ศุภจี สุธรรมพันธุ์ กับแผน 9 ปีดุสิตธานี เตรียม “ปลดล็อคมูลค่า” พร้อมเข้าสู่ช่วงเก็บเกี่ยว
13 Aug 2025

 

ถือเป็นประเด็นร้อนในแวดวงธุรกิจโรงแรม สำหรับกรณีของ ‘กลุ่มดุสิตธานี’ เมื่อ บจก.ชนัตถ์และลูก ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 (ถือครองหุ้นในสัดส่วน 49.74%) ของ บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) ไม่อนุมัติงบการเงินประจำปี 2567 ในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 32/2568 เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2568 จนทำให้ต้องเลื่อนการประชุมผู้ถือหุ้นออกไปเป็นวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ท่ามกลางกระแสข่าวที่ถูกตีความไปหลายแง่มุม ทั้งประเด็นเรื่องความขัดแย้ง และผลพวงที่อาจทำให้หุ้นของ บมจ.ดุสิตธานี ติด ‘SP’ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าได้สร้างความกังวลใจให้กับผู้เกี่ยวข้องไม่น้อยเลยทีเดียว
 

ในช่วงที่ผ่านมาเราจึงเห็น ศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) ออกมาชี้แจงถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง และลดความกังวลของทุกฝ่าย อย่างต่อเนื่อง กระทั่งล่าสุด ดูเหมือนสถานการณ์ต่างๆ จะเริ่มคลี่คลาย หลังผ่านการประชุมในวันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา
 

“ตั้งแต่วันที่ 25 เมษายน 2568 ในวาระการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปีของดุสิตธานีที่มีข่าวคราวออกมา และถูกตีความไปมากมายถึงเรื่องการไม่อนุมัติงบการเงิน จนถึงวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ทุกอย่างคลี่คลาย สิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นก็เกิดไปแล้ว ตอนนี้ไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องกังวลเพราะทุกอย่างปลดล็อกไปเรียบร้อย และสิ่งดีๆ กำลังรอเราอยู่ข้างหน้า” ศุภจี เรียกความเชื่อมั่น


 

 

ศุภจี สุธรรมพันธุ์ ถือเป็นผู้บริหารมืออาชีพที่อยู่ในแวดวงธุรกิจมานาน เคยทำงานกับบริษัทไอทียักษ์ใหญ่อย่าง ไอบีเอ็ม มานานกว่า 20 ปี และยังเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ขององค์กรด้วยวัยเพียง 38 ปี ก่อนที่จะย้ายไปดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทยคม ในปี พ.ศ. 2554 โดยสามารถ turn around ไทยคมที่เคยขาดทุนมหาศาลให้กลับมาทำกำไรสุทธิรวมได้เป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี 

ศุภจี เข้ามาอยู่ในรั้วของ บมจ.ดุสิตธานี ตั้งแต่ปี 2558 ในฐานะกรรมการบริษัท ก่อนจะได้รับการแต่งตั้งให้นั่งในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มดุสิตธานี ในปี 2559 พร้อมกับแผนสร้างการเติบโตให้กับกลุ่มดุสิตธานี ด้วยแผนกลยุทธ์ 9 ปี

 

“ปี 2559 ที่เข้ามาเป็นซีอีโอ กลุ่มดุสิตธานีมีธุรกิจหลักอยู่ 2 กลุ่ม คือ ธุรกิจโรงแรม และธุรกิจการศึกษา โดยมีโรงแรมที่ดูแลและบริหารอยู่ 27 แห่งใน 8 ประเทศ ดุสิตธานีเป็นเจ้าของเอง 10 โรงแรม ส่วนโรงแรมอื่นเป็นการรับบริหาร รายได้หลักของกลุ่มมาจากธุรกิจโรงแรมมากกว่า 90% และอีกไม่ถึง 10% มาจากธุรกิจการศึกษา

ซึ่งมีวิทยาลัยดุสิตธานีการโรงแรมเป็นหลัก การพึ่งพิงรายได้ทางใดทางหนึ่งมากเกินไปนั้นสุ่มเสี่ยงในการที่จะเดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง เราต้องมีการวางแผนระยะยาว ซึ่งเป็นที่มาของการวางกลยุทธ์ 9 ปี”


