ความพยายามของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงสาธารณสุขที่พยายามผลักดันให้ 'กัญชงและกัญชา' เป็น 'พืชเศรษฐกิจ' ตัวใหม่ และมองช็อตต่อเนื่องถึงเป้าหมายที่ต้องการให้เป็น 'โปรดักท์ แชมเปี้ยน' ด้วยว่ามูลค่าตลาดของ 'กัญชงและกัญชา' ในระดับโลกไต่ขึ้นหลักแสนล้านบาท และกำลังเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนมูลค่าตลาดในประเทศไทยก็ขึ้นระดับหมื่นล้านบาทแล้ว
ทั้งนี้นับแต่กระทรวงสาธารณสุข ออกประกาศเรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 พ.ศ.2563 ปลดล็อกให้ทุกส่วนของกัญชาและกัญชงไม่เป็นยาเสพติด ยกเว้น ช่อดอกใบที่ติดกับช่อดอก และเมล็ดกัญชา ส่งผลให้ประชาชนสามารถปลูกกัญชา และกัญชงได้แล้ว ด้วยการตั้งเป็นกลุ่มวิสาหกิจชุมชนให้ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อป้องกันการนำเอาไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้องโดยต้องรวมตัวกัน 7 คนขึ้นไป เป็นวิสาหกิจชุมชน และทำสัญญาร่วมโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) หรือหน่วยงานภาครัฐ หรือหน่วยงานสาธารณสุข
ในฐานะที่ศูนย์วิจัย และพัฒนาเกษตรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ เป็นหนึ่งในหน่วยงานสำคัญของการทำการวิจัย และพัฒนาสายพันธุ์กัญชา ประเทศไทยเป็นแหล่งปลูกกัญชาที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ทั้งนี้ศาสตราจารย์ ดร.อานัฐ ตันโช ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาเกษตรธรรมชาติมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ได้ออกมาเปิดมุมมองถึง กัญชง และกัญชา ในฐานะพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ของประเทศไทย รวมถึงความท้าทายต่างๆ ที่ยังรออยู่ ก่อนที่จะสร้างรายได้แบบ New S-Curve ให้กับระบบเศรษฐกิจไทย
ในฐานะของ ‘หน่วยงานต้นน้ำ’ คิดว่า กัญชงและกัญชา มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ได้เร็วๆ นี้หรือไม่
ผมก็มองเห็นความเป็นไปได้ที่จะเป็นพืชเศรษฐกิจ แต่เป็นได้เมื่อไร ..แล้วเมื่อมีการปลดล็อกกัญชา ถามว่า ตอนนี้เสรี หรือไม่ - ไม่เสรี เพราะอนุญาตให้ปลูกใช้ได้เฉพาะทางการแพทย์เป็นหลัก และปลูกได้จำนวนจำกัด แต่พืชที่น่าจะทำเงินได้จริงๆ คือ กัญชง หรือ เฮมพ์ (Hemp)
แต่อย่างไรก็ตามปฏิเสธไม่ได้ว่า มีกระแสตอบรับอย่างดีมากโดยมีโควิด-19 เป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก เนื่องจากผู้ประกอบการขณะนี้ ก็ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ไม่น้อย และสูญเสียรายได้ไปมาก ดังนั้นต่างก็ต้องการที่จะได้รายได้เพื่อชดเชยส่วนที่ขาดหายให้เร็วที่สุด ขณะเดียวกันตลาดเองก็มีความต้องการ และการตอบรับอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นอาหาร, เครื่องดื่มหรืออะไรก็ตามที่ใส่กัญชาต่างก็ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากกัญชามีภาพลักษณ์ และให้ความรู้สึกในใจผู้บริโภคถึงความเอ็กซ์คลูซีฟ เท่ ทำให้ผู้ประกอบการสามารถตั้งราคาได้มากกว่าเดิม โดยที่ผู้บริโภคก็ยินดีจ่ายด้วย
