หันหน้าสู่ E-Commerce เป้าหมายใหม่ของบริษัทแม่ Zara
02 Aug 2020

 

เป็นเรื่องที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อ Inditex ผู้ค้าปลีกเสื้อผ้าแฟชั่นสัญชาติสเปนซึ่งมีรายได้มากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของโลก และเป็นเจ้าของแบรนด์แฟชั่นดังอย่าง Zara, Massimo Dutti, และ Pull&bear ตัดสินใจที่จะเปิดร้านค้าหลักพันสาขาในช่วง 1-2 ปีต่อจากนี้ และมุ่งหน้าให้ความสำคัญกับ E-Commerce มากขึ้น

 

ขาดทุนรายไตรมาสเป็นครั้งแรก

การตัดสินใจดังกล่าวได้เกิดขึ้นในระหว่างการประกาศผลประกอบการประจำไตรมาส ซึ่ง Inditex นั้น  มียอดขายรวม 3.3 พันล้านยูโร หรือ 1.17  แสนล้านบาท ลดลงจาก 5.9 พันล้านยูโร หรือ 2.09 แสนล้านบาท ในช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ขาดทุนสุทธิ 409 ล้านยูโร หรือ 1.45 หมื่นล้านบาท

โดยนี่ถือเป็นการบันทึกผลขาดทุนรายไตรมาสเป็นครั้งแรก หลังโรคโควิด-19 บังคับให้ Inditex  ต้องปิดร้านค้าเกือบ 90% ในช่วงสามเดือนตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน

อย่างไรก็ตามไตรมาสที่ผ่านมายังมีข่าวดีให้ Inditex นั้นชื่นใจอยู่บ้าง เมื่อสินค้าคงคลังในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายนลดลงถึง 10% ณ ช่วงสิ้นไตรมาส เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

หลายคนมองว่า นี่เป็นการตอกย้ำความสามารถของ Inditex ในการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในวันที่ทุกคนต้องหยุดอยู่กับบ้านได้เป็นอย่างดี ซึ่งยืนยันได้ด้วยตัวเลขยอดขายจากช่องทางออนไลน์พุ่งกระฉูดถึง 95% ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา

จุดนี้เองทำให้ Inditex วาดฝันว่า ภายในปี  2022 ยอดขายจากช่องทางออนไลน์จะกินสัดส่วนถึง 25% เมื่อเทียบกับ 14% ที่สามารถทำได้ในปี 2019 และกลายเป็นที่มาของการปิดสาขา

 

 

ลงทุน 1 พันล้านยูโร เพื่อพัฒนาช่องทางอีคอมเมิร์ซ

Inditex ระบุว่า ปิดร้านค้ามากถึง 1,200 สาขาอย่างถาวรในช่วงปี 2020 - 2011 จำนวนสาขาดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วนมากถึง 16% ของร้านค้าทั่วโลก โดยคาดว่าการปิดในเอเชียและยุโรปจะกระทบกับต่อร้านค้าขนาดเล็กและแบรนด์อื่นๆ ที่ไม่ใช่ Zara ได้แก่ Pull & Bear, Oysho และ Stradivarius

จำนวนร้านค้าทั้งหมดจะลดลงจาก 7,412 สาขา อยู่ระหว่าง 6,700 สาขาและ 6,900 สาขาหลังจากการปรับโครงสร้างองค์กรซึ่งจะรวมถึงการเปิดสาขาใหม่ 450 สาขา ส่วนพนักงานในร้านที่ถูกปิดนั้นจะถูกย้ายไปทำงานอย่างอื่น เช่น การจัดส่งสินค้าซึ่งมีการสั่งซื้อเข้ามาจากช่องทางออนไลน์

โดย Inditex ได้ประกาศงบลงทุน 1 พันล้านยูโร หรือประมาณ 3.46 หมื่นล้านบาท ในช่วง 3 ปีต่อจากนี้สำหรับเพื่อพัฒนาช่องทางอีคอมเมิร์ซโดยเฉพาะ

นอกจากนี้ยังใช้เงิน 1.7 พันล้านยูโร เพื่อยกระดับร้านค้าและรวมเข้ากับแพลตฟอร์มดิจิทัล ซึ่งต่อไปร้านค้าขนาดใหญ่จะกลายเป็นศูนย์กลางการจัดจำหน่ายสำหรับการขายออนไลน์ เช่นเดียวกับเป็นสถานที่ที่ลูกค้าสามารถมาดูหรือซื้อผลิตภัณฑ์ได้

สำหรับการเปิดร้านค้าขนาดใหญ่นั้นจะเกิดขึ้น ในแหล่งช้อปปิ้งชั้นนำ ซึ่งจะทำให้พื้นที่ร้านค้าโดยรวมจะเติบโตประมาณ 2.5% ต่อปีในช่วงปี 2020-2022

