จากการที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับประสบการณ์การช้อปปิ้งมากขึ้น กลุ่มนักช้อป Gen Z หรือกลุ่มคนที่มีช่วงอายุ 18-24 ปี มองหาการช้อปปิ้งแบบออฟไลน์หรือในร้านค้า ควบคู่ไปกับความต้องการความสะดวกสบายจากการซื้อขายบนโลกดิจิทัล ซึ่งเรียกพฤติกรรมการช้อปปิ้งแบบนี้ว่า “ไฮบริด” ที่ต้องการเข้าถึงสินค้าจากหลากหลายช่องทาง ทั้งออนไลน์ การเข้าถึงหน้าร้านค้าและการค้นหาข้อมูลบนสมาร์ทโฟน
ทั้งนี้พบว่า 46% ของการตัดสินใจซื้อสินค้าในขั้นตอนสุดท้ายของ Gen Z มักเกิดขึ้นภายในร้านค้า ในขณะที่ช่องทางออนไลน์มีบทบาทสำคัญในการค้นพบสินค้า โดย 88% จะหาข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าที่สนใจจากออนไลน์ก่อน และเดินทาสงไปที่ร้านร้าน ขณะที่ 80% ใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ในการค้นหาข้อมูลสินค้า ในขณะที่พวกเขากำลังเดินเลือกซื้อสินค้าอยู่ในร้านค้า
อีกทั้งยังพบว่าประสบการณ์ภายในร้านค้ายังมีความสำคัญต่อแบรนด์อย่างมาก โดย 65% ของ Gen Z ต้องการใช้ฟีเจอร์ AR ภายในร้านค้าเพื่อมีประสบการณ์ช้อปปิ้งใหม่ๆ เช่น การทดลองสินค้าแบบเสมือนจริง เป็นต้น ดังนั้นแบรนด์ต่างๆ อาจต้องหันกลับมามองการนำเทคโนโลยี AR มาใช้ภายในร้านค้ามากขึ้น
ขณะที่ 68% รู้สึกสนใจฟีเจอร์การค้นหาด้วยภาพ ด้วยการใช้กล้องถ่ายรูปบนสมาร์ทโฟค้นหาข้อมูลสินค้าเพิ่มเติม หรือตามหาร้านค้าที่ขายสินค้าลักษณะเดียวกัน หรือเป็นการสแกน QR Code รวมถึงการเข้าชมวิดีโอสั้นที่เป็นส่วนหนึ่งในการตัดสินใจซื้อของกลุ่มผู้บริโภค Gen Z ซึ่งจะเห็นได้ว่าการเข้ารับชมเนื้อหาประเภทวิดีโอสั้นมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตามหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 กลุ่ม Gen Z 88% มองว่าสมาร์ทโฟนเป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญมากที่สุดและมีแนวโน้มที่จะกดสั่งซื้อสินค้าบนสมาร์ทโฟนในระหว่างที่กำลังเดินเลือกสินค้าภายในร้านมากกว่ากลุ่มคนรุ่นอื่นๆ ถึง 1.2 เท่า
ทั้งนี้ Meta มองว่า ธุรกิจไทยควรเพิ่มโอกาสในการค้นพบสำหรับ Gen Z ผ่านประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ต่อยอดจากเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น AR และวิดีโอในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นวิดีโอในสตรีมหรือ Reels และสร้างประสบการณ์ซื้อขายที่น่าดึงดูดแต่ไร้การสัมผัสที่ยังคงสามารถรักษาความภักดีต่อแบรนด์เอาไว้