จากการควบคุมสารสำคัญ THC ที่สกัดจากกัญชงและกัญชา เพราะมีส่วนคาบเกี่ยวในเชิงการแพทย์ และมีสารเสพติดที่รัฐควบคุม ทำให้ทั้งเกษตรกรและธุรกิจภาคเอกชนต่างก็อยากปลูกกัญชง เนื่องจากไม่ต้องยุ่งกับหน่วยงานของรัฐ มากเหมือนกัญชา เพียงแค่มีโควตาและได้ขออนุญาตถูกต้องก็สามารถปลูกได้เลย ตรงนี้นี่เองที่จะทำให้มองได้ว่า กัญชงจะเป็นพืชเศรษฐกิจในอนาคตได้ จะเห็นได้ว่า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์อยากใส่หมด น้ำดื่มเพื่อสุขภาพ เครื่องดื่มบำรุงอยากใส่
นอกจากนี้ กฎหมายยังปลดกัญชาในส่วนใบ, ราก, ต้น จึงสามารถนำไปปรุงอาหารได้ เนื่องจากมีสาร THC ต่ำจึงมีการนำไปผสมอาหาร คุกกี้ ขนมขบเคี้ยว ชา กาแฟ ฯลฯ กาแฟธรรมดาแก้วหนึ่งไม่กี่สิบบาท แต่เมื่อใส่กัญชาเข้าไป แก้วละเป็นร้อยก็มีคนซื้อหรืออย่างร้านอาหารช่วงก่อนโควิด -19 ถ้าเปิดขายเมนูใส่กัญชา คนยืนรอเต็มหน้าร้านเลย ตรงนี้ทำให้เห็นได้ว่า ตลาดมีอุปสงค์เยอะมาก มูลค่าตลาดก็สูงมาก นี่จึงทำให้เกษตรกรอยากจะปลูก แต่ความจริงที่ไม่ทราบจะรู้กันเมื่อไรก็คือ มีการนำใบกัญชงที่ดูคล้ายกัญชามาแอบใส่แทน แต่ใบกัญชงไม่อร่อยเหมือนใบกัญชา เพราะไม่มีสรรพคุณทางด้านการเจริญอาหาร อย่างไรก็ตามการนำมาผลิตอาหาร-เครื่องดื่มในเชิงสินค้าอุตสาหกรรมยังต้องขออนุญาตผลิตจาก อย. ซึ่งยังดำเนินการไม่ได้ในตอนนี้เนื่องจากยังไม่มีการกำหนดปริมาณที่ให้ใช้จาก อย.(ได้ทั้ง THC, CBD)
ศาสตราจารย์ ดร.อานัฐ ตันโช ผู้อำนวยการ ศูนย์วิจัยและพัฒนาเกษตรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยแม่โจ้
กัญชงและกัญชาไทยสามารถแข่งขันได้ในตลาดต่างประเทศหรือไม่
ความเป็นจริงก็คือ ทั้งกัญชงและกัญชาในประเทศไทยถูกล็อกมา 70 กว่าปี องค์ความรู้และโนว์ฮาวของการปลูกกัญชาก็อยู่ ‘ใต้ดิน’ ต้องแอบๆ ทำ ไม่มีการพัฒนาองค์ความรู้ตามหลักวิชาการ หรือการพัฒนาสายพันธุ์อย่างจริงจังจากหน่วยงานวิชาการ เนื่องจากเป็นสิ่งผิดกฎหมาย และในประเทศไทยก็ได้ปลดล็อกให้ทุกส่วนของกัญชงและกัญชาไม่เป็นยาเสพติด ยกเว้นช่อดอก ใบที่ติดกับช่อดอก และเมล็ดกัญชามาเมื่อ 2 ปีนี้เอง หลังองค์การสหประชาชาติ ‘แง้มประตู’ ปรับลดระดับการควบคุมให้ประเทศสมาชิกสามารถใช้ประโยชน์จากกัญชาในทางการแพทย์เพิ่มขึ้น แต่เนื่องจากการพัฒนาแต่ละสายพันธุ์นั้นต้องใช้เวลาถึง 3 ปี
ขณะที่ประเทศไทยเพิ่งมาจับเรื่องนี้ไม่นาน ดังนั้น ผมจึงคิดว่า ถ้าสัก 5 ปี (ตอนนี้ผ่านไป 2 ปีแล้ว) หลังจากการปลดล็อก การพัฒนาสายพันธุ์กัญชาของบ้านเราน่าจะดีขึ้นเพราะถ้าเทียบสายพันธุ์กัญชาบ้านเรากับต่างประเทศโดยดูจากการให้ผลผลิต เรายังสู้ต่างประเทศที่พัฒนาสายพันธุ์มานานไม่ได้ อีกทั้งค่าแรงในไทยแพง เครื่องมือ อุปกรณ์ก็ยังต้องนำเข้า
