พยากรณ์เศรษฐกิจโดย ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (CEBR) ที่ระบุว่า เศรษฐกิจจีนจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดในปี 2028 และขึ้นเป็นเบอร์ 1 ของโลกแทนอเมริกานั้นจะย่นระยะเวลาเร็วขึ้นกว่าเดิมจากที่เคยมีการคาดการณ์ไว้ถึง 5 ปีด้วยซ้ำ จากความสามารถในการป้องกันรับมือและการฟื้นตัวจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และถ้าผนวกกับเหตุการณ์ความรุนแรงเรื่องการประท้วงที่รัฐสภาจากแฟนคลับของโดนัลด์ ทรัมป์ จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 4 คนที่สะท้อนอย่างชัดเจนว่าสังคมอเมริกันนั้นโดยเนื้อแท้ไม่ได้มีความแข็งแกร่งจากภายในอันใด เป็นแต่สังคมเปลือกที่พร้อมปะทุด้วยความขัดแย้งแบบ 'เน่าใน'
ฉะนั้น อีกไม่กี่ปีข้างหน้าก็จะได้เห็น จีนเริงร่าและอยากจะขอยืมคำพูดที่ว่า
Who Says Elephant Can't Dance ... ใครว่าช้างเต้นระบำไม่ได้?
ชื่อหนังสือที่พูดถึงการฟื้นฟูกิจการไอบีเอ็มครั้งประวัติศาสตร์มาใช้กับประเทศจีนทั้งประเทศในคราวนี้ จากเดิมที่จีนเคยถูกดูแคลนว่าโลกตะวันตกว่าเป็น 'มังกรหลับ'
รายงานจาก BangkokBankSME อ้างอิงพยากรณ์ของ CEBR ที่ระบุว่า เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มขยายตัวทางโดยเฉลี่ย 5.7% นับตั้งแต่ปี 2021-2025 ก่อนชะลอลงสู่ 4.5% ในช่วงปี 2026-2030 ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯมีแนวโน้มที่จะดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งหลังโรคระบาดสิ้นสุดลงในปี 2021 แต่การขยายตัวทางเศรษฐกิจจะชะลอลงสู่ 1.9% ต่อปีระหว่างปี 2022-2024 และจะชะลอลงสู่ 1.6% หลังจากนั้น และญี่ปุ่นยังคงเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดอันดับ 3 ของโลกไปจนถึงต้นทศวรรษ 2030 ก่อนจะถูกอินเดียแซง ขณะที่เยอรมนีจะตกจากอันดับ 4 ไปเป็นอันดับ 5 และสหราชอาณาจักรซึ่งปัจจุบันมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดอันดับ 5 ของโลกนั้นจะตกไปอยู่ที่อันดับ 6 นับตั้งแต่ปี 2024
ขณะที่ Fitch Ratings พยากรณ์แนวโน้มเศรษฐกิจจีนปี 2021 ว่าจะอยู่ที่ 8% เพิ่มจาก 7.7% ในเดือนกันยายน 2020 ทั้งนี้ ดูได้จากดีมานด์ภายในประเทศและความคาดหวังกับการจัดการเรื่องวัคซีนของไวรัสโควิด ซึ่งถือว่าอัตราการเติบโตนี้ดีกว่าที่มีการคาดการณ์กันว่า จีนจะเติบโตโดยเฉลี่ย 5.5% ต่อปีจากฐานที่ต่ำมากๆ แล้วในปี 2020
ส่วน Nomura ก็มองดีกว่านั้นไปอีก โดยคาดว่าจีนน่าจะเติบโตได้ถึง 9% ในปีนี้
เศรษฐกิจจีนสำคัญอย่างไร
นั่นเป็นเพราะการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนนั้นคิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 3 ของเศรษฐกิจโลก และประเทศจีนกับไทยมีการเชื่อมโยงที่แน่นแฟ้นกันหลายด้าน ทั้งภาคเกษตร อุตสาหกรรม การบริการ และเป็นแหล่งผลิตสินค้าสำเร็จรูป วัตถุดิบชิ้นส่วนที่เป็นห่วงโซ่สำคัญของสายการผลิตสินค้าภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการของไทย จีนจึงเป็นตลาดคู่ค้าของไทยที่สำคัญ ความเปลี่ยนแปลงของจีนจึงส่งผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทย อัตราการจ้างงาน การส่งออกและการท่องเที่ยว ดังที่เห็นกันมาตลอดปี 2020 ที่เศรษฐกิจจีนชะลอตัวจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 นั้นได้ฉุดเศรษฐกิจไทยให้ตกตามไปด้วย เรียกว่า ถ้าจีนเป็นหวัด ไทยก็พลอยเซไปด้วยนั่นละ