 

 

 

 

สำหรับแผนกลยุทธ์ 9 ปี (2559-2568) ของกลุ่มดุสิตธานีที่ศุภจีวางไว้นั้น แบ่งออกเป็น 3 ช่วงๆ ละ 3 ปี ได้แก่ 

ช่วงที่ 1 วางรากฐานที่แข็งแกร่ง (2559-2561) ทำการปรับโครงสร้างองค์กร ปรับภาพลักษณ์เสริมศักยภาพบุคลากร พัฒนาเทคโนโลยี สร้างแบรนด์ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าใหม่ เพื่อสร้างรากฐานที่แข็งแรงเตรียมพร้อมสำหรับการเติบโต ซึ่งถือเป็นช่วง 3 ปีแรกของศุภจีในการเข้ามาบริหารงานกลุ่มดุสิตธานี 

 

“โรงแรมที่กลุ่มดุสิตฯ เป็นเจ้าของ ณ ตอนนั้นก็มีอายุเยอะแล้ว โรงแรมที่เด็กสุดของเราคือ ดุสิตธานีมัลดีฟส์ ที่มีอายุประมาณ 6 - 7 ปี แต่ที่เหลืออายุโรงแรม 20 - 40 ปีขึ้นทั้งนั้น โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ เกือบจะ 50 ปี ซึ่งกลุ่มโรงแรมคือเครื่องยนต์หลักในการสร้างรายได้ ณ ตอนนั้น เขาคือคนที่ Contribute รายได้มากกว่า 90% ของบริษัท ถ้าจะสร้างการเติบโตต้องปรับสภาพโรงแรมให้ดูดี สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้

ดังนั้นเราถึงต้องใช้เวลาในช่วง 3 ปีแรกในการปรับฐานปรับพร็อพเพอร์ตี้ ปรับตัวโรงแรมของเราที่มีอายุให้อยู่ในสภาพที่สามารถให้บริการได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย”


 

 

ช่วงที่ 2 Take Off (2562-2565) เป็นช่วงขยายการเติบโตและการลงทุน มีการขยายธุรกิจโรงแรมไปยังตลาดใหม่ๆ เพิ่มจำนวนห้องพักทั่วโลกเป็น 2 เท่า ขยายธุรกิจการศึกษาและสร้างกลุ่มธุรกิจใหม่อย่างธุรกิจอาหารและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ด้วยการจัดตั้ง บริษัท ดุสิต ฟู้ดส์ จำกัด

ปิดโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ ชั่วคราวเพื่อพัฒนาโครงการ ‘ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค’ โครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบ Mixed-Use ที่มีมูลค่ากว่า 46,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงที่กลุ่มดุสิตธานี ต้องรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้บริษัทฯ ต้องปรับกลยุทธ์ โดยเน้นการสำรองเงินเพื่อให้มีกระแสเงินสดที่เพียงพอ ด้วยการตัดสินใจขายทรัพย์สินบางส่วนออกไปเพื่อปรับโมเดลทางการเงินใหม่ พร้อมสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ ด้วยวัตถุประสงค์หลักในการรักษาองค์กรให้เดินต่อไปได้ และโครงการสำคัญยังคงเดินหน้าโดยไม่สะดุด


“เราปิดโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ วันที่ 5 มกราคม 2562 ตอนนั้นยังไม่มีวี่แววของโควิด ทุกอย่างกำลังเป็นไปในทิศทางที่ควรจะเป็น พอปี 2563 โควิดเขามาแล้ว และไม่ได้มาแป๊บเดียว เขาอยู่กับเรา 3 ปี ทำให้ต้องมีการปรับกลยุทธ์ ทั้งการปรับโครงสร้างองค์กร ปรับลดต้นทุนคงที่บางส่วนออกไป

และกลับมาดูว่า อะไรที่เราเป็นเจ้าของแล้วมันไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้ดุสิตฯ ยืนในระยะยาวได้ ต้องขายออก เพื่อมีเงินมาช่วยในภาวะวิกฤติ อะไรที่ต้องมีอยู่ ก็ต้องมี