เป้าหมายที่สำคัญในขณะนี้และจนถึงปี  2022 คือการเพิ่มความเร็วในการดำเนินการตามแนวคิดร้านค้าแบบครบวงจรของเรา ซึ่งขับเคลื่อนด้วยความคิดที่ว่าสามารถให้บริการลูกค้าของเราได้อย่างต่อเนื่องไม่ว่าพวกเขาจะอยู่บนอุปกรณ์ใดๆ ก็ตาม” ปาโบล อิซล่า ซีอีโอของ Inditex กล่าว

 

 

อาจเป็นแนวทางที่ถูกต้อง

นักวิเคราะห์มองว่า แม้ว่าร้านค้าจะเริ่มเปิดให้บริการอีกครั้งแล้วก็ตาม แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบในระยะยาวต่อวิธีที่ผู้บริโภคเลือกซื้อสินค้า ฉะนั้นผู้ค้าปลีกควรเตรียมพร้อมสำหรับเรื่องนี้

ไม่เพียงแต่ผู้บริโภคบางคนอาจกลัวที่จะกลับไปที่ร้านค้า แต่การไม่มีวัคซีนสำหรับโรคโควิด-19 หมายความว่ามีโอกาสเกิดการติดเชื้อครั้งที่สอง นอกจากนี้ผู้บริโภคบางคนอาจคุ้นเคยกับการซื้อสินค้าออนไลน์มากกว่าในช่วงเวลานี้ และเลือกที่จะยึดติดอยู่กับมัน

"ช่องทางดิจิทัลสำหรับผู้บริโภคและธุรกิจได้เติบโตมาเป็นเวลากว่าสองทศวรรษแล้ว แต่การระบาดของโรคโควิด-19 ได้ผลักดันระบบดิจิทัลจากฟังก์ชันสนับสนุนไปสู่ Touchpoint หลักสำหรับหลายๆ คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำ Social Distancing จะบังคับให้มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอย่างมาก”  นีล แซนเดอร์ส กรรมการผู้จัดการ GlobalData Retail ได้สะท้อนความคิดเหล่านี้ในอีเมลถึง Business Insider

 “ยอดขายออนไลน์มีแนวโน้มจะยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าที่เคยมีมาและนี่คือสิ่งที่แบรนด์จะต้องประเมิน”

เพราะฉะนั้นแล้ว ผู้ค้าปลีกที่นำเสนอประสบการณ์ Omnichannel ที่แข็งแกร่ง อยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุด ส่วนผู้แพ้นั้นจะเป็นผู้ค้าปลีกที่มีความเชี่ยวชาญในช่องหลายช่องทางน้อยกว่าและมีร้านค้าขนาดใหญ่ที่ไม่เกี่ยวข้องมากขึ้นเรื่อยๆ

 


บทความจากนิตยสาร MarketPlus Issue 125

[อ่าน 1,844]
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
SiteMinder สานต่อความร่วมมือกับ Trip.com ตอบรับการฟื้นตัวของตลาดการท่องเที่ยวของจีน
มงต้องลงแล้ว Miss AI เวทีประกวดนางงามจาก AI ครั้งแรกของโลก!
‘Digital Art Toy’ ภาคต่อที่เพิ่มมูลค่าให้กับ ‘ของเล่นศิลปะ’
พบความเชื่อมโยง แพลตฟอร์มท่องเที่ยวระดับโลก
กับเหตุสังหารหมู่โลมา เมืองไทจิ ประเทศญี่ปุ่น
ทำไม 'รถยนต์​ไฟฟ้า' ของ Apple ถึงไปไม่ถึง 'ฝัน'
ทำความเข้าใจการขึ้นราคากระเป๋า Chanel ล่าสุดปี 2024 และตลาดขายต่อ
MAGAZINE UPDATE
Owner
DOUBLE D CREATION Co.,Ltd.
เอเวอร์กรีนวิว ทาวเวอร์ ชั้น 4
เลขที่ 22/43 ซอยบางนา-ตราด 56 ถนนบางนา-ตราด
แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร 10260
Tel : 0-2751-4995-6
Mobile : 062-194-4561
Advertising
ติดต่อโฆษณา และ การตลาด
คุณศุภากร ยาตพงศ์ (บู)
Mobile : 08-1355-3636
Tel : 0-2751-4995-6
E-mail : market-plus@hotmail.com
info@marketplus.in.th
PR News
ส่งข่าวประชาสัมพันธ์
E-mail : info@marketplus.in.th,
market-plus@hotmail.com,
marketplus@hotmail.co.th
Copyright © 2016 DOUBLE D CREATION Co.,Ltd. All rights Reserved