ถ้าไม่รอการพัฒนา แล้วทางลัดด้วยการนำเข้าเมล็ดพันธุ์จากต่างประเทศเลยจะเร็วกว่าหรือไม่
จะมีปัญหาตามมาอีกว่า หากนำเข้าเมล็ดพันธุ์มาแล้วจะสามารถปลูกได้จริงหรือเปล่า เพราะโดยธรรมชาติ กัญชงชอบอากาศเย็น ไม่ชอบความชื้น ขณะที่กัญชาชอบอากาศร้อน นอกจากนี้ ในการปลูกกัญชงก็จะต้องได้สาร CBD สูงตามด้วย เมล็ดพันธุ์กัญชงที่นำเข้าเมื่อตอนปลูกในต่างประเทศได้ CBD ถึง 24% แต่ผลจากการวิจัยพบว่าเมื่อนำมาปลูกในประเทศไทย CBD เหลือแค่ 4-5% เท่านั้นเอง ฉะนั้น จึงเป็นไปได้ว่า เรานำเข้าเมล็ดพันธุ์มาปลูกในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมกับธรรมชาติของกัญชงที่นำเข้าหรือเปล่า
เช่น ปัจจัยทางด้านอุณหภูมิและความชื้น แล้วจะมีการควบคุมอย่างไร เพื่อมิให้การปลูกกัญชงแล้วกลายเป็นกัญชา คือ มีปริมาณของ THC เพิ่มขึ้นจนเกินกำหนดของกฎหมาย
เนื่องจาก กัญชาเป็นพืชควบคุม และเป็นพืชที่มีการกระทำอย่างผิดกฎหมายมาก ขนาดยังไม่ได้ปล่อยเสรี ก็มีปลูกกันมากมายแล้วทุกวันนี้ ในแปลงกัญชงของเกษตรกรก็มีกัญชาแฝงอยู่ด้วยเต็มไปหมดแล้วแยกแยะยาก เพราะหน้าตาเหมือนกันเปี๊ยบ แต่ต่างกันที่สารสำคัญ เวลาใครถาม เกษตรกรก็จะบอกว่า ‘กัญชง’ แต่จริงๆ ก็มีแฝงๆ กันไปในแปลงนั่นแหละ นี่จึงทำให้ประเทศไทยต้องออกกฎหมายล็อก ทั้งกัญชงและกัญชา เพราะเหมือนกันมากจริงๆ แม้แต่เจ้าหน้าที่ก็แยกไม่ออก
ดังนั้น เมื่อมีการอนุญาตได้ตามกฎหมายก็มีการมองหาเมล็ดพันธุ์กัญชง ซึ่ง มูลนิธิโครงการหลวงและสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) หรือ สวพส. ได้รวบรวมพันธุ์กัญชงตั้งแต่ปี 2547 และเริ่มคัดเลือกพันธุ์ให้มีปริมาณสารเสพติด THC ต่ำ โดยใช้วิธีการคัดเลือกรวม (Mass Selection) และในปี 2554 ได้ขึ้นทะเบียนพันธุ์กัญชงต่อกรมวิชาการเกษตร 4 สายพันธุ์ คือ RPF1, RPF2, RPF3 และ RPF4 (Royal Project Foundation 1, 2, 3, 4) มีสาร THC ต่ำกว่า 0.3% (0.072- 0.270%) และมีปริมาณ CBD เฉลี่ย 0.824% (0.594 - 1.100 %) และมีเปอร์เซ็นต์เส้นใยเฉลี่ย 13.9 % (12.9 – 14.7 %) สามารถเจริญเติบโตและในพื้นที่สูงที่มีแตกต่างกัน แต่ที่ต้องรู้คือ ทั้ง RPF1, RPF2, RPF3 และ RPF4 ได้พัฒนาในส่วนของการใช้งาน เพื่อใช้เส้นใยทั้งหมด
โดยไม่ได้พัฒนาเพื่อสกัดเป็นน้ำมัน อย่างไรก็ตาม เราก็พบว่า RPF3 มีน้ำมันสูงสุดถึง 17% จากการทดสอบของภาคเอกชน ดังนั้น เมื่อมีสายพันธุ์เท่านี้ การตั้งเป้าจะเป็นพืชเศรษฐกิจจึงต้องอนุญาตให้มีการนำเข้าเมล็ดพันธุ์กัญชงเข้ามาในประเทศไทยก่อน แต่ก็จะมีปัญหาเรื่องสภาพแวดล้อม ภูมิอากาศและอื่นๆ ที่จะทำให้เราไม่ได้ผลผลิตตามที่คาดหวัง
แล้วเมื่อไรประเทศไทยจะมีสายพันธุ์ระดับ ‘ดาวรุ่ง’ ที่จะสู้กับตลาดต่างประเทศได้หรือไม่
