เรียนรู้ - ยอมรับ - ปรับตัว เรื่องโลกร้อน
03 Nov 2025

เมื่อ 10 ปีที่แล้ว 12 ธันวาคม 2558 มีผู้คนจาก 195 รัฐ ที่ได้เรียนรู้ร่วมกันถึงปัญหาสภาพภูมิอากาศว่ากำลังเข้าขั้นวิกฤติ มีการประกาศอย่างครึกโครมถึงความร่วมมือ มีการจับไม้จับมือกำหนดข้อตกลงที่ว่าจะควบคุมโลกของเราไม่ให้ร้อนเกิน 1.5 องศาเซลเซียส เราเรียกเหตุการณ์ในครั้งนั้นว่า ‘ข้อตกลงปารีส’ (Paris Agreement) คือ สนธิสัญญาระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันทางกฎหมาย มีเป้าหมายเพื่อควบคุมภาวะโลกร้อนไม่ให้สูงขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม แล้วเกิดอะไรขึ้น?

 

เวลาผ่านมาเราเริ่มเรียนรู้ว่า เราน่าจะทำไม่ได้ ไม่ใช่ว่าโลกร้อนขึ้นเกิน 1.5 องศาแล้ว แต่อัตราการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิยังอยู่ในอัตราเร่ง อันที่จริงในปี 2024 อุณหภูมิจะสูงขึ้นเกิน 1.5 องศาไปแล้ว แต่ก็ยังไม่ใช่อุณหภูมิเฉลี่ยในระยะยาวที่ต้องใช้ค่าเฉลี่ย 20-30 ปีมาคำนวณ อย่าเพิ่งโล่งใจครับ เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง

เราได้เรียนรู้อีกว่าอุณหภูมิโลกสูงขึ้นประมาณ 0.27 องศาเซลเซียสต่อทศวรรษ หากยังสูงขึ้นแบบนี้ จะทะลุ 1.5 องศาในปี 2030-2040 และทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้ (ในปี 2023 โลกมีอุณหภูมิสูงกว่ายุคก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรมไปแล้ว 1.48 องศาเซลเซียส, TheVerge.com) ผลลัพธ์ดังกล่าวคือ แนวปะการังจะลดลง 70-90% ธารน้ำแข็งอาร์กติกจะหายไปในฤดูร้อน พายุจะรุนแรงขึ้นและเกิดบ่อยขึ้น ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น 10-30 นิ้ว ชาวประมงจะจับสัตว์น้ำได้ลดลง 1.5 ล้านตันต่อปี เริ่มเกี่ยวกับเรามากขึ้นเรื่อยๆ ละ

จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่าเราเรียนรู้เยอะเหลือเกิน แล้วยอมรับไหมว่าเราเป็นส่วนที่ทำให้เกิดโลกร้อน เห็นมีแต่คนบอกว่าจะปรับตัว บริษัทต่างๆ ก็ออกมาปรับตัวกันเสียยกใหญ่ ถ้าปรับได้จริงโลกคงจะต้องไม่ร้อนขึ้นหรือมีอัตราการเพิ่มขึ้นที่ลดลงจริงไหม ปัญหาอยู่ที่ตรงไหน ได้มีโอกาสไปฟัง Dr.Kudo Shunsuke พนักงานอาวุโส กระทรวงสิ่งแวดล้อมของญี่ปุ่นกล่าวว่า ที่ประเทศญี่ปุ่น 64-90% ของปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยมาจากในเมือง ดังนั้นการแก้ไขและลงมือทำของเมืองโยโกฮามามี 4 เสาหลัก ได้แก่ การสนับสนุนประชาชน การสนับสนุนบริษัท การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ และการลงมือทำแบบจริงจัง ในขณะที่กรุงเทพมหานครมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจาก 3 กิจกรรมหลัก คือ การใช้พลังงาน 58.9% การขนส่ง 28.8% และขยะ 12.3% เรามีการปรับตัวกันอย่างไรบ้าง