แพร ดํารงค์มงคลกุล Country Director ของ Facebook ประเทศไทย กล่าวว่า ผู้บริโภคไทยในกลุ่ม Gen Z หันมาพึ่งพาช่องทางดิจิทัลในการซื้อสินค้ามากขึ้น อัตราการโต้ตอบทางออนไลน์ระหว่าง Gen Z กับธุรกิจร้านค้ามากขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน ซึ่งโซเชียลมีเดียมีบทบาทต่อพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคกลุ่มนี้ โดย 71% ของคน Gen Z ใช้ Facebook เพื่อค้นหาสินค้า ในขณะที่ 59% ใช้งาน Facebook เพื่อค้นหาผลิตภัณฑ์และเลือกซื้อสินค้าบนแพลตฟอร์ม
ทั้งนี้ข้อมูลเชิงลึกระบุว่า ธุรกิจไทยควรเลือกใช้ช่องทางที่กลุ่มลูกค้าอยู่ ได้แก่ Facebook, Instagram และ Messengerเพื่อเชื่อมต่อและสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับคนในกลุ่ม Gen Z และต้องทำความเข้าใจความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภคกลุ่มนี้เพื่อสร้างความภักดีต่อแบรนด์
นอกจากนี้กลุ่ม Gen Z ยังคาดหวังว่าประสบการณ์การเลือกซื้อสินค้าผ่านทางโซเชียลมีเดียจะมีความเฉพาะตัวและสะดวกสบาย โดย 70% ต้องการการแนะนำผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับความต้องการของตน ซึ่งรวมไปถึงการโฆษณาแบบ Targeted Advertising
ขณะที่ 67% ของคนกลุ่มนี้ พร้อมที่จะเปิดรับแบรนด์หรือผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ หากแบรนด์มีค่านิยมที่สอดคล้องกับความเชื่อในแบบเดียวกัน ซึ่งธุรกิจต่างๆ สามารถสร้างผลลัพธ์สูงสุดในการปรับโฆษณาแบบเฉพาะตัวและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ได้ ผ่านการกำหนดเป้าหมายโฆษณาที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ หัวข้อที่กำลังมาแรง สภาพอากาศ หรือความสนใจต่างๆ ได้อย่างเฉพาะเจาะจง
อีกทั้งการสื่อสารและประสบการณ์ส่วนตัวยังเป็นองค์ประกอบสำคัญต่อพฤติกรรมการช้อปปิ้ง โดย 87% ของคนไทยในกลุ่ม Gen Z เลือกที่จะติดต่อกับธุรกิจผ่านแอปพลิเคชันส่งข้อความและ 86% ต้องการโต้ตอบกับธุรกิจผ่านทางโซเชียลมีเดีย พฤติกรรมดังกล่าวยังขยายไปถึงการเชื่อมต่อทางสังคมในภาพกว้าง รวมไปถึง Creator Economy ซึ่งกว่า 84% เลือกแบ่งปันประสบการณ์ช้อปปิ้งของตัวเองบนโซเชียลมีเดีย ในขณะที่ 64% ต้องการที่จะเลือกซื้อสินค้าผ่านครีเอเตอร์หรืออินฟลูเอนเซอร์โดยตรง
ทั้งนี้ตัวอย่างแพลตฟอร์มดิจิทัล Pomelo ได้นำกิจกรรมการตลาดผ่านการทำความเข้าใจความต้องการของลูกค้าในกลุ่ม Gen Z ระหว่างช่วงแคมเปญมหกรรมลดราคาใน Double-Day Sales ด้วยการสร้างแคมเปญการตลาดผ่านเกมด้วยเทคโนโลยี AR ที่ชื่อว่า “Snatch & Win” ซึ่ง Pomelo พบว่ามีอัตราการจดจำโฆษณาเพิ่มสูงขึ้นถึง 14.1 จุด ความชื่นชอบต่อแบรนด์เพิ่มขึ้น 7.6 จุด และความตั้งใจในการร่วมกิจกรรมเพิ่มขึ้น 5.7 จุด เป็นผลมาจากการใช้เครื่องมือสนับสนุนการค้าของ Meta ที่ช่วยดึงคนเข้ามาร่วมเล่นเกม AR และเก็บโค้ดโปรโมชั่นที่สามารถแลกใช้ได้ทันที