ประเทศไทยมีสายพันธุ์กัญชาระดับดาวรุ่ง ติดอันดับ TOP 5 ที่ฝรั่งชื่นชอบมากคือ ‘พันธุ์หางกระรอก’ และสายพันธุ์กัญชาในไทยก็มี ‘หางกระรอก’ ผสมอยู่ เพียงแต่จะมีกี่เปอร์เซ็นต์เท่านั้น คือ ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่าย คือ เรามีสายพันธุ์กัญชาหางกระรอกแบบ
พันธุ์แท้กับพันธุ์ทาง เช่น ถ้ามีหางกระรอกสัก 70% ก็จะมีสาร THC มาก อย่างไรก็ตาม ถ้ามีการศึกษาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็จะพบว่า ทุกสายพันธุ์กัญชาที่มีกัน 30 กว่าแหล่งทั่วประเทศนั้นเป็น ‘เครือญาติ’ กันสักเท่าไร ซึ่งตรงนี้ก็ต้องให้เวลากับนักวิชาการด้วย
แต่ประเด็นก็มีเรื่องน่าเสียดายที่ก่อนหน้านี้มีการลักลอบนำเอาเมล็ดพันธุ์กัญชาของไทยออกไปต่างประเทศด้วย อาจจะโดยพกติดตัวไป หรือใส่ซองส่งทางไปรษณีย์ เนื่องจากเมล็ดมีขนาดเล็กมากทำให้การลักลอบนำออกทำได้ง่ายมาก ทำให้กัญชาสายพันธุ์ ‘หางกระรอก’ ของไทยเข้าไปในตลาดโลก และมีการจดสิทธิบัตรในต่างประเทศหลายประเทศแล้ว เนื่องจากฝรั่งได้เมล็ดพันธุ์ไปก็จดสิทธิบัตรก่อน โดยที่ประเทศไทยไม่ทันได้จดสิทธิบัตรไว้
อาจารย์มองว่า ปัญหาและความท้าทายของตลาดนี้อยู่ที่ไหน
ในฟากของเกษตรกร นอกจากการตัดสินใจว่า จะเลือกปลูกพืชแบบใดระหว่างกัญชาและกัญชง ซึ่งหากสนใจปลูกกัญชาก็ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมโดยกระทรวงสาธารณสุข เพราะกัญชาเป็นพืชควบคุม ต้องมี ‘ผู้รับผิดชอบ’ และเป็นพืชที่ต้องใช้กันในทางการแพทย์ฉะนั้น หากเกษตรกรอยากจะปลูกก็ไม่สามารถปลูกเองได้ แต่ต้องปลูกร่วมกับหน่วยงานของรัฐ และต้องรวมตัวกันเป็นวิสาหกิจชุมชน
ปัจจุบันก็มีวิสาหกิจชุมชนขอเข้ามาหลายร้อยแห่ง เกือบถึงหลักพันแห่งอยู่แล้ว แต่ที่ได้รับอนุญาตให้ปลูกจริงก็มีเพียง 200 กว่าแห่งเท่านั้นและอนุญาตให้ปลูกได้ 50 ต้น เพื่อประโยชน์ในทางการแพทย์เท่านั้น ส่วนอื่นๆ ที่ไม่ผิดกฎหมายก็สามารถนำไปใช้อย่างอื่นได้ เช่น ใส่อาหารและเครื่องดื่ม เป็นต้น
แต่ในทางปฏิบัติ เกษตรกรยังขาดความรู้เชิงวิชาการโดยทั่วไปชาวบ้านมักจะใช้ปุ๋ยขี้ไก่ปลูก ทำให้ผลผลิตที่ได้มีการปนเปื้อน
สารโลหะหนักและใช้ในทางการแพทย์ไม่ได้ ซึ่งปัญหาทำนองนี้ก็เกิดกับการปลูกกัญชงและกัญชาในประเทศเพื่อนบ้านเราด้วย และถูกยุโรปปฏิเสธการนำเข้า เนื่องจากมีสารโลหะหนักปนเปื้อน ดังนั้น เพื่อให้ได้ต้นกัญชาแห้งที่มีคุณภาพเกรดทางการแพทย์
มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ในฐานะหน่วยงานต้นน้ำจึงปลูกภายใต้สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เป็นไปตามแนวทางของหลักเกณฑ์มาตรฐานการปฏิบัติด้านเกษตรอินทรีย์หรือ IFOAM, USDA Organic Standard ซึ่งเป็นระบบเกษตรอินทรีย์ตามมาตรฐานสากลในระดับโลกและด้วยกัญชายังมีสถานะเป็นยาเสพติด มาตรการรักษาความปลอดภัยจึงจำเป็นต้องดำเนินการตามแนวทางของหลักเกณฑ์มาตรฐานการปฏิบัติด้านความปลอดภัยที่ดี หรือ GSP ใช้ระบบความปลอดภัยตามแบบมาตรฐานของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.), สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด(ป.ป.ส.) และองค์การเภสัชกรรม (อภ.) ที่ควบคุมการผลิตในบริเวณที่ควบคุมอย่างเข้มงวด