ฉะนั้นสิ่งที่เราพยายามจะทำมันก็ดีเลย์ออกไปประมาณหนึ่งปี แม้เส้นทางจะเปลี่ยน แต่จุดหมายเรายังเหมือนเดิม คือสร้างการเติบโตให้กับกลุ่มดุสิตธานีอย่างยั่งยืน”


 

 

ช่วงที่ 3 Unlock Value (2566-2568) ถือเป็นช่วงแห่งการเก็บเกี่ยวการเติบโต จากการที่กลุ่มดุสิตธานีลงทุนไปก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นการขยายโรงแรม จากที่เคยมีโรงแรม 27 แห่งใน 8 ประเทศ ปัจจุบัน ณ ไตรมาสแรกปี 2568 กลุ่มดุสิตธานีมีโรงแรมและวิลล่าภายใต้การบริหารจัดการรวม 294 แห่ง ใน 19 ประเทศ จำนวนห้องพักรวม 12,909 ห้อง เป็นโรงแรม 55 แห่งและวิลล่าหรู 239 แห่ง โดยกลุ่มดุสิตธานีเป็นเจ้าของเองอยู่ 10 โรงแรม โดยในปี 2568 จะรับรู้รายได้จากโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ เต็มปี หลังจากเปิดให้บริการเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2567

นอกจากนี้ กลุ่มดุสิตธานียังขยายการลงทุนในธุรกิจอาหารผ่าน บริษัท ดุสิต ฟู้ดส์ จำกัด ซึ่งปัจจุบันมีการลงทุนใน บริษัท เอ็บเพอคิวร์ เคเทอริ่ง จำกัด ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มที่ให้บริการกับโรงเรียนนานาชาติในไทย บริษัท เดอะ เคเทอเรอร์ส จอยท์ สต็อก จำกัด (The Caterers Joint Stock) หรือ เดอะ เคเทอเรอร์ส (The Caterers) ผู้ให้บริการด้านการจัดเลี้ยงสำหรับโรงเรียน และงานเลี้ยงรับรองนอกสถานที่ในประเทศเวียดนาม

บริษัท บองชู เบเกอรี่ เอเชีย จำกัด เป็นเจ้าของแฟรนไชส์ขนมเบเกอรี่ ‘บองชู’ (BONJOUR) มีสาขารวมทั้งสิ้น 99 แห่ง ครอบคลุมในไทย จีน และเวียดนาม และมีโรงงานผลิตเบเกอรี่ที่นิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด จังหวัดระยอง และขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนเตรียมนำธุรกิจอาหารเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

 

 

ครึ่งหลังปี 2568 เริ่มทยอยรับรู้รายได้ ธุรกิจเรสซิเดนซ์ที่ขายไปแล้ว 90%

สำหรับช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ซึ่งเป็นช่วงสุดท้ายของแผนกลยุทธ์ 9 ปี ศุภจีมั่นใจว่ากลุ่มดุสิตธานีจะสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งจากธุรกิจโรงแรมที่สถานการณ์การเดินทางกลับเข้าสู่ภาวะปกติและมีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการขยายโรงแรมไปยังจุดหมายปลายทางสำคัญทั่วโลกของกลุ่มดุสิตธานี ที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจ 

ขณะเดียวกัน การขยายเข้าสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ผ่านโครงการที่พักอาศัย ได้แก่ โครงการ Dusit Residences และ Dusit Parkside ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ ‘ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค’ ปัจจุบันมียอดขายอยู่ที่ประมาณ 90% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 16,000 ล้านบาท

โดยมีแผนจะเริ่มทยอยโอนในช่วงปลายปี 2568 และจะมีการโอนอย่างมีนัยสำคัญในปี 2569 จะเป็นปัจจัยที่ทำให้ช่วง Unlock Value ของกลุ่มดุสิตธานีเป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบด้วยการเติบโตอย่างก้าวกระโดดจากรายได้ที่รอการรับรู้ดังกล่าว

 

 

