อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับได้รับความท้าทาย และถูกทดสอบอย่างหนักหน่วง นับตั้งแต่การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในปีที่แล้วจนถึงปีนี้ ทว่า ภารกิจในส่วนของการพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับอย่างครบวงจร เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ยังคงเป็นบทบาทที่ สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ หรือ GIT ยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็น 'ลมใต้ปีก' ให้กับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอัญมณี - เครื่องประดับ ทั้งโซ่ คุณค่า (Value Chain)
สุเมธ ประสงค์พงษ์ชัย ผู้อำนวยการ สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ ได้เปิดเผยถึงสถานการณ์และเทรนด์ของตลาด ตลอดจนโครงการและการดำเนินงานต่างๆ เพื่อมุ่งขับเคลื่อนและยกระดับอุตสาหกรรมนี้อย่างต่อเนื่อง ภายใต้ข้อจำกัดของวิกฤติโควิด-19
สถานการณ์อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับของไทยและของโลกในช่วงวิกฤติโควิด-19 เป็นอย่างไรบ้าง
ผลกระทบของโควิด-19 นั้นเราหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในฐานะที่เป็นประเทศผู้ผลิตที่มีมูลค่าตลาดในประเทศรวมการส่งออก ก่อนเกิดโควิด-19 จะสูงถึงหลักล้านล้านบาท แต่เมื่อเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 นับแต่ปีที่แล้วทำให้หลายประเทศทั่วโลกใช้มาตรการล็อคดาวน์ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นการผลิต การค้า การขนส่งต้องหยุดชะงักลง รวมถึงการยกเลิกงานแสดงสินค้าจำนวนมากส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานพลอยสีให้หยุดชะงักลงตามไปด้วย และทำให้ตลาดค้าพลอยสีหดตัวลง อย่างในประเทศไทยที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ ถนนที่มีร้านจิวเวลรี่ใหญ่ๆ ที่รับแต่นักท่องเที่ยวอย่างเดียว บางร้านรับนักท่องเที่ยวปีละล้านคนก็ต้องปิดตัวลงตั้งแต่ช่วงล็อกดาวน์ในไตรมาส 2/2563 และปิดต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้
สำหรับตัวเลขการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของประเทศไทยก็ติดลบไปกว่า40% เพียงแต่ในภาพรวมตัวเลขการส่งออกไม่ลด เพราะได้อานิสงส์จากราคาทองคำช่วงต้นปีที่แล้วที่ขยับจากบาทละ 19,000 เป็นกว่า 30,000บาท ซึ่งเป็นช่วงที่คนเทขายทองคำออกมามาก จะเห็นชัดว่า ตัวเลขจากทองคำโตขึ้นอย่างชัดเจนมาก แต่ถ้าดูตัวเลขของจิวเวลรี่จะเห็นว่ายอดตกมากและกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ กลุ่มพลอยมีค่าทั้งหมด เช่น ทับทิม ไพลิน ฯลฯ ที่ติดลบไปกว่า 60%
