‘Apple’ เป็นที่รู้จักกันดีที่สุดสำหรับผู้ที่เข้ามาเปลี่ยนเกมผ่านการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่แม้ไม่ได้เป็นรายแรก แต่มักจะได้รับความสนใจจากโลกเทคโนโลยีอยู่เสมอ
ตัวอย่างการเปลี่ยนโลกของ Apple เกิดขึ้นแล้วกับ iPod ที่มีส่วนสำคัญในการเปลี่ยนวิธีที่โลกใช้สำหรับการฟังเพลง
ขณะที่การเปิดตัว iPhone ถือเป็นจุดเริ่มต้นของยุคสมาร์ทโฟนที่ทำให้ฟีเจอร์โฟนต้องล้มหายตายจากไป
นอกจากนี้ยังช่วยให้แท็บเล็ตและสมาร์ทวอทช์รุ่นใหม่กลายเป็นอุปกรณ์เสริมที่ต้องมีด้วย iPad และ Apple Watch
Apple มาแล้ว!
หลังจากข่าวลือที่เกิดขึ้นเป็นระยะเวลาหลายปี และหนักมากขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
ในที่สุด Apple ก็ได้ใช้การประชุม Worldwide Developers Conference (WWDC) ประจำปี 2023 เป็นเวทีสำหรับเปิดตัวสินค้าใหม่ที่ชื่อว่า ‘Apple Vision Pro’
“นี่เป็นวันที่ใช้เวลาหลายปีในการสร้าง เป็นวันที่ฉันตั้งตารอเป็นอย่างยิ่ง” Tim Cook ซีอีโอของ Apple กล่าว
"ในลักษณะเดียวกับที่ Mac แนะนำให้เรารู้จักคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล และ iPhone แนะนำให้เรารู้จักคอมพิวเตอร์พกพา
Apple Vision Pro จะแนะนำให้เรารู้จัก Spatial Computing”
Spatial Computing หรือแปลเป็นไทยว่า ‘การประมวลผลเชิงพื้นที่’ ถือเป็นคนที่คนทั่วไปอาจจะไม่คุ้นหู
อธิบายให้เข้าใจง่าย Spatial Computing คือการคำนวณเชิงพื้นที่ผสมผสานวัตถุทางกายภาพและดิจิทัลเข้าไว้ด้วยกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ชีวิตในโลกจริง
และยังช่วยให้องค์กรได้รับประโยชน์จากสินทรัพย์ทางกายภาพและดิจิทัลมากขึ้น ผ่านการแสดงข้อมูลดิจิทัลที่เกี่ยวข้อง และที่อาจ ‘มองไม่เห็น’
รวมถึงเนื้อหาที่ยึดโยงผู้คน สถานที่ และสิ่งต่างๆ
Gartner คาดการณ์ว่าภายในปี 2026 แว่นตาคำนวณเชิงพื้นที่ (Spatial Computing Glasses) รุ่นที่สอง และสามจะมาถึงในตลาด
ก่อให้เกิดประสบการณ์ Metaverse ที่เชื่อมโยงกับโลกจริงๆ ได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้น
แน่นอน ‘Apple Vision Pro’ คือหนึ่งในแว่นตาที่ว่านั้น
ยุคใหม่สำหรับการประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์
Apple ถึงกับบอกว่า นี่จะเป็น ‘ยุคใหม่สำหรับการประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์’
เพราะ Apple Vision Pro คือ Spatial Computer สำหรับการประมวลผลเชิงพื้นที่ระดับปฏิวัติวงการที่ล้ำหน้าไปไกลและแตกต่างจากทุกอย่างที่เคยสร้างมา
ด้วยการทำงานที่ขยายข้ามขอบเขตของจอภาพแบบเดิม โดยอาศัยอินเทอร์เฟซที่มีความเป็น 3 มิติในทุกๆ ส่วน
และควบคุมด้วยวิธีป้อนคำสั่งที่เรียบง่ายและเป็นธรรมชาติที่สุด นั่นคือดวงตา มือ และเสียงของผู้ใช้
พร้อมกันนี้ยังมี visionOS ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการเชิงพื้นที่ระบบแรกของโลก ช่วยให้ผู้ใช้ Vision Pro สามารถโต้ตอบกับคอนเทนต์ดิจิทัลในแบบที่ให้ความรู้สึกราวกับว่ามีสิ่งนั้นอยู่ในพื้นที่ของผู้ใช้จริงๆ
นอกจากนี้ ชุดหูฟังติดตามข้อมูลจำนวนมหาศาลโดยใช้ Lidar, กล้อง TrueDepth และกล้องอื่นๆ อีกมากมายเพื่อติดตามการเคลื่อนไหวของมือ Vision Pro
มีชิป M2 อยู่ข้างในเช่นเดียวกับ Mac รุ่นล่าสุด แต่ก็ยังใช้พลังงานจากชิปใหม่ที่เรียกว่า R1 ซึ่งประมวลผลข้อมูลจากกล้อง 12 ตัว เซ็นเซอร์ 5 ตัว และไมโครโฟน 6 ตัวแบบเรียลไทม์
ในด้านการออกแบบนั้นมีความสวยงามตามแบบฉบับ Apple อย่างชัดเจน
โดยจอแสดงผลซึ่งประกอบด้วยกระจกด้านหน้าและกรอบอะลูมิเนียม เชื่อมต่อกับแถบคาดศีรษะแบบนุ่มที่ผู้สวมใส่สามารถปรับให้พอดีหรือเปลี่ยนออกได้
ชุดหูฟังมีสายถักแบบบางที่ต่อกับชุดแบตเตอรี่อะลูมิเนียมภายนอกขนาดเท่าสำรับไพ่ ซึ่งผู้สวมใส่สามารถสอดเข้าไปในกระเป๋าเสื้อได้
Apple อ้างว่าได้ศึกษาศีรษะนับพันอันเป็นส่วนหนึ่งของการวิจัยในการออกแบบชุดหูฟัง ผู้ที่สวมแว่นตาจะสามารถใช้ชุดหูฟังได้เช่นกัน
ไม่แปลกที่ Apple จะเรียก Vision Pro ว่า ‘อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ส่วนบุคคลที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยมีมา’
บ่งบอกถึงความหวังที่เหลือล้นสำหรับชุดหูฟังความเป็นจริงผสมที่เพิ่งเปิดตัว
นี่ยังถูกมองว่า จะเป็นแรงผลักดันให้เกิดการปฏิวัติครั้งใหม่ในเทคโนโลยีอุปกรณ์สวมใส่ ท่ามกลางคำถามสำคัญว่า
จะสามารถประสบความสำเร็จได้จริงๆ หรือไม่ในขณะที่หลายคนล้มเหลวไม่เป็นท่า ?