นอกจากนี้ ก็เป็นความท้าทายในส่วนของกระบวนการกลางน้ำ ซึ่งขึ้นกับความสามารถในการเปลี่ยนสารสำคัญที่มีอยู่ในกัญชา ไม่ว่าจะเป็น THC, CBD, สารเทอร์พีน (Terpene) ซึ่งเป็นสารที่ให้กลิ่นเฉพาะเป็นน้ำมันหอมระเหยสกัดที่มีในกัญชา/กัญชง ทำให้มีสีสันที่หลากหลายในเรื่องของกลิ่นและรสชาติที่โดดเด่น
อีกทั้งยังสามารถส่งเสริมให้กัญชา/กัญชงออกฤทธิ์มีผลช่วยบำบัดรักษาโรคต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด ฯลฯ เนื่องจากที่จริงแล้ว สารสำคัญในกัญชานี้มีเกือบ 500 ชนิด เพียงแต่ที่ผ่านมา เราไปโฟกัสที่สารที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท เช่น มีคุณสมบัติทำให้เจริญอาหาร หลับดี มีคุณสมบัติในทางยา
ความท้าทายอีกประการจากการขอใบอนุญาตปลูก ตลอดจนการขอใบอนุญาตสกัดและการขอใบอนุญาตเพื่อการแปรรูป ในทางปฏิบัตินั้นการที่ อย. ทำหน้าที่ออกใบอนุญาตให้ธุรกิจสกัดและธุรกิจแปรรูปนั้นจะทำให้ทราบถึงจำนวนโควตาความต้องการของตลาดด้วยขณะเดียวกัน เกษตรกรที่จะปลูกก็ต้องมาเข้ามาในเครือข่ายของหน่วยงานหรือโรงสกัด เพื่อเจรจากันถึงความต้องการของผู้รับซื้อว่า ต้องการน้ำมันที่มีสาร THC สัดส่วนเท่าใด เนื่องจากหากมีสาร THC เกินกว่ากม.กำหนดก็จะผิดกฎหมาย ถูกจับกุม ถูกยึดสินค้าอีก
ฉะนั้น จึงเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังในส่วนของธุรกิจ และทำให้ได้ตามมาตรฐานที่กฎหมายกำหนด ซึ่งเกษตรกรก็ต้องเข้าให้ถึงและมีความรู้ ไม่ใช่ไม่รู้ว่า พืชที่ตัวเองปลูกนั้นเป็นกัญชงหรือกัญชา - อย่างนี้ไม่ได้ ซึ่งจะทำให้โรงสกัดก็ไม่อยากเสี่ยงรับซื้อ เพราะอาจทำให้น้ำมันที่ได้มี THC เกินกำหนดก็จะผิดกฎหมายอีก หรือเมื่อต้องเข้าโรงงานแปรรูป โรงงานก็จะไม่อยากรับซื้อเช่นกัน เพราะเมื่อได้สารสกัดออกมาแล้วก็ต้องไปขายให้กับธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม หรือโรงงานแปรรูปอื่นๆ หากมี THC เกินกำหนด สินค้าทั้งล็อตก็จะถูกปฏิเสธอีก หนำซ้ำผิดกฎหมาย ถูกจับ ถูกยึดใบอนุญาตการผลิตอีก
ขณะเดียวกันการควบคุมด้วยโควตานี้ ก็เท่ากับเป็นการควบคุมอุปสงค์อุปทานโดยอัตโนมัติ โดยจะไม่ทำให้ราคากัญชงและกัญชาตกต่ำ อย่างที่เกิดขึ้นมากับพืชเศรษฐกิจอย่างข้าวโพด ยางพารา หรือมันสำปะหลัง จนรัฐต้องเข้ามาพยุงราคา, อุดหนุนหรือใช้มาตรการเยียวยา ซึ่งประเด็นของกัญชงและกัญชาจะมีความอ่อนไหวมากกว่าพืชเศรษฐกิจปกติ หากทำให้รัฐต้องเข้ามาแทรกแซงหรือเยียวยา เนื่องจากกัญชงและกัญชาเป็นพืชที่มีสารเสพติด
