บทเรียนจากวิกฤติโควิด-19 สู่การเปลี่ยนเปลี่ยนแปลง ‘ธุรกิจร้านสะดวกซื้อ’ ในญี่ปุ่น
17 Aug 2020

 

การระบาดของโควิด-19 ได้ก่อให้เกิดพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภค นี่ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่ธุรกิจต้องเร่งเรียนรู้ และปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง ซึ่งหนึ่งในธุรกิจที่กำลังนำบทเรียนที่ได้จากวิกฤติครั้งนี้ไปปรับใช้ คือ  ‘ธุรกิจร้านสะดวกซื้อ’ ในญี่ปุ่น

 

 

7-Eleven เริ่มขาย  'ประกัน

เริ่มด้วย 7-Eleven ผู้เล่นรายใหญ่ที่สุดของธุรกิจร้านสะดวกซื้อที่ออกมาขานรับพฤติกรรมใหม่ของผู้บริโภค ที่ไม่อยากสนทนากับพนักงานมากเกิดความจำเป็น เนื่องจากกังวลที่จะติดโรคโควิด-19 จากการสนทนา

จุดนี้เองทำให้ 7-Eleven ได้จับมือกับบริษัทประกันในญี่ปุ่น MS&ADในการขายประกันเสียเลย ขั้นตอนก็ง่ายแสนง่าย ลูกค้าสามารถลงทะเบียนข้อมูลที่จำเป็นผ่านเครื่อง Multi-function Machines ที่ตั้งอยู่ในร้านกว่า 20,000 เครื่องทั่วประเทศ ขั้นตอนการสมัครจะเสร็จสมบูรณ์เมื่อพวกเขาจ่ายค่าประกันที่แคชเชียร์ โดยลูกค้าสามารถเช็กข้อมูลต่างๆ ได้ผ่านสมาร์ทโฟนหรือคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ซึ่งนี่ถือเป็นวิธีการใหม่ที่เกิดขึ้น เพราะปกติแล้วพนักงานของ MS&AD จะขายประกันชีวิตโดยสนทนาโดยตรงกับลูกค้า

การร่วมมือดังกล่าวจะทำให้ 7-Eleven เป็นเชนร้านสะดวกซื้อแห่งแรกในญี่ปุ่นที่ขายประกันชีวิต เบื้องต้นจะเริ่มจากการขาย  'ประกันมะเร็ง’ ก่อน จากแผนที่จะจำหน่ายประกันทั้งหมด 4 ประเภท ครอบคลุมไปถึง ประกันรถยนต์, ประกันรถจักรยานยนต์ และ ประกันที่เกิดจากกิจกรรมสันทนาการอื่นๆ เป็นต้น

 

การขายเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 16 มิถุนายนที่ผ่านมา ทั้งคู่ตั้งเป้าว่าในปีแรกจะมีลูกค้ามาซื้อ 60,000 สัญญาด้วยกัน หลังจากนี้ยังมีการวางแผนที่จะจัดตั้งศูนย์บริการที่พนักงานขายประกันที่ได้รับใบอนุญาต สำหรับเป็นช่องทางในการพูดคุย ตอบข้อสงสัยให้กับลูกค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง

 

One Size Fits All ไม่ใช่สูตรสำเร็จอีกแล้ว

ขณะเดียวกันอีกหนึ่งบทเรียนที่ได้จากการระบาดของโควิด-19 สำหรับ 7-Eleven คือการที่สูตรสำเร็จที่เคยใช้ในวันวาน อาจจะไม่ประสบความสำเร็จอีกแล้วในวันนี้

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือการที่ในอดีต  ‘One Size Fits All’ หรือการออกแบบครั้งเดียวแล้วใช้รูปแบบนั้นในทุกสาขาทั่วประเทศ ถือเป็นสิ่งที่ 7-Eleven เลือกทำ หรือแม้กระทั่งธุรกิจค้าปลีกรายอื่นๆ ก็ตาม เพราะในแง่ของต้นทุนสามารถประหยัดได้เป็นอย่างมาก

