นับเป็นข่าวที่สะเทือนวงการฮอลลีวูดอยู่ไม่น้อย เมื่อเจ้าพ่ออีคอมเมิร์ซอย่าง Amazon ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ที่มีมูลค่าบริษัทกว่า 1.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 53 ล้านบาท ได้เข้าซื้อ MGM สตูดิโอหนังเก่าแก่ของฮอลลีวูดที่มีภาพคุ้นอย่างภาพสิงโตคำรามก่อนที่หนังจะเข้าฉาย
ดีลนี้มีมูลค่ากว่า 8.45 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 2.6 แสนล้านบาท ซึ่งดีลนี้จะปิดได้หรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับการอนุมัติตามกฎข้อบังคับและเงื่อนไขตามธรรมเนียมอื่นๆ แต่กระนั้นคำถามที่น่าสนใจคือ ทำไมเจ้าพ่ออีคอมเมิร์ซต้องเข้าซื้อสตูดิโอหนังเก่าแก่ของฮอลลีวูดด้วย?
ย้อนประวัติ MGM
"MGM เป็นเรื่องราวของฮอลลีวูดจริงๆ" โจนาธาน คุนซ์ ศาสตราจารย์ด้านภาพยนตร์ที่ UCLA School of Theatre, Film and TV กล่าวกับ CNN Business “สตูดิโอได้ผ่านทุกวงจรของธุรกิจภาพยนตร์ในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา”
“ในหลายๆ เรื่อง MGM เป็นแนวคิดของสตูดิโอคลาสสิกของฮอลลีวูด” เขากล่าว "และพยายามรักษาความคิดนั้นไว้นาน แต่หลังจากนั้นนี่ไม่ใช่กลยุทธ์ทางธุรกิจที่ใช้ได้ผลอีกต่อไป"
สำหรับประวัติของ MGM เริ่มต้นเมื่อเกือบศตวรรษที่แล้วด้วยการควบรวมกิจการ โดยในปี 1924 Marcus Loew เจ้าพ่อโรงละครได้รวบรวม Metro Pictures และ Goldwyn Pictures รวมทั้ง Louis B.Mayer Productions เพื่อก่อตั้ง Metro-Goldwyn-Mayer โดย MGM ถูกกล่าวขานว่าเป็นสตูดิโอตัวอย่างยุคทองของฮอลลีวูดและเป็นจุดเริ่มต้นของเมล็ดพันธุ์ที่เติบโตมาเป็นฮอลลีวูดยุคใหม่ และผลิตภาพยนตร์หลายเรื่องที่นับว่าเป็นตำนานของภาพยนตร์ด้วยกันเองทั้ง The Wizard of Oz, Singin 'In The Rain และ Ben Hur ซึ่งได้รับรางวัลออสการ์ 11 รางวัล เป็นสตูดิโอที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดแห่งหนึ่งในยุคแรกๆ ของฮอลลีวูด
ครั้งหนึ่งเคยมีชื่อเสียง
"ครั้งหนึ่ง MGM เป็นสตูดิโอที่มีชื่อเสียงที่สุดในฮอลลีวูด" Leonard Maltin นักวิจารณ์ภาพยนตร์และนักประวัติศาสตร์กล่าวกับ CNN Business "มันมีช่วงเวลาแห่งความรุ่งโรจน์ที่ดำเนินมาหลายทศวรรษ"
เนื่องจาก MGM ทำธุรกิจแบบระบบสตูดิโอจึงมีนักแสดงภายในสังกัดหลายคนที่ถือเป็นซูเปอร์สตาร์ ของฮอลลีวูดไม่ว่าจะเป็น คลาร์ก เกเบิล หรือ โจแอน ครอว์ฟอร์ดแต่ในขณะที่ฮอลลีวูดเปลี่ยนไปตามการถือกำเนิดของทีวี MGM ก็ไม่เต็มใจที่จะเปลี่ยนแปลงมากที่สุด โดย “MGM พยายามรักษาวิถีเดิมๆ ของฮอลลีวูด” นักวิจารณ์ภาพยนตร์กล่าว
เช่นเดียวกับช่วงเวลาปัจจุบันปลายทศวรรษที่ 1960 เป็นช่วงเวลาที่วุ่นวายสำหรับฮอลลีวูด การเพิ่มขึ้นของโทรทัศน์และรสนิยมที่เปลี่ยนไปของผู้ชมทำให้ธุรกิจของฮอลลีวูดหยุดชะงัก MGM ก็เป็นเช่นเดียวกับสตูดิโออื่นๆ ที่ไม่มีภูมิคุ้มกันต่อช่วงเวลาที่เปลี่ยนแปลงและแม้พยายามปรับตัวแต่ก็ช้าเกินไป ในที่สุดจึงมีการขายกิจการหลายครั้งและล่าสุดก็ตกมาอยู่ในมือของ Amazon
เติมเต็ม Amazon Prime
การเข้าซื้อ MGM ของเจ้าพ่ออีคอมเมิร์ซในครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพราะต้องการกระโดดเข้าสู่วงการสร้างภาพยนตร์ แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่ Amazon จะได้จากดีลครั้งนี้คือ ภาพยนตร์มากกว่า 4,000 เรื่องและรายการทีวี 17,000 รายการ ซึ่งนี้คือขุมทรัพย์ที่แท้จริงสำหรับดีลนี้แม้ว่าธุรกิจวิดีโอสตรีมมิ่งจะเป็นส่วนเล็กๆ ของอาณาจักร Amazon แต่ตัว Amazon ก็มุ่งมั่นที่จะทำให้ธุรกิจนี้เติบโตแบบก้าวกระโดด
ดังนั้นการได้คลังเนื้อหาจำนวนมากนี้จะเข้ามาเติมเต็มให้กับ Amazon Prime ที่กำลังเติบโต โดยมีสมาชิกแบบชำระเงินมากกว่า 200 ล้านราย ทิ้งห่างกับคู่แข่งอย่าง Netflix ไม่มาก ซึ่งฝ่ายนั้นมีผู้ติดตามอยู่ที่ราว 208 ล้านคนนอกจากนี้อีกขุมทรัพย์ที่ Amazon จะได้จากดีลครั้งนี้คือ ‘James Bond’ แฟรนไชส์สายลับซึ่งเป็นหนึ่งในซีรีส์ภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงที่สุดของฮอลลีวูด มีรายได้หลายพันล้านดอลลาร์ในช่วง 60 ปีที่ผ่านมา
ขณะเดียวกันการเข้าซื้อ MGM จะช่วยให้ Amazon Prime สามารถต่อกรกับคู่แข่งหลักอย่าง Netflix และ Disney+ ซึ่งวิธีที่ง่ายที่สุดที่ช่วยเพิ่มแต้มต่อคือการซื้อเนื้อหา เครือข่ายหรือสตูดิโอมาเป็นของตัวเองดังนั้นการซื้อนี้ทำให้ Amazon มีเนื้อหามากขึ้นสตูดิโอที่ได้รับการยอมรับในฮอลลีวูด และ James Bond มาอยู่ใต้ชายคามีพลังดึงดูดผู้บริโภคให้อยากเข้ามาเป็นลูกค้ามากขึ้น ที่สำคัญคือช่วยให้ Amazon Prime สามารถแข่งขันได้มากขึ้นในโลกแห่งการสตรีมที่โหดเหี้ยม