
เมื่อ 10 ปีที่แล้ว 12 ธันวาคม 2558 มีผู้คนจาก 195 รัฐ ที่ได้เรียนรู้ร่วมกันถึงปัญหาสภาพภูมิอากาศว่ากำลังเข้าขั้นวิกฤติ มีการประกาศอย่างครึกโครมถึงความร่วมมือ มีการจับไม้จับมือกำหนดข้อตกลงที่ว่าจะควบคุมโลกของเราไม่ให้ร้อนเกิน 1.5 องศาเซลเซียส เราเรียกเหตุการณ์ในครั้งนั้นว่า ‘ข้อตกลงปารีส’ (Paris Agreement) คือ สนธิสัญญาระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันทางกฎหมาย มีเป้าหมายเพื่อควบคุมภาวะโลกร้อนไม่ให้สูงขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม แล้วเกิดอะไรขึ้น?
เวลาผ่านมาเราเริ่มเรียนรู้ว่า เราน่าจะทำไม่ได้ ไม่ใช่ว่าโลกร้อนขึ้นเกิน 1.5 องศาแล้ว แต่อัตราการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิยังอยู่ในอัตราเร่ง อันที่จริงในปี 2024 อุณหภูมิจะสูงขึ้นเกิน 1.5 องศาไปแล้ว แต่ก็ยังไม่ใช่อุณหภูมิเฉลี่ยในระยะยาวที่ต้องใช้ค่าเฉลี่ย 20-30 ปีมาคำนวณ อย่าเพิ่งโล่งใจครับ เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง
เราได้เรียนรู้อีกว่าอุณหภูมิโลกสูงขึ้นประมาณ 0.27 องศาเซลเซียสต่อทศวรรษ หากยังสูงขึ้นแบบนี้ จะทะลุ 1.5 องศาในปี 2030-2040 และทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้ (ในปี 2023 โลกมีอุณหภูมิสูงกว่ายุคก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรมไปแล้ว 1.48 องศาเซลเซียส, TheVerge.com) ผลลัพธ์ดังกล่าวคือ แนวปะการังจะลดลง 70-90% ธารน้ำแข็งอาร์กติกจะหายไปในฤดูร้อน พายุจะรุนแรงขึ้นและเกิดบ่อยขึ้น ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น 10-30 นิ้ว ชาวประมงจะจับสัตว์น้ำได้ลดลง 1.5 ล้านตันต่อปี เริ่มเกี่ยวกับเรามากขึ้นเรื่อยๆ ละ
จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่าเราเรียนรู้เยอะเหลือเกิน แล้วยอมรับไหมว่าเราเป็นส่วนที่ทำให้เกิดโลกร้อน เห็นมีแต่คนบอกว่าจะปรับตัว บริษัทต่างๆ ก็ออกมาปรับตัวกันเสียยกใหญ่ ถ้าปรับได้จริงโลกคงจะต้องไม่ร้อนขึ้นหรือมีอัตราการเพิ่มขึ้นที่ลดลงจริงไหม ปัญหาอยู่ที่ตรงไหน ได้มีโอกาสไปฟัง Dr.Kudo Shunsuke พนักงานอาวุโส กระทรวงสิ่งแวดล้อมของญี่ปุ่นกล่าวว่า ที่ประเทศญี่ปุ่น 64-90% ของปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยมาจากในเมือง ดังนั้นการแก้ไขและลงมือทำของเมืองโยโกฮามามี 4 เสาหลัก ได้แก่ การสนับสนุนประชาชน การสนับสนุนบริษัท การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ และการลงมือทำแบบจริงจัง ในขณะที่กรุงเทพมหานครมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจาก 3 กิจกรรมหลัก คือ การใช้พลังงาน 58.9% การขนส่ง 28.8% และขยะ 12.3% เรามีการปรับตัวกันอย่างไรบ้าง
ผมเรียนรู้ว่าการจะปรับตัวได้ ต้องผ่านการยอมรับเสียก่อน ดังที่เรื่องที่จั่วหัวไว้ตั้งแต่ต้นว่า เรียนรู้ - ยอมรับ - ปรับตัว หลายครั้งที่เรามักจะข้ามขั้นตอนการยอมรับ คือเรียนรู้แล้วก็ปรับตัวกันเลย พบว่ามักจะปรับไม่ค่อยสำเร็จ เพราะว่าเมื่อปรับไปเรื่อยๆ ก็จะเกิดคำถามว่า ปรับไปทำไม ไม่เห็นมีอะไรเลย
แต่หากเรามีการยอมรับกันก่อนว่าเราจำเป็นต้องปรับตัวเพราะมีสาเหตุใด นั่นจึงจะทำให้การปรับตัวมีประสิทธิภาพมากขึ้น ยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่กล่าวมาตั้งแต่ย่อหน้าแรก เราเรียนรู้ว่าโลกร้อนรู้กันจนเยอะไปหมด รู้ปัญหาที่เกิดขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งร้อน ฝนตก น้ำท่วม พายุ แผ่นดินไหว โลกเราไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
แต่มนุษย์ยอมรับหรือไม่ว่าเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหา หากยอมรับแล้วค่อยมาหาวิธีปรับตัวที่ถูกต้องกัน เดี๋ยวผมเล่าให้ฟังต่อครับ

