 พันล้านยูโร หรือประมาณ 3.46 หมื่นล้านบาท ในช่วง 3 ปีต่อจากนี้สำหรับเพื่อพัฒนาช่องทางอีคอมเมิร์ซโดยเฉพาะ
นอกจากนี้ยังใช้เงิน 1.7 พันล้านยูโร เพื่อยกระดับร้านค้าและรวมเข้ากับแพลตฟอร์มดิจิทัล ซึ่งต่อไปร้านค้าขนาดใหญ่จะกลายเป็นศูนย์กลางการจัดจำหน่ายสำหรับการขายออนไลน์ เช่นเดียวกับเป็นสถานที่ที่ลูกค้าสามารถมาดูหรือซื้อผลิตภัณฑ์ได้
สำหรับการเปิดร้านค้าขนาดใหญ่นั้นจะเกิดขึ้น ในแหล่งช้อปปิ้งชั้นนำ ซึ่งจะทำให้พื้นที่ร้านค้าโดยรวมจะเติบโตประมาณ 2.5% ต่อปีในช่วงปี 2020-2022
“เป้าหมายที่สำคัญในขณะนี้และจนถึงปี 2022 คือการเพิ่มความเร็วในการดำเนินการตามแนวคิดร้านค้าแบบครบวงจรของเรา ซึ่งขับเคลื่อนด้วยความคิดที่ว่าสามารถให้บริการลูกค้าของเราได้อย่างต่อเนื่องไม่ว่าพวกเขาจะอยู่บนอุปกรณ์ใดๆ ก็ตาม” ปาโบล อิซล่า ซีอีโอของ Inditex กล่าว
อาจเป็นแนวทางที่ถูกต้อง
นักวิเคราะห์มองว่า แม้ว่าร้านค้าจะเริ่มเปิดให้บริการอีกครั้งแล้วก็ตาม แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบในระยะยาวต่อวิธีที่ผู้บริโภคเลือกซื้อสินค้า ฉะนั้นผู้ค้าปลีกควรเตรียมพร้อมสำหรับเรื่องนี้
ไม่เพียงแต่ผู้บริโภคบางคนอาจกลัวที่จะกลับไปที่ร้านค้า แต่การไม่มีวัคซีนสำหรับโรคโควิด-19 หมายความว่ามีโอกาสเกิดการติดเชื้อครั้งที่สอง นอกจากนี้ผู้บริโภคบางคนอาจคุ้นเคยกับการซื้อสินค้าออนไลน์มากกว่าในช่วงเวลานี้ และเลือกที่จะยึดติดอยู่กับมัน
"ช่องทางดิจิทัลสำหรับผู้บริโภคและธุรกิจได้เติบโตมาเป็นเวลากว่าสองทศวรรษแล้ว แต่การระบาดของโรคโควิด-19 ได้ผลักดันระบบดิจิทัลจากฟังก์ชันสนับสนุนไปสู่ Touchpoint หลักสำหรับหลายๆ คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำ Social Distancing จะบังคับให้มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอย่างมาก” นีล แซนเดอร์ส กรรมการผู้จัดการ GlobalData Retail ได้สะท้อนความคิดเหล่านี้ในอีเมลถึง Business Insider
“ยอดขายออนไลน์มีแนวโน้มจะยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าที่เคยมีมาและนี่คือสิ่งที่แบรนด์จะต้องประเมิน”
เพราะฉะนั้นแล้ว ผู้ค้าปลีกที่นำเสนอประสบการณ์ Omnichannel ที่แข็งแกร่ง อยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุด ส่วนผู้แพ้นั้นจะเป็นผู้ค้าปลีกที่มีความเชี่ยวชาญในช่องหลายช่องทางน้อยกว่าและมีร้านค้าขนาดใหญ่ที่ไม่เกี่ยวข้องมากขึ้นเรื่อยๆ
บทความจากนิตยสาร MarketPlus Issue 125