ในส่วนของโรงงานสกัดเมื่อได้โควตามา เช่น 5 หมื่นลิตรก็ต้องมาดูว่า การจะได้น้ำมัน 5 หมื่นลิตรนั้นจะต้องใช้พื้นที่กี่ไร่ ปลูกพันธุ์อะไร ต้องรับซื้อราคาเท่าไร ปลูกครบกำหนดตามโควตาหรือยัง ฯลฯ เพราะถ้าปลูกเกินโควตาก็จะทำให้ราคาตก ดังนั้นโรงงานสกัดจึงต้องมีส่วนช่วยรัฐควบคุมอุปสงค์ - อุปทานในตลาด โดยการประสานงานและเจรจากับ อย. เนื่องจากเป็นส่วนที่กระทบกับธุรกิจของตนเองด้วย เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีการผลิตเพื่อสกัดในเชิงพาณิชย์ เนื่องจากภาคเอกชนรอกฎระเบียบที่ต้องปฏิบัติจากภาครัฐปัญหาคือ มากไปก็ไม่ได้ น้อยไปก็ไม่ดี ทำนองนี้หรือเปล่า
ใช่ ตลาดนี้เป็นเรื่องของดีมานด์ ซัพพลาย ซึ่งประเทศไทยไม่เก่งเรื่องนี้ คือ เราไม่มีองค์กรที่ทำหน้าที่ควบคุมว่า การปลูกพืชประเภทนี้จะปลูกได้เต็มที่เท่านี้ๆ หรือถ้าปีหน้าอยากจะขยายก็ขยายได้ แต่เมื่อขยายจนเต็มเพดานสูงสุดแล้วก็ต้องให้มันหยุดอยู่แค่นั้น แต่ประเทศไทยไม่มีตรงนี้ ใครอยากปลูกมัน ปลูกข้าวโพด ยางพารา ฯลฯก็ปลูกไป ไม่มีใครมาควบคุมได้ ทั้งที่จริงๆ แล้วเรื่องแบบนี้ควรเป็นบทบาทของทุกกระทรวงที่ควรมาร่วมมือกัน ขณะที่ต่างประเทศก็จะเป็นบทบาทของสมาคมผู้ปลูกอะไรสักอย่างมาทำหน้าที่ควบคุมสมาชิกกันเอง แต่ของประเทศไทยภาครัฐไม่ได้ให้สิทธิ์กับสมาคมเหล่านี้เพื่อทำหน้าที่ควบคุมกันเอง ถ้าหากมีการให้สิทธิ์ให้สามารถควบคุมกันเองได้ ผมก็เชื่อว่า สมาคมเหล่านี้จะควบคุมผลผลิตตนเองได้อย่างเข้มแข็ง
เป็นไปได้หรือไม่ว่า ธุรกิจภาคเอกชนอาจไม่ไว้วางใจกับระบบ Contract Farming จึงต้อง Backward ไปปลูกเอง
จริงๆ สิ่งที่ดีที่สุดคือ การทำไร่กัญชาของตนเอง
แต่สิ่งที่ยากที่สุดคือ จะได้รับใบอนุญาตหรือเปล่า
ส่วนโรงงานสกัด ถ้าได้รับใบอนุญาตก็สามารถมีได้
นอกจากนี้ ความเสี่ยงในการทำการเกษตรของประเทศไทยก็มีมากอยู่เช่นกัน เช่น ปลูกกัญชา 100 ไร่ก็อาจจะต้องเผชิญกับสภาพภูมิอากาศ ฝนฟ้าน้ำท่วม โรคแมลง หรือพายุเข้าต้นกัญชาล้มหมด หรือปลูกมาแล้วไม่ได้ค่าของสารสกัดตามที่คาดหวัง ซึ่งอาจจะเป็นเพราะค่าของธาตุอาหารในพืช หรือปัญหาอากาศร้อนจัด ซึ่งจะมีผลกระทบกับพืชโดยตรงทำให้ชะงักการเจริญเติบโต
ดังนั้น ธุรกิจต่างๆ เหล่านี้จึงมักจะกระจายความเสี่ยงไปที่เกษตรกร ทำให้เป็นการลดความเสี่ยงของผู้ลงทุน และใช้วิธีจับมือกับวิสาหกิจชุมชนและโรงสกัดให้มาส่งของที่ตนเอง มิฉะนั้น ของที่ผลิตได้ไปไหนเช็กไม่ได้ก็ผิดกฎหมาย
จากปัจจัยเหล่านี้ บริษัทต่างๆ จะสามารถออกสินค้าได้ตามแผนที่ตั้งเป้าไว้หลังกลางปีหรือ
เป็นอีกหนึ่งความท้าทายเช่นกัน เนื่องจากขณะนี้ กองอาหาร อย.กำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณากันถึงสัดส่วนการใช้กัญชงในอาหารและเครื่องดื่มได้ในปริมาณเท่าใด บริโภคแค่ไหนถึงเมา บริโภคแค่ไหนถึงจะขับรถแล้วไม่หลับ ฯลฯ .ซึ่งข้อกำหนดต่างเหล่านี้เราไม่สามารถอาศัยทางลัดอ้างอิงข้อมูลจากฝรั่งมาใช้ได้ เพราะน้ำหนักตัวขนาดตัวของคนไทยกับฝรั่งไม่เหมือนกัน อาหารการกินของไทยกับฝรั่งก็ต่างกัน นอกจากนี้ สภาพอากาศก็ไม่เหมือนกัน ดังนั้น การออกฤทธิ์ของสารสำคัญ แต่ละตัวในกัญชงและกัญชาจึงไม่เหมือนกันไปด้วย แต่อย่างไรก็ตามก็จำเป็นที่จะต้องมีการกำหนดถึงปริมาณและเพดานสูงสุดการใส่ส่วนผสมของสารสำคัญของ THC ตรงนี้ ก็มีประเด็นอีกเช่นกันว่า ใส่มากก็ไม่ได้ ใส่น้อยก็กลายเป็นการหลอกลวงผู้บริโภค ซึ่งการกำหนด Magic Number ตรงนี้ก็เพื่อใช้ในกระบวนการผลิตและแปรรูป
