ย้อนกลับไปในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2020 ได้เกิดข่าวสะเทือนตลาดร้านสะดวกซื้อของแดนซามูไร เมื่อมีข่าวหลุดออกว่า Seven & i Holdings บริษัทแม่ของ 7-Eleven เชนร้านสะดวกซื้อ 24 ชั่วโมงได้สนใจที่จะเข้าซื้อ Speedway ซึ่งดำเนินธุรกิจร้านสะดวกซื้อและธุรกิจสถานีบริการน้ำมันในแดนลุงแซม
ครั้งนั้นมีการเปิดเผยออกมาว่า 7-Eleven เตรียมใช้เงิน 2.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 6.9 แสนล้านบาทด้วยกัน ในช่วงเวลานั้นหลายคนได้มองว่า การเข้าซื้อครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะตามงบ Seven & i Holdings มีเงินสดอยู่ 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้นักวิเคราะห์มองว่าดีลซื้อกิจการ 2.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐจะกลายเป็นภาระทางการเงินก้อนโตที่บริษัทต้องแบกรับ
ซื้อจริงด้วยมูลค่า 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
หลังจากมีข่าวหลุดออกมาก็มีข่าวที่ทยอยลือออกมาเป็นระยะๆ ว่า Seven & i Holdings อาจจะไม่ได้เข้าซื้อ Speedway ก็เป็นไปได้ เพราะในช่วงแรกนั้น 7-Eleven ได้ระบุว่า กำลังสำรวจความเป็นไปได้ที่หลากหลายสำหรับกลยุทธ์การเติบโตใหม่ รวมถึงเพิ่มพันธมิตรและการเข้าซื้อกิจการ แต่ขณะนี้ยังไม่มีการตัดสินใจอะไรเลย อีกอย่างคือ ราคาสำหรับดีลนี้ค่อนข้างสูงเกินไปนิด
แต่หลังจากบ่อยเวลาล่วงเลยมาถึงครึ่งปีในที่สุดดีลดังกล่าวก็เกิดขึ้นมาจริงๆ เมื่อมีการเปิดเผยว่า Seven & i Holdings ได้บรรลุข้อตกลงที่จะเข้าซื้อ Speedway ด้วยมูลค่า 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 6.6 แสนล้านบาท ซึ่งลดลงนิดหน่อยเมื่อเทียบกับข่าวที่หลุดออกมาก่อนหน้า
ดีลดังกล่าวได้กลายเป็นข้อตกลงการซื้อที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของสหรัฐฯ ในปีนี้ และแม้จะใช้เงินมหาศาลแต่นี่อาจเป็นสิ่งที่คุ้มค่าสำหรับSeven & i ผู้เป็นเจ้าของร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven รวมถึงซูเปอร์มาร์เก็ต Ito-Yokado และห้างสรรพสินค้าในญี่ปุ่นและที่อื่นๆ รวม 69,000 สาขาทั่วโลก
เพราะนี่จะเป็นการปูทางให้ธุรกิจจากแดนซามูไรเข้าไปผงาดในแดนลุงแซม
วางแผนขยายให้ครบ 20,000 สาขา
อย่างที่รู้กันธุรกิจร้านสะดวกซื้อในญี่ปุ่นนั้นกำลังเผชิญข้อท้าทายเป็นอย่างมาก ทั้งจากตลาดที่อิ่มตัวจนไม่สามารถขยายสาขาจำนวนมากๆ เพื่อติดจรวดยอดขายได้เหมือนเดิมอีกต่อไป
ตลอดจนปัญหาการขาดแคลนแรงงาน เนื่องจากญี่ปุ่นมีอัตราการเกิดของเด็กที่ลดน้อยลงเรื่อยๆ จึงทำให้แดนซามูไรกำลังเดินทางเข้าสู่สังคมสูงวัยในเวลาอันใกล้ ซึ่งทำให้ธุรกิจร้านสะดวกซื้อที่ใช้พนักงานจำนวนมาก ไม่สามารถหาแรงงานเข้ามาได้
