อย่าเพิ่งเบื่อคำว่า Next Normal นะครับ เพราะเมื่อสามปีที่ผ่านมาถูกยกมาพูดกันมากมาย (อาจจะมากจนเกินจำเป็นด้วยซ้ำ) เพราะตอนนี้กำลังจะมีคำใหม่มาอีกแล้ว คือคำว่า Future Normal
ก่อนอื่นเราทบทวน Next Normal กันสักนิด ยกตัวอย่างที่กลายเป็น normal จริงๆ กันสักหน่อย ในมุมของการตลาด New Normal คือ การใช้ชีวิตรูปแบบใหม่ของผู้บริโภคทุกช่วงอายุ รวมถึงการดำเนินธุรกิจรูปแบบใหม่ๆ ขององค์กร
เป็นวิถีการดำเนินชีวิตหลังจากสถานการณ์โควิด เช่น การมุ่งเน้นเรื่องสุขอนามัย และความปลอดภัย จะเห็นได้จากธุรกิจรับส่งอาหารที่กลายเป็นเรื่องปกติของสังคมไปแล้ว
การใช้ Mobile Banking ที่ธนาคารกสิกรไทยเพิ่งออกมาให้ข่าวว่าเกือบจะเป็น 100% ของลูกค้าแล้ว แม้แต่คุณแม่ของผมที่ปฏิเสธทุกเทคโนโลยี แต่ New Normal ของท่านคือ การทราบทุกกิจกรรมของลูกหลานผ่านทาง Social Network
ล่าสุดมีหนังสือของ Henry Coutinho-Mason กับ Rohit Bhargava ชื่อ ‘The Future Normal’ ออกมาอีกแล้ว ว่ากันว่ามีถึง 30 บทเลยทีเดียว รอติดตามได้ในนิตยสาร MarketPlus
หนังสือเล่มนี้กล่าวไว้ว่าการทำนายอนาคตเป็นเรื่องง่าย แต่การทำนายอนาคตที่จะกลายเป็นสิ่งปกติของมนุษย์ทุกคนอันนี้เป็นเรื่องยากกว่าครับ
Future Normal ไม่ใช่แค่ Trend (เทรนด์)
บางท่านอาจจะคิดว่าการทำนายเรื่องในอนาคตคือการหาเทรนด์หรือแนวโน้มที่จะเกิดขึ้น ซึ่งจริงๆ แล้วคำว่าเทรนด์ หมายถึง สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต ต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน และน่าจะมีผลต่อในอนาคต
เทรนด์ไม่ใช่แค่แฟชั่นหรือแฟด (Fad) ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเพียงชั่วคราวแล้วหายไป แต่ต้องเห็นการเติบโตหรือลดลงในแต่ละช่วงเวลา เช่น เทรนด์การใช้ Mobile banking เทรนด์การแต่งตัวแบบ K-Pop (ที่เกิดขึ้นมายาวนานจนไม่ใช่แค่แฟชั่นแล้ว)
เพราะคำว่าเทรนด์แบ่งได้หลายแบบ เช่น Macro trends ประมาณ 10 ปีขึ้นไป หรือ Consumer trends ประมาณ 3 ปีขึ้นไป
ผมได้ไปฟังผู้บริหาร Google พูดให้ฟังเรื่อง Trends ในหัวข้อ Think with Google Year in search 2022 โดยการวิเคราะห์เทรนด์จากการค้นหาเป็นพันล้านครั้งของผู้บริโภคชาวไทย และชาติอื่นๆ แบ่งออกได้เป็นสามเทรนด์ ได้แก่
การค้นหาตัวตนที่แท้จริง การค้นหาคุณค่า และการค้นหาความสุข
สามเรื่องนี้เป็นเทรนด์ที่มีการค้นหาเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในปีที่ผ่านมา และธุรกิจต่างๆ ควรนำไปปรับใช้กำหนดกลยุทธ์ได้ (https://www.thinkwithgoogle.com/_qs/documents/18044/yearinsearch_thailand22_th.pdf)
แต่สำหรับสาย Futurist นั้น จะมองหาสิ่งปกติใหม่ (New Normal) ที่จะกลายเป็นสิ่งที่ถาวรในสังคม นั่นคือความยากของการทำนายอนาคตแบบ Future Normal ครับ
และแน่นอนว่า 1 ในนั้นน่าจะมีเรื่องของ Artificial Intelligence หรือ AI ด้วย
พอพูดถึงเทคโนโลยีมากๆ อนาคตหน่อยๆ เชื่อว่าท่านผู้อ่านหลายท่านอาจจะเกิดอาการท้อแท้ ออกไปทางเบื่อเสียด้วย และรู้สึกว่าไม่อยากจะเรียนรู้
ผมก็เป็นครับ พอเราอายุมากขึ้น แล้วต้องให้มาเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ตลอดเวลามันก็ใช่เรื่องจริงไหม แต่ผมไปเจอหลักการนึงเกี่ยวกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ที่น่าสนใจจึงอยากนำมาแบ่งปันกันครับ
นั่นคือหลักที่เรียกว่า ‘กฎ 20 ชั่วโมง’ ของ Josh Kaufman แค่อ่านชื่อกฎก็น่าสนใจแล้วใช่ไหมครับ คุณพระ! เราจะสามารถทำสิ่งใหม่ได้ด้วยการฝึกฝนเพียงแค่ 20 ชั่วโมงเองหรือ?