อีกทั้งเพื่อบอกกับผู้บริโภค อย่างเช่น เครื่องดื่มบำรุงกำลังที่ระบุว่า สตรีมีครรภ์ไม่ควรดื่ม และไม่ควรดื่มเกินวันละสองขวด เป็นต้น ฉะนั้น ประเทศไทยจึงต้องทำการศึกษาและวิจัยในส่วนนี้เอง แต่ทั้งนี้ ต้องเข้าใจว่า ประเทศไทยก็เพิ่งเข้ามาจับเรื่องนี้สัก 2 ปีเอง ขณะที่ประเทศอื่นๆ ทำมาเป็นสิบปีแล้ว
ฉะนั้น เราก็คงต้องมีกระบวนการลองผิดลองถูก (Trial & Error)ไปก่อน ถ้าหากกินแล้วไม่ดีหรือมีประเด็นก็ค่อยๆ สั่งลด สูตรก็จะค่อยๆปรับเปลี่ยน เพื่อหาว่าปริมาณสูงสุดของการใส่กัญชาควรเป็นเท่าไร และขีดจำกัดสูงสุดอยู่ที่ไหน เด็กที่สามารถดื่มได้ควรมีอายุเท่าไร เนื่องจากเด็กยุคนี้เห็นอะไรแปลกๆ ก็อยากลอง จ่ายเงินง่าย ไม่คิดมาก และขอซื้อเพื่อให้ได้ลองก่อน
การใช้กัญชาลงในเครื่องดื่มแล้วทำให้มีปัญหาเรื่องกลิ่นเพี้ยนหรือไม่
มีอย่างในกาแฟ ปกติคนดื่มกาแฟจะต้องการกลิ่นหอมของกาแฟด้วย ดังนั้นจึงต้องมีการศึกษาว่า ต้องใส่เป็นปริมาณเท่าใด กลิ่นกาแฟจึงจะไม่หายไป แล้วใส่มากไปก็ไม่ดีใส่น้อยไปก็เท่ากับหลอกลวงผู้บริโภค ฉะนั้น ก็ต้องมีการทดสอบทางยาและทางการแพทย์ทั้งหมด
ทำไมราคากัญชาของแม่โจ้ถูกกว่าท้องตลาดถึงสิบเท่า
เป็นนโยบายของทางมหาวิทยาลัยที่ต้องการให้ผู้คนเข้าถึงกัญชาได้ ขณะที่ราคาตลาดขายกันถึงหลักหมื่นบาทแล้ว แต่สำหรับแม่โจ้เราขายใบสดกิโลละ 1,000 บาทก็พอแล้ว เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงได้จริงๆ สำหรับใบสดจะมีประมาณ 600-1,000 ใบ/กิโลกรัมแล้วแต่ขนาดของใบ แต่ก็มีกรณีของคนป่วยที่ซื้อ เพื่อใช้รักษาอาการป่วย อย่างถ้ามีเงินน้อย 50 บาทก็ซื้อได้ครึ่งขีด หรือ 100 บาทก็สำหรับหนึ่งขีด อย่างลูกค้าบางคนดั้นด้นเข้าที่สถาบันบอก “ผมเป็นมะเร็ง” พูดเท่านี้ก็ไม่ต้องมีคิว ต้องเข้าใจว่า คนป่วยด้วยโรคนี้ปกติก็เครียดมากอยู่แล้ว เราก็ขายเลยหนึ่งขีด 100 บาท ได้ 60 ใบ และในการใช้งานก็หนึ่งใบหรือครึ่งใบเท่านั้น โดยอาจจะทำเป็นเครื่องดื่มได้หนึ่งเดือนเก็บแช่ตู้เย็นไว้ อย่างน้อยกัญชาของเราก็จะช่วยในแง่จิตใจของคนป่วยที่ไม่มีความหวัง ไม่มีที่ไปแล้ว และในการซื้อจากเรา แม่โจ้จะออกเอกสารการซื้อขายให้กับผู้ซื้อด้วย เผื่อว่าถูกตำรวจตรวจก็สามารถแสดงให้เห็นได้ว่า เป็นการซื้อมาอย่างถูกกฎหมาย
จริงๆ อยากให้ฟรีเลยด้วยซ้ำ แต่เนื่องจากเป็นทรัพย์สินของทางมหาวิทยาลัยจึงให้ฟรีไม่ได้ แต่อย่างน้อย เราก็ได้ช่วยให้คนป่วยมีความหวัง กินอิ่ม นอนหลับ ซึ่งก็น่าจะช่วยให้ร่างกายกายฟื้นฟูขึ้น แต่ไม่ได้บอกว่า จะรักษาแล้วหาย ผมคิดว่า เราช่วยกันไปช่วยกันมาแบบนี้ สังคมจะอยู่ด้วยกันได้ เพราะถ้าคนกลุ่มนี้มีเงินคงมาไม่ถึงแม่โจ้คงหาซื้อตามอินเทอร์เน็ตไปแล้ว