แต่การที่หลายประเทศเริ่มได้รับวัคซีนโควิดช่วงต้นปี 2563 ทำให้เศรษฐกิจโลกทยอยเข้าสู่ช่วงฟื้นตัว ตลาดพลอยสีจึงเริ่มปรับตัวในทิศทางดีขึ้น เห็นได้จากยอดส่งออกไตรมาส1/2563 ที่ติดลบในอัตราลดลง โดยตลาดส่งออกที่เติบโตดี ได้แก่ ฝรั่งเศส (168.01%) สวิตเซอร์แลนด์ (10.07%) สิงคโปร์ (38.36%) เบลเยียม (128.01%) และรัสเซีย (211.08%) ที่สำคัญ Future Market Insights (FMI) คาดการณ์ว่า ตลาดพลอยสีของโลกในช่วงปี 2563 – 2573 จะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละ 5.7% ซึ่งมูลค่าตลาดพลอยสีของโลกในปีนี้จะมีมูลค่า 4.3 แสนล้านบาท ขณะเดียวกัน ก็คาดว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคฟื้นตัวและมีความต้องการเครื่องประดับตกแต่งพลอยสีเพิ่มมากขึ้น โดยมีสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดหลักที่มีสัดส่วน 85% ของภูมิภาคนี้ ส่วนตลาดสำคัญในยุโรป ได้แก่ สหราชอาณาจักร ซึ่งมีความต้องการพลอยสีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและน่าจะทำให้ตลาดพลอยสีเติบโตกว่า 8%ในปีนี้เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ขณะที่ความต้องการพลอยสีในเยอรมนีและฝรั่งเศสก็น่าจะเพิ่มขึ้นเช่นกัน ส่วนตลาดเอเชีย จีนจะเป็นตลาดสำคัญที่กลุ่มคนรุ่นใหม่นิยมนำเครื่องประดับพลอยสีมาใช้ในงานแต่งงาน ซึ่งเป็นเทรนด์ที่เกิดขึ้นและขยายตัวอย่างรวดเร็ว
เทรนด์การปรับตัวของผู้ประกอบการช่วงโควิด-19 เป็นอย่างไร
การปรับตัวมีหลายด้าน แต่ที่เห็นชัดเจนคือ การใช้ประโยชน์จากออนไลน์ อย่างเช่น การขายจิวเวลรี่บนออนไลน์ ซึ่งหากมีการขายกลุ่มระดับกลางถึงระดับบน (Middle to High) โดยมีระดับราคาบวกลบที่ 1,000 เหรียญสหรัฐ (3 หมื่นบาท) และเป็นราคาที่คนจะกล้าซื้อบนออนไลน์ แต่ถ้าเป็น Fine Jewelry คนที่จะตัดสินใจซื้อจริงๆ ต้องมาเลือก เพื่อดูสี ดูพลอย ฯลฯ ด้วยตนเอง กลุ่มนี้จึงเป็นกลุ่มที่ค่อนข้างได้รับผลกระทบ นอกจากนี้ ก็จะได้เห็นเทรนด์การจัดงานแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับสำคัญๆ ของโลกที่จะยังคงเป็นรูปแบบออนไลน์ หรือ Virtual อย่างไรก็ตาม คาดว่าในปีหน้าคนส่วนใหญ่ในหลายประเทศก็จะได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว คงจะเริ่มกลับมาจัดงานแฟร์แบบ On-site ได้ และคาดว่าในอนาคตก็จะเป็นการจัดงานแฟร์ผสมผสานระหว่าง On-site กับ Online
การซื้อขายบนออนไลน์อาจทำให้ได้สินค้าปลอมหรือได้สินค้าไม่ตรงกับที่คาดหวังหรือไม่
นี่จึงทำให้ GIT ผลักดัน 'โครงการซื้อด้วยความมั่นใจ' Buy with Confidence(BWC) ซึ่งเป็นโครงการหนึ่งที่จะช่วยผลักดันให้ประเทศไทย เป็นศูนย์กลางการค้าอัญมณีและเครื่องประดับของโลกตามนโยบายรัฐบาล เพื่อให้ผู้ซื้อมีตัวกลางที่จะทำหน้าที่ตรวจสอบสินค้าว่า สินค้าที่ได้รับใน Certification ถูกต้องตรงกัน และแนะนำให้ผู้ซื้อเข้าไปซื้อสินค้ากับร้านที่มีสติ๊กเกอร์ Buy with Confidence หรือในการซื้อขาย ถ้าไม่มั่นใจกับชิ้นงานนั้นๆ ก็สามารถร้องขอให้ร้านส่งมาที่ GITเพื่อรับรองก็ได้ว่า เป็นอัญมณีแท้/เทียม ฯลฯ โดยเมื่อเร็วๆ นี้ เราได้ขยายการบริการจุดรับ – ส่งอัญมณีและเครื่องประดับนอกสถานที่ ภายใต้โครงการ BWC ที่อาคารสิทธิกร ถนนมเหสักข์ ซึ่งเป็นย่านธุรกิจค้าพลอยสำคัญของประเทศ เพื่อให้บริการกับผู้ประกอบการและผู้ที่สนใจตรวจสอบอัญมณีและเครื่องประดับด้วย