แต่ในวันนี้ผลจากการระบาดของโควิด-19 ทำให้ผู้บริโภคนั้นมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป นั้นคือ ความหวาดหลัวการติดเชื้อในระหว่างรับประทานอาหารภายในร้านอาหารและการเข้าแถวในซูเปอร์มาร์เก็ต ทำให้ผู้บริโภคซื้อสินค้าในชีวิตประจำวันที่ร้านสะดวกซื้อใกล้เคียง ทำให้แม้ข้าวปั้นและ แซนด์วิชมียอดขายที่ชะลอลง ทว่าสุรา อาหารแช่แข็งและขนมหวานกำลังเติบโต

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ 7-Eleven ในเขต อิตาบาชิ (Itabashi) ของโตเกียว จำนวนผู้บริโภคที่ซื้ออาหารแช่แข็งเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ผู้จัดการร้าน อธิบายว่า เนื่องจากโรคระบาดทำให้ตัวเลขอย่างไม่เป็นทางการนั้นลูกค้าเดินเข้าร้านน้อยลง แต่กลับพบผู้คนเข้ามาซื้ออาหารแช่แข็งจำนวนมาก

สถานการณ์เกิดขึ้นทำให้ 7-Eleven รู้ว่าการใช้วิธีแบบเดิมๆ ออกแบบร้านและจัดวางให้เหมือนกันทั่วประเทศ เป็นสูตรเดิมที่ไม่อาจใช้ได้อีกต่อไป ดังนั้น 7-Eleven ตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแปลงการใช้โมเดลที่เคยใช้มากว่าครึ่งศตวรรษนับตั้งแต่เปิดร้าน 7-Eleven แห่งแรก โดยยอมให้อิสระมากขึ้นในแต่ละร้านเพื่อออกแบบตัวเองใหม่เพื่อรองรับลูกค้าในท้องถิ่นของตัวเอง 

สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปคือการที่ 7-Eleven อนุญาตให้เจ้าของร้านแฟรนไชส์สามารถปรับเปลี่ยนเลย์เอาต์ของร้านค้าได้ แต่ก็ใช้ว่าจะปรับเปลี่ยนได้ตามใจชอบ เพราะ 7-Eleven เองได้เตรียมคำแนะนำสำหรับจัดร้านค้าที่มีหลายรูปแบบมากขึ้น แยกตามที่ตั้งของร้านค้าโดยร้านที่อยู่ริมถนนและในทำเลที่อยู่อาศัยจะได้รับพิมพ์เขียวที่แตกต่างกัน เจ้าของสามารถเลือกจากคำแนะนำเหล่านี้และทำการปรับปรุงตามดุลยพินิจของตัวเอง

วันนี้ร้านค้าบางส่วนได้เริ่มปรับปรุงแล้ว และคาดว่าจะมีร้านอีกกว่า 8,000 แห่งที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในปีงบประมาณนี้สิ้นสุดในเดือนกุมภาพันธ์ 2021 จากปัจจุบัน 7-Eleven มีร้านค้าทั่วญี่ปุ่นกว่า 20,000 สาขา

 

นอกจากนี้ไม่ได้มีเพียงการจัดรูปแบบร้านเท่านั้นที่มีการเปลี่ยนแปลง ในการพัฒนา และผลิตสินค้าที่ออกมาจำหน่ายก็มีการเปลี่ยนแปลง เช่นเดียวกัน โดยต่อไปทีมพัฒนาในแต่ละภูมิภาคจะพัฒนาสินค้าของตัวเองที่มุ่งเจาะตลาดท้องถิ่นมากขึ้น ก่อนหน้านี้สินค้าที่พัฒนาโดยสำนักงานในแต่ละภูมิภาคมีสัดส่วนอยู่ราว 30-40% ของสินค้าที่วางขายทั้งหมด แต่ต่อไปจะเพิ่มเป็น 50%