ดังนั้นเพื่อให้ธุรกิจยังเดินหน้าเติบโตต่อไปได้ หนทางที่ดีที่สุดคือการที่ต้องออกไปเติบโตนอกบ้านเกิด ซึ่งการบุกเข้าสู้ประเทศที่มีเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกจึงเป็นดังแสงสว่างปลายอุโมงค์ให้กับ Seven & i Holdings ซึ่งที่ผ่านมาได้ขยายธุรกิจเพิ่มเติมในอเมริกาเหนือ อย่างต่อเนื่อง ปีงบประมาณล่าสุดคิดเป็นสัดส่วนยอดขายกว่า 40% ก้าวกระโดดอย่างมากในช่วง 5 ปีมานี้
การเข้าซื้อในครั้งนี้จะทำให้ Seven & i Holdings ก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 ในตลาดร้านสะดวกซื้อชนิดที่คู่แข่งตามได้ยากในทันที เพราะเมื่อมองเข้าไปในตลาดจะพบว่า 7-Eleven ถือเป็นเบอร์ 1 ด้วยจำนวนประมาณ 9,000 แห่ง ส่วนอันดับ 2 เป็นของ Alimentation Couche-Tard ซึ่งบริหารร้าน Circle K จำนวน 8,000 สาขาด้วยกัน และอันดับสามไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็น Speedway ซึ่งมีสาขาประมาณ 4,000 แห่ง นั้นเอง
ล่าสุดมีการเปิดเผยว่า หลังจากควบรวมกิจการแล้ว 7-Eleven วางแผนให้ตัวเองขึ้นแตกลูกหลานให้ครบ 20,000 สาขา โดยที่ยังไม่ได้กำหนดระยะเวลาที่แน่ชัด
โอกาสก็มี แต่ความท้าทายก็ยังรออยู่
ข่าวดังกล่าวได้ถูกมองว่า 7-Eleven กำลังวางแผนท้ารบกับ Walmart ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมค้าปลีกแดนลุงแซม เพราะไม่เพียงจำนวนสาขาที่มากขึ้นแล้ว การดำเนินธุรกิจก็มีความใกล้เคียงกันอีก ยิ่งวันนี้การหลอมรวมระหว่างออนไลน์และร้านค้าแบบดั้งเดิมที่ใกล้เข้ามาเพิ่มอีกเรื่อยๆ
เนื่องจากการระบาดของโควิด-19 ทำให้ผู้บริโภคนิยมส่งสินค้าทางออนไลน์มากขึ้น แต่ด้วยเครือข่ายโลจิสติกส์ของแดนลุงแซมที่กำลังพัฒนาในหลายส่วนของประเทศ และอาจจะยังไม่ได้ครอบคลุมเท่าญี่ปุ่น ทำให้ผู้บริโภคต้องสั่งมาลงที่ร้านค้าก่อนถึงไปรับทีหลัง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการหารายได้
ขณะเดียวกันแม้สหรัฐฯ จะได้รับผลกระทบค่อนข้างหนักจากวิกฤติโควิด-19 แต่ในระยะยาวนั้นประชากรมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดร้านสะดวกซื้อมีโอกาสเติบโตขึ้นอีกในอนาคต
อย่างไรก็ตามไม่ได้มีเพียงโอกาสเท่านั้น แต่ยังมีความท้าทายอยู่อีกมาก เพราะในสหรัฐนั้นร้านสะดวกซื้อมันตั้งอยู่ในปั๊มน้ำมัน ซึ่งวันนี้อนาคตของรถยนต์เครื่องยนต์เผาไหม้กำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า ทำให้ Seven & i ต้องใช้เงินอีกมากเพื่อลงทุนในสถานีชาร์จ ในขณะที่เดิมนั้นตัวเองก็ต้องแบกรับภาระการเข้าซื้อกิจการเป็นจำนวนเงินมหาศาลอยู่แล้ว