ในปีหน้า หลังการรับรู้รายได้จากการโอนโครงการที่พักอาศัย กลุ่มดุสิตธานีจะสามารถลดภาระหนี้สิน ทำให้ต้นทุนการเงินลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ธุรกิจอาหาร ซึ่งในปี 2567 ที่ผ่านมามีรายได้ 1,470 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 18.6% และธุรกิจการศึกษา ที่มีรายได้ 427 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.8%

ส่วนในปี 2568 คาดว่า อัตราการเติบโตของรายได้รวมจากธุรกิจหลักจะเติบโตประมาณ 20-25% เมื่อเทียบกับปี 2567 โดยเป็นการเติบโตของธุรกิจโรงแรม 20-25% ธุรกิจอาหาร 10-15% ธุรกิจการศึกษา 10-12% และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มากกว่า 100%

 

 

“9 ปีที่ผ่านมา แม้กลุ่มดุสิตธานีจะเผชิญกับปัจจัยท้าทายและความยากลำบาก ทั้งจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ การแพร่ระบาดของโควิด-19 รวมถึงการตัดสินใจยุติการให้บริการโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ แห่งเดิม เพื่อสร้างโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ แห่งใหม่

แต่ตลอดเส้นทางที่เราต้องเผชิญนั้น คณะกรรมการ ฝ่ายบริหาร รวมถึงพนักงานทุกคนของกลุ่มดุสิตธานีได้ร่วมแรงร่วมใจกัน ผลักดันให้แผนกลยุทธ์ 9 ปีที่วางไว้ สามารถเป็นไปตามเป้าหมายได้อย่างน่าพอใจ

เรามั่นใจว่าด้วยเครื่องยนต์ทุกเครื่องของธุรกิจที่เราวางฐานไว้ และค่อยๆ สร้างการเติบโต จะสะสมพลังให้ภาพรวมของกลุ่มดุสิตธานีกลับมาเติบโตและสร้างกำไรได้อย่างยั่งยืนในอนาคตอันใกล้นี้อย่างแน่นอน” ศุภจี กล่าวทิ้งท้าย 

[อ่าน 1,473]
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
“โรงพยาบาลธีรพร” ชูแนวคิด “เกิดสวย อยู่สวย จากสวย” เดินหน้ารุกตลาดศัลยกรรมตกแต่งใบหน้า 76,000 ล้าน
เปิดวิสัยทัศน์ ‘ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร’ พร้อมปั้น BAM ให้เป็น Business Recycling Machine
คุยกับ 2 ผู้บริหารแห่ง “รวยไม่หยุด กรุ๊ป” กับการรุกขยายพอร์ตฯ พร้อมเปิด 8 แบรนด์ใหม่
สรุปความสำเร็จของ ‘แมคโดนัลด์’ ผ่านมุมมองของ ‘คุณกิตติวรรณ อนุเวชสกุล’
ทำความรู้จัก “ปิ่นเพชร โกลบอล” ผู้อยู่เบื้องหลัง “ฮากุ” แบรนด์ทิชชู่เปียกของคนไทย
ดิษทัต ปันยารชุน วางรากฐาน OR เตรียมส่งไม้ต่อให้แข็งแกร่งและยั่งยืน
MAGAZINE UPDATE
Owner
DOUBLE D CREATION Co.,Ltd.
เอเวอร์กรีนวิว ทาวเวอร์ ชั้น 4
เลขที่ 22/43 ซอยบางนา-ตราด 56 ถนนบางนา-ตราด
แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร 10260
Tel : 0-2751-4995-6
Mobile : 062-194-4561
Advertising
ติดต่อโฆษณา และ การตลาด
คุณศุภากร ยาตพงศ์ (บู)
Mobile : 08-1355-3636
Tel : 0-2751-4995-6
E-mail : market-plus@hotmail.com
info@marketplus.in.th
PR News
ส่งข่าวประชาสัมพันธ์
E-mail : info@marketplus.in.th,
market-plus@hotmail.com,
marketplus@hotmail.co.th
Copyright © 2016 DOUBLE D CREATION Co.,Ltd. All rights Reserved