 

 

 

Lawson แท็กมือ Muji ขายสินค้ามินิมอลในร้านสะดวกซื้อ

อย่างไรก็ตามไม่ได้มีเพียง 7-Eleven ที่เห็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค จนนำมาสู้การเปลี่ยนแปลงธุรกิจ Lawson ก็เป็นอีกรายที่กำลังปรับตัวให้ทันกับพฤติกรรม New Normal ของผู้บริโภคของผู้บริโภคด้วย

หลังจากที่เห็นว่า การระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ผู้บริโภคต้องอยู่แต่ในบ้าน ก่อให้เกิดพฤติกรรมการซื้อสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันอื่นๆ ที่ร้านสะดวกซื้อใกล้บ้านมากกว่าไปซื้อที่อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่อยู่อาศัยในเมือง ทำให้ Lawson วางแผนที่จะนำสินค้าสำหรับใช้ในชีวิตประจำวันเข้ามาเพิ่มขึ้น แต่จะพัฒนาขึ้นมาเองก็อาจจะไม่ทันกาล จึงเลือกที่จะหา ‘เพื่อน’ มาช่วย

Lawson ได้ตัดสินใจจับมือกับ Muji แบรนด์เสื้อผ้าที่ขึ้นชื่อด้วยสไตล์มินิมอล ในการนำสินค้าไปวางขายในร้าน Lawson ตลอดจนร่วมกันพัฒนาสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวัน

ตามรายงานของ Nikkei Asian Review ระบุว่า Lawson จะเริ่มขายสินค้า Muji ในร้านสามแห่งที่ Lawson เป็นเจ้าของเองในกรุงโตเกียว โดยร้านแต่ละแห่งจะมีชั้นสำหรับวางสินค้าที่แยกออกมาโดยเฉพาะ สินค้าที่จะขายเบื้องต้นมีทั้ง เครื่องสำอาง เครื่องเขียนและชุดชั้นใน ขณะเดียวกัน Lawson ก็จะเริ่มสำรวจแนวโน้มของลูกค้าในสาขาอื่นๆ ที่มีกว่า 15,000 สาขา สำหรับแนวโน้มการนำสินค้า Muji ไปวางขาย

 

หรือจะถึง ‘จุดอิ่มตัว’ ของร้านสะดวกซื้อ

ทั้งนี่ทั้งนั้นการเปลี่ยนแปลงของร้านสะดวกซื้อยักษ์ใหญ่ทั้ง 2 รายใช่ว่าจะมาจากวิกฤติโควิด-19 ทั้งหมด แม้ข้อมูลจาก Japan Franchise Association ระบุว่า ยอดขายรวมของผู้ประกอบการร้านสะดวกซื้อรายใหญ่เจ็ดแห่งในเดือนเมษายนลดลง 10.6% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว จำนวนลูกค้าลดลง 18.4% ซึ่งมาจากการล็อกดาวน์ของรัฐบาลเพื่อป้องกันการระบาดของโรค แต่เนื่องจากพฤติกรรมการซื้อสินค้าในร้านสะดวกซื้อที่อยู่ใกล้บ้าน ทำให้ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อลูกค้าเพิ่มขึ้น 9.5%

แต่ลึกๆ แล้วการบ้านข้อใหญ่ที่กำลังรอแก้สมการอยู่คือ ร้านสะดวกซื้อจะถึงจุดอิ่มตัวหรือเปล่า ? เพราะการเปิดร้านค้าจำนวนมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้ร้านสะดวกซื้อเพิ่มขึ้นอย่างมากในญี่ปุ่น ปัจจุบันมีจำนวนรวมประมาณ 58,000 ร้านทั่วประเทศ เมื่อมีอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่งการขยายตัวของสาขาอย่างรวดเร็วจึงทำไม่ได้อีกต่อไป