ขณะเดียวกัน GIT ก็เชื่อมโยงกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซระดับโลกอย่าง eBay ในช่วงเริ่มแรกจะเป็นการอบรมให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการ BWC ที่เข้าร่วมโครงการ ทั้งเรื่องเทรนด์ของตลาด โลจิสติกส์ การปฏิบัติตามกฎระเบียบข้อบังคับ และกฎหมาย ระบบภาษี โดยต่อยอดกับผู้ที่อยู่โครงการ Buy with Confidence จำนวน 100 คน และผู้ที่ต้องการเข้ามาร่วมทำตลาดในช่องทางนี้ ก็สามารถกลับเข้ามาในโครงการในเฟส 2 ได้และมีแนวโน้มที่เราจะทำความร่วมมือในรูปแบบ MOU กับ eBay ในอนาคต
ภูเก็ตแซนด์บ๊อกซ์จะช่วยผ่าทางตันเรื่องการเดินทางมาซื้อพลอยในไทยได้หรือไม่
คิดว่า มีแนวโน้มเป็นไปได้ จากเดิมที่ก่อนหน้า Buyer ที่ฉีดวัคซีนแล้วต้องการเดินทางเข้าประเทศไทยเพื่อซื้อพลอย โดยไม่ต้องกักตัวนั้น ศบค.ยังไม่อนุญาต เพราะการฉีดวัคซีนก็ไม่ได้ครอบคลุมทุกสายพันธุ์ นอกจากนี้ ผู้ที่เดินทางเข้ามาก็มีโอกาสทั้งแพร่เชื้อและรับเชื้อ อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาก็มี Buyer จากจีนที่ยอมมากักตัวเพื่อมาซื้อพลอย แต่ซื้อพลอยในราคาไม่สูงมาก ส่วนกลุ่มที่จะซื้อพลอยที่มีมูลค่าสูงๆ อาจจะเข้ามาในรอบของ 'ภูเก็ตแชนด์บ๊อกซ์' โดยเดินทางเข้ามาแบบฮอลิเดย์ประมาณ 1-2 อาทิตย์ที่ภูเก็ต จากนั้นก็เดินทางทั่วประเทศ ซึ่งก็อาจจะช่วยแก้ปัญหาเรื่องช่องทางการเข้ามาซื้อพลอยได้
สุเมธ ประสงค์พงษ์ชัย ผู้อำนวยการ สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ
ไทยโดดเด่นที่สุดทางด้านใดในอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ
จุดแข็งของอุตสาหกรรมนี้ก็คือ ภูมิปัญญาการปรับปรุงคุณภาพพลอยสีที่ยากจะหาใครทัดเทียมได้ แม้ว่าวันนี้ประเทศไทยจะมีพลอยน้อยลงก็ตาม แต่ทับทิมจากเหมืองต่างๆ ของโลก อาทิ แอฟริกาก็จะต้องมาที่ประเทศไทย เพื่อเผา เจียระไน ตั้งน้ำ เนื่องจากเรามีความเชี่ยวชาญอย่างมาก และเชี่ยวชาญถึงขนาดที่สามารถเผาปรับสีทับทิมได้ตามความต้องการของตลาด นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีช่างฝีมือเจียระไนอัญมณี รวมถึงช่างฝีมือผลิตเครื่องประดับมีทักษะความชำนาญเป็นที่ยอมรับในระดับสากล อีกทั้งยังอยู่ในชัยภูมิที่ตั้งเชื่อมโยงกับทุกภูมิภาคของโลก เหมาะกับการเป็นศูนย์กลางการค้าและการผลิตของโลก
ปัจจุบันไทยเป็นผู้ส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับในอันดับ 16 ของโลก(4 เดือนแรก) นอกจากนี้ ยังเป็นผู้ส่งออกพลอยเนื้อแข็งเจียระไน(ทับทิม แซปไฟร์ มรกต) อันดับ 4 ของโลก ส่งออกพลอยเนื้ออ่อนเจียระไน อันดับ 2 ของโลก และส่งออกเครื่องประดับเงินอันดับ 2 ของโลก
