ตลาดน้ำอัดลมที่มีมูลค่าประมาณ 57,000 ล้านบาท ถูกถือครองด้วยโค้ก ที่มีส่วนแบ่งตลาดราว 51% ขณะที่เบอร์ 2 คือเป๊ปซี่ ที่มีส่วนแบ่งตลาดอยู่ราว 37% ซึ่งหากย้อนไปก่อนหน้านั้นกว่า 10 ปี ทั้งคู่ต่างมีส่วนแบ่งตลาดที่ขับเคี่ยวกันอย่างน่าสนใจ ในตลาดน้ำอัดลมประเภทโคล่า
โดยเป๊ปซี่เป็นผู้นำตลาด ก่อนที่จะเสียให้โค้ก หลังจากที่ไม่ได้ให้พันธมิตรที่จับมือกันมานานอย่างเสริมสุขผลิตและจัดจำหน่ายให้ เป๊ปซี่ สามารถกลับคืนสู่เกมการแข่งขันของตัวเองได้ แม้ส่วนแบ่งตลาดจะยังคงตามหลังโค้ก
แต่ มร.อชิต โจชิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด บอกไว้ในงานแถลงข่าวของบริษัทว่า เป้าหมายของเป๊ปซี่ อยู่ที่การเพิ่มส่วนแบ่งตลาดให้ได้อย่างน้อยๆ ปีละ 1% นั่นก็หมายความว่า ภายในอีก 5 - 6 ปีนับจากนี้ไป ส่วนแบ่งตลาดของเป๊ปซี่น่าจะเบียดขึ้นมาไล่กับโค้กแบบหายใจรดต้นคอ
สิ่งที่ต้องยอมรับอย่างหนึ่งก็คือ หลายเกมของการแข่งขัน เป๊ปซี่ พยายามที่จะชิงภาพของการเป็น ‘รายแรก’ ที่ทำในเรื่องดังกล่าว อย่างล่าสุดกับการแถลงข่าว ‘Pepsi Recycled PET Bottle Campaign’
เพื่อประกาศความพร้อมในการใช้ขวดจากพลาสติกรีไซเคิล 100% (ขวด rPET 100%) เป็นเจ้าแรกในตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลม ซึ่งจะวางจำหน่ายภายในเดือนเมษายน 2566 ภายใต้แคมเปญสุดว้าว ‘สำนึกซ่า กล้าเปลี่ยนเพื่อโลก’
ตอกย้ำความเป็นแบรนด์เครื่องดื่มน้ำอัดลมยอดนิยม ที่นำเสนอเทรนด์ใหม่ๆ ให้แก่ผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง และส่งเสริมภาพลักษณ์แบรนด์สุดซ่าขวัญใจวัยรุ่นที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
มร.อชิต โจชิ
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด
เรื่องของสิ่งแวดล้อม และการเติบโตที่ยั่งยืนกลายเป็นเทรนด์ที่ทุกแบรนด์ต้องให้ความสำคัญ โดยเฉพาะกับการทำตลาดที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นคนรุ่นใหม่ที่ค่อนข้างให้ความสำคัญในเรื่องนี้
ซึ่งเป๊ปซี่เอง มีการวางเป้าหมายไว้อย่างชัดเจน
โดย ซันโตรี เป๊ปซี่ โค เบฟเวอเรจ มีการวางเป้าหมายของการใช้แพ็กเกจจิ้งพลาสติกที่รีไซเคิล 100% หรือ rPET ไว้ที่ 3%ในปีนี้ และจะเพิ่มเป็น 17% ภายในปี 2030 หรืออีก 7 ปีข้างหน้า
การออกมาชิงเปิดตัวแคมเปญ ดังกล่าว จึงเป็นเสมือนกับการสื่อสารให้เห็นถึงการมีเป้าหมายอย่างชัดเจนของแบรนด์เป๊ปซี่
อนวัช สังขะทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า
ที่ผ่านมา เป๊ปซี่ ประเทศไทย มุ่งมั่นในการส่งต่อสีสันใหม่ของความอร่อย ซ่า สดชื่นในทุกโมเมนต์แห่งความสนุกให้แก่ผู้บริโภคชาวไทย ผ่านผลิตภัณฑ์ยอดนิยม ทั้งเป๊ปซี่ และเป๊ปซี่ไม่มีน้ำตาลมาอย่างต่อเนื่อง