การขยายสาขาใหม่ของยักษ์ใหญ่ร้านสะดวกซื้อ 3 รายในญี่ปุ่นได้แก่ 7-Eleven, FamilyMart และ Lawson จึงได้ปรับมาอยู่ระหว่าง 300 - 400 สาขาในปีงบประมาณนี้ นี่ถือเป็นระดับที่ต่ำที่สุดเป็นอันดับสองในรอบสองทศวรรษที่ผ่านมา

ดังนั้นเมื่อการขยายไม่สามารถเป็นจุดหมายที่ทำใหธุรกิจสามารถเติบโตได้เหมือนเดิม ทำให้ยักษ์ใหญ่แต่ละรายจึงต้องดิ้นรนเพื่อดึงดูดความสนใจของลูกค้า ซึ่ง Nikkei Asian Review ให้ความเห็นว่า ความเคลื่อนไหวของ Lawson ในการหาพันธมิตรและขยายสายผลิตภัณฑ์ อาจทำให้เกิดการเคลื่อนไหวคล้ายกันจากผู้ประกอบการรายใหญ่อื่นๆ เช่นกัน

 

 

 

FamilyMart ใช้  หุ่นยนต์ แก้ปัญหาขาดแคลนแรงงาน

และหากมองมาที่ FamilyMart 1 ใน 3 ผู้เล่นรายใหญ่ในสงครามร้านสะดวกซื้อ ได้ดิ้นรนด้วยการเพิ่มการขายผักและผลไม้ในร้านที่ตั้งอยู่ในเขตที่มีออฟฟิศจำนวนมาก ขณะเดียวกันได้ทดลองนำ ‘หุ่นยนต์ที่ควบคุมจากระยะไกล’ มาช่วยงานในร้านเพื่อช่วยแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงาน อันเป็นผลมาจากอัตราการเกิดลดลงทำให้ร้านหาพนักงานได้ยากมากขึ้น 

โดย FamilyMart ได้ร่วมมือกับ Telexistence ซึ่งเป็นบริษัทที่พัฒนาหุ่นยนต์ในกรุงโตเกียว เพื่อทดสอบการทำงานของ ‘หุ่นยนต์ที่ควบคุมจากระยะไกล (remote-controlled robots)’ มาจัดเรียงสินค้าขึ้นชั้นวาง ซึ่งจะเริ่มต้นขึ้นภายในสิ้นเดือนกรกฎาคมนี้ ในร้าน FamilyMart บางสาขาในกรุงโตเกียว

หุ่นยนต์ดังกล่าวจะถูกควบคุมการทำงานด้วยเทคโนโลยี Virtual Reality ซึ่งทำให้หุ่นยนต์สามารถเคลื่อนไหวได้เหมือนมนุษย์ และสามารถจัดการสินค้าต่างๆ ประมาณ 30 รายการ รวมถึงขวดพลาสติกและบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ขณะที่พนักงานนั้นสามารถควบคุมจากระยะไกล

 

ข้อมูลเบื้องต้นหุ่นยนต์ใช้เวลา 8 วินาทีสำหรับการวางสิ่งของหนึ่งชิ้นบนชั้นวางสินค้า ในขณะที่ใช้เวลาเพียง 5 วินาทีสำหรับมนุษย์ในการทำสิ่งเดียวกัน Telexistence กล่าวว่า จะปรับปรุงความเร็วของหุ่นยนต์ให้อยู่ในระดับเดียวกับมนุษย์ และยังเพิ่มจำนวนสินค้าที่สามารถจัดการได้

FamilyMart ได้ตั้งความหวังว่า หากการทดสอบนี้ประสบความสำเร็จ ต่อไปก็จะสามารถนำ  ‘หุ่นยนต์’ เข้ามาแทนพนักงานที่แสนจะขาดแคลนได้

 

FamilyMart กำลังจะเปลี่ยนมือ?