ถึงตอนนี้ เปิดเสรีเพื่อสานฝันสู่ โปรดักท์ แชมเปี้ยน เป็น New S-Curve ให้กับระบบเศรษฐกิจไทยได้หรือยัง
หากจะถามว่าเปิดเสรีจะได้หรือไม่ - ผมก็ตอบตอนนี้ได้เลยว่า ล้นตลาดแน่นอน แล้วราคาก็คงไม่ต่างกับข้าวโพด และในอนาคตก็คงไม่ใช่พืชเศรษฐกิจอีกต่อไป แล้วอย่าลืมว่า กัญชงและกัญชา นั้นประเทศเพื่อนบ้านเรารอบๆ ปลูกกันหมดทุกประเทศ ทั้งเมียนมา ลาว กัมพูชา เวียดนาม นอกจากนี้ ก็เป็นจีน ซึ่งปลูกกัญชงส่วนใหญ่ เนื่องจากมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด ขณะเดียวกัน ทางโลกตะวันตกก็มีประเทศสำคัญๆ อย่างสหรัฐอเมริกา แคนาดาที่พัฒนาในส่วนตลาดของกัญชงและกัญชามาก่อนประเทศไทย ซึ่งตรงนี้ยังถือว่าเป็นโชคดีที่เรามีการห้ามนำเข้าและห้ามจดทะเบียนจึงทำให้ไม่ทะลักเข้ามา
นอกจากนี้ สายพันธุ์กัญชงที่นำเข้ามาก็มีตั้งแต่ 5, 10, 30 เหรียญสหรัฐ ซึ่งคนไทยก็มักจะมีความเชื่อว่า ของนอกย่อมดีกว่าของไทยแต่การนำเข้าเมล็ดพันธุ์นั้นไม่ได้ผลผลิตตามที่คิด ซ้ำเกษตรกรบางคนยังต้องใช้วิธีซื้อหลอดไฟหลอดละเป็นหมื่น เพื่อให้มีแสงสว่างนานขึ้น 15 ชั่วโมงสำหรับแปลงกัญชง นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเบ็ดเตล็ดอีก ต้องซื้อปุ๋ย, ฮอร์โมนและโรงเรือนจากผู้ค้าเมล็ดพันธุ์ ฉะนั้น คำถามคือแล้วใครจะได้ประโยชน์ เพราะสำหรับประเทศไทยถ้าไม่มีการพัฒนาเทคโนโลยีในส่วนนี้ เราก็จะต้องใช้เทคโนโลยีของฝรั่งทั้งหมด
แล้วเมล็ดพันธุ์ที่ได้ เราไม่สามารถขยายพันธุ์ต่อได้เลย อาจเป็นเพราะเขาเป็นเจ้าของสิทธิบัตรและผลิตเมล็ดพันธุ์เพื่อใช้สำหรับการเพาะปลูกแค่ครั้งเดียว และสาเหตุหนึ่งในนั้นคือ เมล็ดพันธุ์ที่ได้มานั้นอาจเป็นการตัดแต่งพันธุกรรม (GMO) และปัจจุบันเทคโนโลยี GMO ใช้เอนไซม์ตัดต่อ ฉะนั้น จะไม่มีรอยแผลเลยทำให้ตรวจสอบย้อนกลับได้ยากมาก
รัฐคุมกำเนิดจำนวนการก่อตั้งโรงสกัดด้วยหรือเปล่า
รัฐควบคุมโรงงานสกัดตามปริมาณตลาดว่า แต่ละรายจะใช้ปริมาณเท่าใด ช่วงแรกอาจจะอนุญาตให้มีจำนวนน้อย เมื่อไม่เพียงพอค่อยๆ อนุญาตให้เปิดเพิ่มได้ เพราะสินค้าไม่ใช่จะบูมได้ภายในวันเดียวแต่ตลาดจะค่อยๆ เติบโตขึ้น
จะมีวันที่เห็นการส่งออกกัญชงและกัญชาในตลาดต่างประเทศหรือไม่
ยังมีโอกาส โดยเฉพาะในส่วนของ CBD แต่ที่สำคัญคือ ราคาต้องแข่งขันได้ แต่ปัญหาคือ ต้นทุนของประเทศไทยแพงทำให้ราคายังแข่งขันไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตาม ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับกัญชงและกัญชาคือ การทำเป็นสินค้าแปรรูป หรือเป็นสินค้ามูลค่าเพิ่ม(Value Added Product) อย่างการส่งมันสำปะหลังไปยุโรปก็แค่เป็นอาหารสัตว์ เราส่งเนื้อสัตว์ไปยุโรปไม่ดีกว่า หรือ เพราะสำหรับงานในเชิงวิจัยแล้ว ประเทศไทยเรามีนักวิชาการที่เก่งๆ มากมายและให้เวลาสักนิด เชื่อว่า ประเทศไทยสามารถเป็นผู้นำด้านกัญชงและกัญชาได้