มีคำกล่าวสุดคลาสสิกที่ว่า ‘What get measured, get managed.’ โดย Peter Drucker กูรูด้านการบริหารจัดการ หมายความว่า การติดตามและวัดผลจะช่วยให้เราบริหารจัดการได้ ทั้งนี้เพื่อปรับปรุงและควบคุมสิ่งนั้นให้ดีขึ้นได้ ในทางตรงข้ามหากไม่มีการวัดผล เราก็จะไม่สามารถบริหารจัดการหรือพัฒนาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะขาดข้อมูลและความตระหนักที่จะนำไปสู่ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ
เรื่องโลกร้อน เรื่องการปลดปล่อยคาร์บอนฯ หรือ GHG ก็เช่นเดียวกัน แนะนำให้ทุกๆ องค์กรที่มีความตระหนักรู้ และเห็นความจำเป็นทำการวัดก่อน จะด้วยเครื่องมือต่างๆ หรือว่าจ้างหน่วยงานต่างๆ มาวัดการปลดปล่อยคาร์บอนฯก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น Carbon4Thai โดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO) แอปพลิเคชัน Zero Carbon สำหรับการคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของกิจกรรมอีเวนต์ โดย ศูนย์องค์ความรู้ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แอปพลิเคชัน SMART GHG (SGA) สำหรับประเมินผลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการเพาะปลูก เป็นต้น
แต่ถ้าเป็นบริษัทขนาดใหญ่สักหน่อย อาจนำมาตรฐานระดับโลกเข้ามาใช้ เช่น บริษัท อีมิแน้นท์แอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ใช้ ISO 14064-1 เป็นมาตรฐานสากลที่กำหนดหลักการและข้อกำหนดระดับองค์กร สำหรับการวัดปริมาณและรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) รวมถึงการกำจัดก๊าซเรือนกระจก มาตรฐานนี้ช่วยให้องค์กรสามารถจัดทำบัญชีก๊าซเรือนกระจกของตนเองได้อย่างเป็นระบบ โดยมีการวัดเป็น 3 scopes ได้แก่

ทีนี้หลังจากวัดแล้วก็จะได้ปรับตัวกัน มีข้อแนะนำในการเริ่มปรับตัวสำหรับทุกๆ องค์กรดังนี้
ข้อแรก เพิ่มการรับรู้ทั้งในกลุ่มพนักงาน และลูกค้า (ภายในและภายนอก) อาจมีการตั้ง green team หรือแผนกที่ดูแลด้าน Sustainability
ข้อสอง วางแผนด้านการจัดการปริมาณขยะภายในองค์กร เช่น การลดการใช้ขวดน้ำพลาสติก การลดขยะอาหาร การลดใช้กระดาษ
ข้อสาม (อาจจะขัดใจผู้บริหาร) ลดการเดินทางเพื่อธุรกิจ รวมไปถึงการลดการเดินทางด้วยชั้น Business Class เลือกสายการบินที่มีการปล่อย GHG น้อย
ข้อสี่ เลือกคู่ค้าที่ใส่ใจด้านสิ่งแวดล้อม ข้อนี้น่าสนใจมากเพราะจะช่วยลด scope 3 ขององค์กรเราได้ด้วย
และ ข้อสุดท้าย ลดการใช้พลังงานหรือหาแหล่งพลังงานทางเลือกทดแทน เช่นการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ การเปลี่ยนหลอดไฟเป็น LED การเปลี่ยนเครื่องปรับอากาศที่ใช้น้ำยาที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

ทั้งห้าข้อที่กล่าวมาทำได้ไม่ยากเลย ขอให้ทำจริงจังเท่านั้นเอง หากทุกคนเรียนรู้ - ยอมรับ - และคิดจะปรับตัวจริงๆ เชื่อว่าจะเกิดผลลัพธ์ที่ดีขึ้นได้
ดังที่รายงานฉบับใหม่จากองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ของยูเอ็น (Ozone Bulletin) ชี้ว่า ช่องโหว่โอโซนเหนือทวีปแอนตาร์กติกาในปี 2024 มีขนาดเล็กกว่าหลายปีที่ผ่านมา เนื่องจากมีการเลิกผลิตและเลิกใช้สารทำลายโอโซนที่อยู่ภายใต้การควบคุมแล้วกว่า 99%
แต่ถ้าองค์กรคิดเพียงแต่จะสร้างภาพว่าเป็นองค์กรที่ดี มีแนวคิดทันสมัย แต่วัดผลไม่ได้ ทำไม่ได้จริง การลดโลกร้อน และเป้าหมายต่างๆ ก็ดูจะเป็นเพียงวาทกรรมที่สวยหรูเท่านั้นเอง

บทความจากนิตยสาร MarketPlus ฉบับที่ 181 November 2025