อย่างไรก็ตามความเคลื่อนไหวของ FamilyMart  ไม่ได้มีแค่การทดสอบหุ่นยนต์เท่านั้น เพราะสื่อในญี่ปุ่นได้รายงานว่า FamilyMart อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นเกิดขึ้น

โดยมีรายงานว่า Itochu ซึ่งเป็นบริษัทเทรนด์ดิ้งเสนอเม็ดเงินที่อยู่ระหว่าง 4.6 - 5.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเป็นเจ้าของ 100% หลังจากที่เดิม ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ Itochu ถือหุ้นอยู่แล้ว 50.36%

ว่ากันว่า เป้าหมายของการเข้าซื้อหุ้นในครั้งนี้จะทำให้ Itochu จะสามารถจัดหาสินค้าได้เพิ่มขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น การจัดซื้ออาหารและสินค้าอุปโภคบริโภค ตลอดจนข้อมูลลูกค้าที่มีมากมายของ FamilyMart จะช่วยให้ Itochu สามารถปูทางไปสู่ธุรกิจใหม่ซึ่งอาจเหนือกว่าหมวดค้าปลีกทั่วไป ซึ่งเดิมนั้น FamilyMart มีการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าและการชำระเงินดิจิทัลอยู่แล้ว 

FamilyMart ยอมรับว่า มีข้อเสนอดังกลาวเกิดขึ้นจริง แต่ยังไม่สามารถสรุปได้ว่า จะซื้อขายจริงๆ หรือไม่ โดยปัจจุบัน FamilyMart  มีสาขา 16,613 แห่งในญี่ปุ่น แต่ละวันมีลูกค้ามากกว่า 10 ล้านคน และมีร้านที่อยู่นอกญี่ปุ่นอีกกว่า 8,032 สาขา

             

[อ่าน 2,498]
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
สมการใหม่ของ Apple เบื้องหลัง iPhone ราคา 2,000 ดอลลาร์ และกลยุทธ์ในวันที่ตลาดอิ่มตัว
ปฏิบัติการ รีแบรนด์ Microsoft Office เมื่อ “AI” เข้ามาเปลี่ยนวิธีคิดการดีไซน์
ทำไม JW Anderson จึงโดดเด่นในการออกแบบกระเป๋าถืออันเป็นเอกลักษณ์
สี จิ้นผิง–เผิง ลี่หยวน เปิดงานเลี้ยงต้อนรับผู้นำ SCO 2025 ที่เทียนจิน โชว์บทบาทเจ้าภาพผลักดันความร่วมมือภูมิภาค
มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก เดิมพันครั้งสุดท้าย? คว้า ‘อเล็กซานเดอร์ หวัง’ ขุนศึก AI ปั้นฝัน Superintelligence
AI ไม่ได้ฆ่า Google Search? เบื้องหลังปราการป้องกันที่แข็งแกร่งกว่าที่คิด
MAGAZINE UPDATE
Owner
DOUBLE D CREATION Co.,Ltd.
เอเวอร์กรีนวิว ทาวเวอร์ ชั้น 4
เลขที่ 22/43 ซอยบางนา-ตราด 56 ถนนบางนา-ตราด
แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร 10260
Tel : 0-2751-4995-6
Mobile : 062-194-4561
Advertising
ติดต่อโฆษณา และ การตลาด
คุณศุภากร ยาตพงศ์ (บู)
Mobile : 08-1355-3636
Tel : 0-2751-4995-6
E-mail : market-plus@hotmail.com
info@marketplus.in.th
PR News
ส่งข่าวประชาสัมพันธ์
E-mail : info@marketplus.in.th,
market-plus@hotmail.com,
marketplus@hotmail.co.th
Copyright © 2016 DOUBLE D CREATION Co.,Ltd. All rights Reserved