นอกจากด้านทักษะฝีมือแล้วประเทศไทยยังมีสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีต่างๆ โดยปัจจุบันภาษีนำเข้าอัญมณีและเครื่องประดับทุกรายการเป็นศูนย์ อีกทั้ง มีการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีเงินได้สำหรับบุคคลธรรมดาที่นำวัตถุดิบอัญมณี (ที่ยังไม่เจียระไน) เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย โดยผู้ซื้อจะต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 1% ของรายได้จากการขายอัญมณี
โครงการพัฒนาเครื่องประดับในภูมิภาค มีความคืบหน้าอย่างไร และบทบาทของ GIT ผ่านโครงการอื่นๆ
โครงการพัฒนาเครื่องประดับในส่วนภูมิภาคในปี 2563 GIT ได้เข้าไปฝึกอบรมและพัฒนาผู้ประกอบการในอีสานใต้ (นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และ อบลราชธานี) ทั้งรูปแบบสินค้า เทคนิคการผลิต และการตลาดเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มแก่เครื่องประดับ นำเอกลักษณ์ของภูมิภาคที่สะท้อนวัฒนธรรมท้องถิ่นมาเป็นจุดขาย และได้ผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจ จึงนำมาต่อยอดเป็น 'โครงการพัฒนาอัตลักษณ์ ยกระดับเครื่องประดับอีสานใต้ ก้าวไกลโกอินเตอร์' ในปีนี้ เพื่อพัฒนาเทคนิคการผลิต การออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและสร้างแบรนด์ รวมถึงเพิ่มช่องทางการตลาดทั้งในและต่างประเทศ โดยขณะนี้ทีมงานผู้เชี่ยวชาญกำลังลงพื้นที่ให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการและจะได้เห็นชิ้นงานภายในกันยายนนี้ และเมื่อชิ้นงานสำเร็จ GIT จะนำไปจำหน่ายผ่านช่องทางทั้งออนไลน์และออฟไลน์
GIT ยังมีโครงการพัฒนาผู้ประกอบการ 5 ภูมิภาค ซึ่งโครงการนี้จะให้ความรู้เรื่องการเขียนแผนธุรกิจ และการทำธุรกิจอย่างมืออาชีพให้ผู้ประกอบการท้องถิ่น (Smart Jeweler) ในภูมิภาคต่างๆ ทั้งภาคเหนือ(เชียงใหม่-สุโขทัย) ภาคกลาง(กรุงเทพฯ) ภาคตะวันออก(จันทบุรี) ภาคใต้(นครศรีธรรมราช) และภาคตะวันตก(กาญจนบุรี) เพื่อพัฒนาผู้ประกอบการอัญมณีและเครื่องประดับยุคใหม่ ทั้งทายาทธุรกิจ ช่างฝีมือ นักออกแบบ และเปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไปที่สนใจเข้าสู่วงการธุรกิจอัญมณี และโดยเน้นการพัฒนาด้านเทคนิคการผลิต การใช้วัสดุทดแทนเพื่อสร้างความแตกต่าง และมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า, ด้านการออกแบบ การหาเอกลักษณ์ให้กับสินค้าเครื่องประดับ, ด้านการบริหารจัดการ การจัดการต้นทุนวัตถุดิบ การจัดทำบัญชี การยื่นภาษี การบริหารธุรกิจ และด้านการตลาด เพิ่มความรู้เกี่ยวกับการตลาด และการทำธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ
นอกจากนี้ ก็มีโครงการศูนย์กลางการลงทุน และการผลิตเครื่องประดับในภาคตะวันออก ที่จันทบุรี ตราด และสระแก้ว เพื่อยกระดับการเป็นศูนย์กลางการผลิตและการพัฒนาให้เป็นแหล่งการค้าการลงทุนของอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับของโลก รวมถึงพัฒนาให้เป็นฐานการผลิต แหล่งวัตถุดิบที่สำคัญ ตลาดซื้อขายพลอยมาตรฐาน และเป็นพื้นที่เขตเศรษฐกิจชายแดนให้เป็นประตูเศรษฐกิจเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านให้เจริญเติบโตอย่างยั่งยืน
โครงการประกวดออกแบบเครื่องประดับ ครั้งที่ 15 ภายใต้หัวข้อ Intergeneration Jewelry - jewelry for every generation เพื่อสนับสนุนนักออกแบบรุ่นใหม่และนักออกแบบมืออาชีพ ให้มาร่วมนำเสนอผลงานการออกแบบจากทั่วโลกส่งผลงานเข้าประกวด ซึ่งปีนี้มีการส่งแบบประกวดรวม 402 ชิ้นงาน จาก 27 และขณะนี้ทางคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากประเทศต่างๆ และตัวแทนแบรนด์ระดับโลกได้คัดเลือกผลงานที่เข้ารอบ 30 ผลงานเรียบร้อยแล้ว
GIT เชื่อมั่นว่า ประเทศไทยจะยังแข่งขันได้ในตลาดโลก หรือไม่ และยังต้องส่งเสริมด้านใดที่เป็นรูปธรรมเพิ่มเติม
ในส่วนตลาดส่งออก เชื่อว่า ไตรมาส3 จะได้เห็นสัญญาณดีๆ และยังสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างแน่นอน เพราะนี่คืออุตสาหกรรมที่มีศักยภาพมาก โดยในช่วงสถานการณ์ปกติประเทศไทยสามารถทำรายได้จากการส่งออกในระดับ Top 3 สร้างเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจของประเทศถึงปีละเกือบ 1 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 6% ของ GDP แต่ประเด็นที่ผู้ประกอบการควรต้องให้ความสำคัญมากขึ้นด้วย คือ กระแสเรียกร้องให้ธุรกิจอัญมณีและเครื่องประดับจัดหาวัตถุดิบอย่างมีความรับผิดชอบ คำนึงถึงจริยธรรม สังคม และสิ่งแวดล้อม ตามแนวทาง RJC (Responsible Jewelry Council) ซึ่งหลายประเทศมีแนวโน้มเข้าสู่แนวทางนี้อย่างกว้างขวาง รวมทั้งผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ก็ให้ความสำคัญกับประเด็นนี้มากขึ้น ทำให้ธุรกิจตลอดห่วงโซ่อุปทานต้องมีความรับผิดชอบ และความโปร่งใสในการดำเนินุรกิจ
ปัจจุบัน GIT ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิก RJC แล้ว เพื่อติดตามข้อมูลความเคลื่อนไหว และเทรนด์ของอุตสาหกรรม เพื่อเผยแพร่ให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการไทย ผ่านการจัดสัมมนา โดยมีวิทยากรกจาก RJC มาให้ความรู้ แก่ผู้ประกอบการไทย และ GIT มีแผนจะนำแนวทางการปฏิบัติของ RJC มาแปลเป็นภาษาไทย เพื่อให้ผู้ประกอบการเข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้นอีกด้วย ดังนั้น ช่วงนี้ผู้ประกอบการควรหันมาเตรียมความพร้อมเรื่องนี้ เมื่อตลาดกลับมาและบริษัทมีมาตรฐานตามกระแสสากลก็จะสามารถคว้าโอกาสนี้ได้
บทสัมภาษณ์จากนิตยสาร MarketPlus Magazine Issue 136 July 2021