ผมเรียนรู้ว่าการจะปรับตัวได้ ต้องผ่านการยอมรับเสียก่อน ดังที่เรื่องที่จั่วหัวไว้ตั้งแต่ต้นว่า เรียนรู้ - ยอมรับ - ปรับตัว หลายครั้งที่เรามักจะข้ามขั้นตอนการยอมรับ คือเรียนรู้แล้วก็ปรับตัวกันเลย พบว่ามักจะปรับไม่ค่อยสำเร็จ เพราะว่าเมื่อปรับไปเรื่อยๆ ก็จะเกิดคำถามว่า ปรับไปทำไม ไม่เห็นมีอะไรเลย

แต่หากเรามีการยอมรับกันก่อนว่าเราจำเป็นต้องปรับตัวเพราะมีสาเหตุใด นั่นจึงจะทำให้การปรับตัวมีประสิทธิภาพมากขึ้น ยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่กล่าวมาตั้งแต่ย่อหน้าแรก เราเรียนรู้ว่าโลกร้อนรู้กันจนเยอะไปหมด รู้ปัญหาที่เกิดขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งร้อน ฝนตก น้ำท่วม พายุ แผ่นดินไหว โลกเราไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว

แต่มนุษย์ยอมรับหรือไม่ว่าเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหา หากยอมรับแล้วค่อยมาหาวิธีปรับตัวที่ถูกต้องกัน เดี๋ยวผมเล่าให้ฟังต่อครับ

 

 

มีคำกล่าวสุดคลาสสิกที่ว่า ‘What get measured, get managed.’ โดย Peter Drucker กูรูด้านการบริหารจัดการ หมายความว่า การติดตามและวัดผลจะช่วยให้เราบริหารจัดการได้ ทั้งนี้เพื่อปรับปรุงและควบคุมสิ่งนั้นให้ดีขึ้นได้ ในทางตรงข้ามหากไม่มีการวัดผล เราก็จะไม่สามารถบริหารจัดการหรือพัฒนาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะขาดข้อมูลและความตระหนักที่จะนำไปสู่ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ 

เรื่องโลกร้อน เรื่องการปลดปล่อยคาร์บอนฯ หรือ GHG ก็เช่นเดียวกัน แนะนำให้ทุกๆ องค์กรที่มีความตระหนักรู้ และเห็นความจำเป็นทำการวัดก่อน จะด้วยเครื่องมือต่างๆ หรือว่าจ้างหน่วยงานต่างๆ มาวัดการปลดปล่อยคาร์บอนฯก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น Carbon4Thai โดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO) แอปพลิเคชัน Zero Carbon สำหรับการคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของกิจกรรมอีเวนต์ โดย ศูนย์องค์ความรู้ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แอปพลิเคชัน SMART GHG (SGA) สำหรับประเมินผลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการเพาะปลูก เป็นต้น 

แต่ถ้าเป็นบริษัทขนาดใหญ่สักหน่อย อาจนำมาตรฐานระดับโลกเข้ามาใช้ เช่น บริษัท อีมิแน้นท์แอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ใช้ ISO 14064-1 เป็นมาตรฐานสากลที่กำหนดหลักการและข้อกำหนดระดับองค์กร สำหรับการวัดปริมาณและรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) รวมถึงการกำจัดก๊าซเรือนกระจก มาตรฐานนี้ช่วยให้องค์กรสามารถจัดทำบัญชีก๊าซเรือนกระจกของตนเองได้อย่างเป็นระบบ โดยมีการวัดเป็น 3 scopes ได้แก่

  • Scope 1: การปล่อยโดยตรงจากแหล่งที่องค์กรเป็นเจ้าของหรือควบคุม เช่น การใช้เชื้อเพลิงในโรงงาน
  • Scope 2: การปล่อยทางอ้อมจากการใช้พลังงานที่ซื้อมา เช่น ไฟฟ้า ความร้อน
  • Scope 3: การปล่อยทางอ้อมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับห่วงโซ่คุณค่าขององค์กร เช่น การเดินทางของพนักงาน การขนส่ง การจัดการของเสีย หรือการใช้ผลิตภัณฑ์

 

 

ทีนี้หลังจากวัดแล้วก็จะได้ปรับตัวกัน มีข้อแนะนำในการเริ่มปรับตัวสำหรับทุกๆ องค์กรดังนี้

  • ข้อแรก เพิ่มการรับรู้ทั้งในกลุ่มพนักงาน และลูกค้า (ภายในและภายนอก) อาจมีการตั้ง green team หรือแผนกที่ดูแลด้าน Sustainability