โดยในปีนี้ได้ประกาศอีกหนึ่งความพร้อมในการใช้ขวดจากพลาสติกรีไซเคิล 100% เป็นเจ้าแรกในตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลม
นำร่องด้วยเครื่องดื่มเป๊ปซี่® ขนาด 550 มิลลิลิตร เพื่อช่วยลดปริมาณการใช้พลาสติกใหม่ (Virgin PET) อย่างเป็นรูปธรรม ผ่านแคมเปญ ‘สำนึกซ่า กล้าเปลี่ยนเพื่อโลก’ ที่ต้องการปลุกพลังความซ่าสไตล์สายกรีนของคนรุ่นใหม่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
สิ่งที่ทำออกมาจะสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของบริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัดในฐานะผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มชั้นนำภายใต้แบรนด์สินค้าของซันโทรี่ และเป๊ปซี่โคในประเทศไทย ที่มุ่งส่งเสริมการจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน
ตั้งแต่การออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ใช้ขวด PET คุณภาพดี สามารถนำกลับมารีไซเคิลได้ 100% เพื่อแปรสภาพใหม่เป็นขวดพลาสติกรีไซเคิล (recycled PET) หรือขวด rPET ซึ่งเป็นหนึ่งในเมกะเทรนด์ด้านบรรจุภัณฑ์แห่งความยั่งยืน และผู้ผลิตทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก
“ในประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุข ได้อนุญาตให้สามารถใช้ขวด rPET นำกลับมาใช้เป็นบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มได้อย่างปลอดภัย
ทั้งนี้ ตามมาตรฐานความปลอดภัยที่ อย. กำหนด โดยเราจะเริ่มเปิดตัวครั้งแรกด้วยเครื่องดื่มเป๊ปซี่ และเป๊ปซี่ไม่มีน้ำตาล ขนาด 550 มิลลิลิตร ในช่วงเดือนเมษายนนี้
ก่อนจะตามมาด้วยผลิตภัณฑ์ในเครือฯ อย่างชาอู่หลงพร้อมดื่มทีพลัส (TEA+) เป็นลำดับถัดไป
นอกจากนี้ยังมีการปรับแพ็กเกจจิ้งใหม่เป็นคำว่า ‘เป๊ปซี่ ขวดรีไซเคิล 100% (Pepsi 100% Recycled)’ เพื่อแจ้งผู้บริโภคถึงการเปลี่ยนเป็นขวด rPET อย่างเป็นทางการด้วย”
สำหรับกิจกรรมแรกภายใต้แคมเปญ ‘สำนึกซ่า กล้าเปลี่ยนเพื่อโลก’ โดยเครื่องดื่มเป๊ปซี่ และ PMCU ในครั้งนี้ จะเริ่มคิกออฟด้วยการติดตั้งถังขยะดีไซน์พิเศษสำหรับใส่ขวด PET โดยเฉพาะ บริเวณสยามสแควร์ ตั้งแต่สงกรานต์นี้ - ธันวาคม 2566
และยังได้ ‘PROXIE’ พรีเซ็นเตอร์ของเป๊ปซี่มาร่วมในงานแถลงข่าว เพื่อส่งเสริมให้คนรุ่นใหม่วัยซ่าหันมาให้ความสำคัญกับปัญหาขยะพลาสติก และการจัดการบรรจุภัณฑ์หลังการบริโภคเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะทำการเก็บรวบรวมขวด PET ใช้แล้วจากประชาชนทั่วไป รวมถึงกิจกรรมและงานอีเวนต์ต่างๆ ภายในพื้นที่สยามสแควร์ อาทิ งานสงกรานต์สยาม ผ้าขาวม้าปล่อยจอย ประจำปี 2566
หลังจากนั้นจะนำขวด PET ใช้แล้วที่รวบรวมได้ไปจัดกิจกรรมเซอร์ไพรส์ในปลายปีนี้