เพราะว่ากันเฉพาะรายได้จากนักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2010 ก็ทำให้ไทยสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวของจีนได้ทะลุ 1 แสนล้านบาทเป็นครั้งแรก คิดเป็นสัดส่วน 10% ของรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งหมด และนักท่องเที่ยวจีนก็กลายเป็นแหล่งรายได้หลักของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย ด้วยสถิติของปี 2019 ที่มามากถึง 10.9 ล้านคน สร้างรายได้การท่องเที่ยวได้กว่า 5.43 แสนล้านบาท หรือเกือบ 1 ใน 3 ของรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด
นอกจากนี้ สุขภาพเศรษฐกิจของจีนยังมีความสำคัญในมิติของเศรษฐกิจของโลกอีกด้วย เนื่องจาก
1) ในฐานะที่จีนเป็นเสมือนโรงงานของโลกที่สามารถผลิตได้ตั้งแต่สินค้าธรรมดาๆ อย่างรองเท้าไปจนถึงเทคโนโลยีที่มีความซับซ้อน อีกทั้งค่าจ้างแรงงานถูก ทำให้นักลงทุนหลั่งไหลไปลงทุนในจีนกันมากขึ้น และกดดันให้ราคาสินค้าจากตะวันตกถูกลงตามไปด้วย
2) จีนเป็นประเทศที่บริโภคอาหารมากที่สุดในโลก ด้วยจำนวนประชากรที่มีมากถึง 1,300 ล้านคน คนจีนมีอัตราการบริโภคเนื้อหมูมากถึง 5 เท่าเมื่อเทียบกับปี 1979 หรือพูดให้เห็นภาพก็ต้องบอกว่า คนจีนบริโภคหมูที่เลี้ยงกันทั่วโลกไปซะครึ่งหนึ่งแล้ว ขณะที่มีการคาดการณ์ว่า ประชากรจีนจะเพิ่มขึ้นอีกเป็น 21% ของประชากรโลก ขณะที่จีนมีพื้นที่เกษตรเหลือเพียง 9% เท่านั้น
3) จากเศรษฐกิจของจีนที่สะพัดขึ้นทำให้เราได้เห็นพฤติกรรมของคนจีนที่มีเงินใช้เงินซื้อสิ่งของต่างๆ ไปทั่วโลกจีน อีกทั้งกลายเป็นนายทุนที่กว้านซื้อทุกอย่างทั่วโลกเช่นกัน เพื่อสนองความต้องการของตนเองทั้งวัตถุดิบ การลงทุน ธุรกิจ อุตสาหกรรม สินค้าฟุ่มเฟือย รวมถึงนวัตกรรมใหม่ๆ ทำให้สัดส่วนการลงทุนหรือการเป็นเจ้าของทรัพยากรธรรมชาติ สินค้า บริการ ธุรกิจต่างๆ ทั่วโลกเปลี่ยนมือเป็นของคนจีนมากขึ้น และอาจใช้อำนาจเงินในการลงทุนด้านการทหารและอำนาจทางอวกาศท้าทายสหรัฐอเมริกา ประเทศคู่ปรับรายสำคัญ
4) อิมแพ็คที่ไม่ค่อยดีนัก แต่มาจากการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมากของจีน ทำให้จีนกลายเป็นผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่ที่สุดในโลกไปโดยปริยาย จากการพึ่งพาพลังงานถ่านหินถึง 70% โดยก๊าซของจีนจะพุ่งสูงขึ้นอีก 60% จากปัจจุบัน นอกจากนี้ ยังพบปัญหาเรื่องสารพิษ ปรอท ตะกั่วที่จีนปล่อยกระจายปนเปื้อนในมหาสมุทรของประเทศเพื่อนบ้านและลุกลามข้ามทวีปไปยังสหรัฐอเมริกาได้อีกด้วย
จีน ตลาดใหญ่ของไทย
สำหรับประเทศไทย ตลาดจีนถือว่ามีความสำคัญ โดยเฉพาะภาคการเกษตรและการท่องเที่ยว โดยจีนเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญของไทย เช่น ทุเรียน, เงาะ, มังคุด, ลองกอง, มะม่วง, ไม้ยางพารา, เฟอร์นิเจอร์และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่สำคัญ เศรษฐกิจไทยจึงยังต้องพึ่งพาตลาดจีน
ดังนั้น การที่เศรษฐกิจจีนทรงอิทธิพลระดับโลกจึงส่งผลต่อประเทศไทยและประเทศในภูมิภาคเอเชียไปด้วย เนื่องจากตลอด 10 ปีที่ผ่านมาจีนเป็นคู่ค้าของประเทศส่วนใหญ่ของภูมิภาคเอเชียในการซื้อสินค้าประเภทต่างๆ เช่น แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ น้ำมันดิบ เหล็กกล้า แร่ทองแดง ดังนั้น ไม่ว่าเศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวหรือขยายตัวหรือขึ้นนำเป็นเบอร์ 1 ของโลก จนทำให้โลกเปลี่ยนจากการหมุนรอบสหรัฐอเมริกาเป็นหมุนรอบจีนได้ก็จะส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยและเอเชียไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เมื่อถึงเวลาที่ ‘ช้างเต้นระบำ’ ได้ เราก็จะได้ร้องเพลงสนุกไปด้วยละ
ที่มา : BangkokBankSME, CNBC, thecomversation.com // Source : Nikkei Research, NQN