  • ข้อสอง วางแผนด้านการจัดการปริมาณขยะภายในองค์กร เช่น การลดการใช้ขวดน้ำพลาสติก การลดขยะอาหาร การลดใช้กระดาษ 

  • ข้อสาม (อาจจะขัดใจผู้บริหาร) ลดการเดินทางเพื่อธุรกิจ รวมไปถึงการลดการเดินทางด้วยชั้น Business Class เลือกสายการบินที่มีการปล่อย GHG น้อย

  • ข้อสี่ เลือกคู่ค้าที่ใส่ใจด้านสิ่งแวดล้อม ข้อนี้น่าสนใจมากเพราะจะช่วยลด scope 3 ขององค์กรเราได้ด้วย

  • และ ข้อสุดท้าย ลดการใช้พลังงานหรือหาแหล่งพลังงานทางเลือกทดแทน เช่นการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ การเปลี่ยนหลอดไฟเป็น LED การเปลี่ยนเครื่องปรับอากาศที่ใช้น้ำยาที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

 

 

ทั้งห้าข้อที่กล่าวมาทำได้ไม่ยากเลย ขอให้ทำจริงจังเท่านั้นเอง หากทุกคนเรียนรู้ - ยอมรับ - และคิดจะปรับตัวจริงๆ เชื่อว่าจะเกิดผลลัพธ์ที่ดีขึ้นได้

ดังที่รายงานฉบับใหม่จากองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ของยูเอ็น (Ozone Bulletin) ชี้ว่า ช่องโหว่โอโซนเหนือทวีปแอนตาร์กติกาในปี 2024 มีขนาดเล็กกว่าหลายปีที่ผ่านมา เนื่องจากมีการเลิกผลิตและเลิกใช้สารทำลายโอโซนที่อยู่ภายใต้การควบคุมแล้วกว่า 99%

แต่ถ้าองค์กรคิดเพียงแต่จะสร้างภาพว่าเป็นองค์กรที่ดี มีแนวคิดทันสมัย แต่วัดผลไม่ได้ ทำไม่ได้จริง การลดโลกร้อน และเป้าหมายต่างๆ ก็ดูจะเป็นเพียงวาทกรรมที่สวยหรูเท่านั้นเอง 

 



บทความจากนิตยสาร MarketPlus ฉบับที่ 181 November 2025

[อ่าน 142]
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ฝุ่นใยหิน ภัยเงียบที่สูดเข้าไป...รอวันคร่าชีวิต
The Narrative Queen! 'Taylor Swift' and Her Storytelling Empire
เคล็ดลับใช้บัตรวีซ่าแพลทินัมให้คุ้มที่สุดในชีวิตประจำวัน
finbiz by ttb เปิด 6 เทรนด์ธุรกิจ SME ปี 2026 ก้าวสู่ยุคใหม่ของธุรกิจที่ฉลาด เขียว และเข้าใจมนุษย์มากขึ้น
‘สิงห์ - เอส โคล่า’ 2 แบรนด์ 2 สไตล์ กับการสร้างแบรนด์ผ่าน ‘สปอร์ต มาร์เก็ตติ้ง’
ทีทีบี ฟินทิป แชร์ 12 วิธีออมเงินง่าย ได้ผลจริง
MAGAZINE UPDATE
Owner
DOUBLE D CREATION Co.,Ltd.
เอเวอร์กรีนวิว ทาวเวอร์ ชั้น 4
เลขที่ 22/43 ซอยบางนา-ตราด 56 ถนนบางนา-ตราด
แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร 10260
Tel : 0-2751-4995-6
Mobile : 062-194-4561
Advertising
ติดต่อโฆษณา และ การตลาด
คุณศุภากร ยาตพงศ์ (บู)
Mobile : 08-1355-3636
Tel : 0-2751-4995-6
E-mail : market-plus@hotmail.com
info@marketplus.in.th
PR News
ส่งข่าวประชาสัมพันธ์
E-mail : info@marketplus.in.th,
market-plus@hotmail.com,
marketplus@hotmail.co.th
Copyright © 2016 DOUBLE D CREATION Co.,Ltd. All rights Reserved