แพ็กเกจจิ้ง ถือเป็นด่านแรก ที่จะทำให้ผู้บริโภคสามารถจับต้อง ‘รูปธรรม’ ของเรื่องการใส่ใจสิ่งแวดล้อม เนื่องจากเป็นตัวที่ถูกใช้โดยตรง การทำให้แพ็กเกจจิ้งสามารถนำกลับมาใช้ได้แบบ 100% จึงน่าจะเป็นการช่วยลดการใช้พลาสติกที่มีผลต่อสิ่งแวดล้อมได้ค่อนข้างดี
ไม่เพียงเท่านี้ ยังเป็นการชิงลงมือประกาศความพร้อมก่อนคู่แข่งสำคัญ ซึ่งน่าจะช่วยทำให้สามารถปักธงเข้าไปในการสร้างการรับรู้ในใจของผู้บริโภคได้เป็นแบรนด์แรก อีกด้วย
ในการนี้ เป๊ปซี่ มีการจับมืออย่างใกล้ชิดกับ บริษัท เอ็นวิคโค จำกัด (ENVICCO) ผู้ผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง เพื่อที่จะทำเรื่องนี้ให้เป็นรูปธรรมโดยตรง
ณัฐนันท์ ศิริรักษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็นวิคโค จำกัด (ENVICCO) กล่าวถึงมาตรฐานความปลอดภัยและคุณภาพของบรรจุภัณฑ์รีไซเคิลที่ผลิตจาก PCR PET (Post-Consumer Recycled PET) ว่า
“เอ็นวิคโค ก่อตั้งขึ้นจากแนวคิดพื้นฐาน 3 ประการ ได้แก่ สิ่งแวดล้อม (Environment) การหมุนเวียน (Circular) และการทำงานร่วมกัน (Collaboration) โดยส่งเสริมความร่วมมือและสนับสนุนการดำเนินงานของภาคส่วนต่างๆ ในสังคมผ่านการนำหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียนมาปรับใช้ เพื่อสนับสนุนการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่ามากที่สุด
ซึ่งวัตถุดิบทั้งหมด 100% เป็นพลาสติกใช้แล้วในประเทศไทย จากเครือข่ายพันธมิตรและชุมชนต่างๆ
โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ การคืนคุณค่าให้กับพลาสติกใช้แล้วให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่คุณภาพสูง ด้วยการใช้เทคโนโลยีการรีไซเคิลที่ทันสมัย ควบคุมการผลิตตลอดกระบวนการโดยห้องปฏิบัติการมาตรฐานยุโรปภายในโรงงาน
เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกรีไซเคิล PCR PET 100% ภายใต้แบรนด์ InnoEco เกรดสัมผัสอาหารที่มีคุณภาพสูง ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล ทั้ง USFDA และ อย. เป็นรายแรกของประเทศไทย สามารถใช้ผลิตเป็นภาชนะบรรจุภัณฑ์สัมผัสอาหารได้ พร้อมได้รับรางวัลจากเวทีระดับโลกมากมาย ซึ่งช่วยการันตีถึงคุณภาพและความน่าเชื่อถือของเรา”
“ในฐานะของ ผู้จัดจำหน่ายเม็ดพลาสติกรีไซเคิล ชนิด PCR PET ให้แก่ทางบริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด ขอยืนยันให้ผู้บริโภคมั่นใจถึงคุณภาพของเม็ดพลาสติกรีไซเคิลที่ใช้ผลิตเป็นบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มเป๊ปซี่ว่ามีคุณสมบัติโดดเด่น ทั้งความสะอาด และปลอดภัยตามมาตรฐาน อย. อย่างแน่นอน”
งานนี้ จึงถือเป็นอีกเกมการแข่งขัน ที่มองข้ามไม่ได้....