จากการค้นคว้าและวิจัยของผู้เขียนพบว่าการที่คนเราจะเรียนรู้ในเรื่องใหม่ๆ จากศูนย์ไปสู่ขั้นที่ใช้การได้ดี จะใช้เวลาในการฝึกฝนและเรียนรู้เฉลี่ยราวๆ 20 ชั่วโมง หากนำ 20 ชั่วโมงมาคำนวณ เราจะใช้เวลาแค่เพียงเฉลี่ยวันละประมาณ 40 นาที แค่ 1 เดือนเท่านั้น
เพราะ 20 ชั่วโมงคือ 1,200 นาที หาร 30 วัน ได้ ‘40นาทีต่อวัน’ Josh ได้พิสูจน์ด้วยตัวเองในการเรียนเครื่องดนตรีชิ้นใหม่ให้เล่นได้เป็นอย่างดีภายในเวลาแค่ 20 ชั่วโมงเท่านั้น
จากนั้นเขาจึงได้สรุปหลักการที่ผมนำมาเขียนให้ทุกท่านอ่านดังต่อไปนี้ครับ
เราควรเลือกสิ่งที่เราสนใจ เราชอบหรือเป็นประโยชน์กับชีวิตเรา ไม่ใช่ว่าคนบอกให้เรียนก็เรียน คนบอกให้ฝึกก็ฝึก ยิ่งเป็นสิ่งที่เราชอบเราก็จะสนใจมากขึ้น ยิ่งเราสนใจก็จะเรียนรู้ได้เร็วกว่า
สิ่งที่ทำให้หลายคนล้มเหลวคือเรียนหว่านไปหมด นู่นก็อยากเป็น นี่ก็อยากเก่ง แต่กฎ 20 ชั่วโมงบอกว่าให้เราเลือกฝึกสิ่งที่เราต้องการจริงๆ เพียงสิ่งเดียว (หรือทีละสิ่ง) จะทำให้เราฝึกฝนได้ตามเป้าหมาย
เราควรตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน เช่น ต้องการฝึกทำอาหารให้ได้ถึงระดับเปิดร้านขายหรือสมัครเข้าทำงานร้านอาหารได้ จากนั้นให้แบ่งสิ่งที่เราสนใจให้เป็นส่วนๆ เพื่อให้ฝึกได้ง่าย เช่น
การฝึกทำอาหารอิตาเลียนประกอบด้วย การฝึกทำเส้นพาสต้า การทำซอส การจัดจาน เราจึงควรหัดวิธีการทำเส้นพาสต้าให้ได้ผลก่อน เป็นต้น
หลักการที่น่าสนใจอีกประการหนึ่ง คือ การกำจัดอุปสรรคที่อาจจะเกิดขึ้น ข้อนี้สำคัญมากนะครับ ผมชอบข้อนี้มาก เพราะผมใช้เสมอเวลาอยากฝึกอะไรใหม่ๆ เช่น
ผมอยากฝึกวิ่งให้ดีขึ้น อุปสรรคคือ ‘การตื่นเช้า’ ‘การเตรียมชุดวิ่ง’ ‘วิ่งแล้วไม่รู้ทำอะไร’ ผมจึงกำจัดโดยการเตรียมทุกอย่างให้พร้อมตั้งแต่ตอนกลางคืน วางชุดวิ่ง รองเท้า อุปกรณ์ทุกอย่างให้หยิบใส่ได้ง่ายที่สุด มีเพลงหรือ podcast ในโทรศัพท์พร้อมหูฟังเวลาวิ่ง
และหลักสุดท้ายที่อยากบอกท่านผู้อ่านคือ อย่าเยอะ
ใช่ครับ อย่าฝึกเยอะ เพราะเราตั้งเป้าไว้แค่ 40 นาทีเท่านั้น อย่าหักโหม อย่าเวอร์วังถ้าเราจะใช้กฎนี้
เพราะการฝึกที่มากเกินไป ยาวนานเกินไป จะทำให้เบื่อหรือรู้สึกเสียเวลาหรือไม่มีเวลาในครั้งต่อไป
ดังนั้นการยึดมั่นกับสิ่งที่เราวางแผนไว้คือสิ่งสำคัญ ค่อยๆ แต่สม่ำเสมอครับ
Future Normal น่าจะมีสิ่งต่างๆ ให้ทุกท่านได้ฝึกทำอีกมาก อย่างน้อยผมก็เล่นเกมบน Metaverse ไม่ค่อยเป็นล่ะ แค่เดินวนๆ ก็เวียนหัวแล้ว
น่าจะถึงเวลาที่พวกเราจะลองนำวิธี 20 ชั่วโมงนี้ไปทดลองฝึกทำอะไรสักอย่างดู ผมเชื่อว่าถ้าทำอะไรใหม่ๆ ได้สักอย่าง กำลังใจจะมา แล้วจะทำให้เรามีพลังที่จะลองทำอะไรใหม่ๆ เพิ่มเติมอีกในอนาคตได้อย่างแน่นอน
อ่านถึงตรงนี้แล้วเลือกสิ่งที่สนใจจะลองฝึกเป็นอย่างแรกได้หรือยังครับ เอาใจช่วยนะครับ แค่ 20 ชั่วโมงเอง
บทความจาก นิตยสาร MarketPlus Magazine Issue 155 April 2023
เขียน โดย อาจารย์ วีรพล สวรรค์พิทักษ์ CMO บริษัท อีมิแน้นท์แอร์ (ประเทศไทย) จำกัด