เศษซากของความล้มเหลว
ประวัติศาสตร์ของแว่นตาความเป็นจริงเสมือนแบบผสมผสานและเสมือนจริงนั้นเต็มไปด้วยเศษซากของโครงการที่ล้มเหลวในอดีต
"เราได้เห็นความเป็นจริงเสริมและผลิตภัณฑ์เสมือนจริงที่หลากหลาย ซึ่งได้รับการโฆษณาเกินจริงและไม่เป็นไปตามสิ่งที่ได้โฆษณาไว้”
Mar Hicks นักประวัติศาสตร์ด้านเทคโนโลยีและศาสตราจารย์แห่งสถาบันเทคโนโลยีอิลลินอยส์กล่าว
ตัวอย่างเช่น Virtual Boy ของ Nintendo ซึ่งอ้างว่าสามารถนำเสนอกราฟิกสามมิติ (3D) แบบ ‘สามมิติ’ ในขณะที่เล่นเกม แต่ Virtual Boy ประสบปัญหาราคาแพงเกินไป เกะกะเกินไป และไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ
ในปี 2013 ความตื่นเต้นได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งด้วยแคมเปญ Kickstarter ของ Oculus Oculus VR ตั้งเป้าหมายที่จะระดมทุน 250,000 ดอลลาร์ สำหรับชุดหูฟังซึ่งสัญญาว่าจะมอบประสบการณ์การเล่นเกมที่ไม่เหมือนใคร
Oculus เป็นเรื่องราวความสำเร็จที่หาได้ยากในยุคแรกๆ ของประวัติศาสตร์ล่าสุดของชุดหูฟัง VR มากจน Facebook (ปัจจุบันคือ Meta) ซื้อไปในเดือนมีนาคม 2014 ในราคา 2 พันล้านดอลลาร์
การซื้อกิจการของ Oculus นำเทคโนโลยีขนาดใหญ่มาสู่เกม และ Meta ยังคงเป็นผู้เล่นหลักในพื้นที่ในขณะที่สร้างโลกเสมือนใหม่ที่เรียกว่า Metaverse
แต่ในขณะที่เข้าสู่โลก VR ของ Meta ดูเหมือนจะช่วยให้เทคโนโลยีกลายเป็นที่รู้จักมากขึ้น
กระนั้นการสนับสนุนจากบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ไม่ได้หมายความว่าจะประสบความสำเร็จเสมอไป
Google ก็ ‘พัง’ มาแล้ว
เมื่อสิบปีที่แล้ว Google ได้เปิดตัว Google Glass ซึ่งเป็นความพยายามในการก้าวเข้าสู่โลก AR/VR โดยผู้สวมแว่นตาจะมองเห็นโลกด้วยเลเยอร์กราฟิกของข้อมูลดิจิทัลผ่านมุมมองของพวกเขา
แต่ที่สุดแล้วแว่นตานี้ถูกมองว่าไม่ทันสมัย ใช้งานยากและหลายคนคัดค้านการมีกล้องในตัวให้ผู้ใช้สามารถบันทึกโลกรอบตัวได้ ซึ่งถูกมองว่า เป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล
"ฉันลองใช้ Google Glass เป็นระยะเวลานานในปี 2013 และพบว่าประสบการณ์นี้น่าสนใจ” Ernie Smith นักข่าวด้านเทคโนโลยีของ Tedium กล่าวพร้อมกับให้มุมมองว่า
“ถ้าวันนี้ Google เปิดตัวพร้อมกับเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากกว่านี้ มัน (Google Glass) น่าจะได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่นมากกว่านี้”
สองปีหลังจากการเปิดตัว Google Glass ได้มีบริษัท Magic Leap ประกาศระดมทุนในการสร้างแว่นตาความเป็นจริงเสมือนแบบผสมผสานและเสมือนจริง
ซึ่งได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก สะท้อนจากการได้รับการระดมเงินลงทุนได้มากกว่าบริษัทอื่นๆ ในตลาดในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาสำหรับแว่นตาความจริงเสริม
หลังจากใช้เวลา 3 ปีในการพัฒนา ในเดือนสิงหาคม 2018 Magic Leap ได้เปิดตัวสินค้าโดยมีเป้าหมายในการขายชุดหูฟังให้ได้ 100,000 ชุดในปีแรก
ทว่า 6 เดือนหลังจากวางจำหน่าย มีรายงาน ว่าบริษัทขายได้เพียง 6,000 เครื่อง เท่านั้น
ส่วนหนึ่งของปัญหาคือราคาของ Gizmo ด้วยตัวเลข 2,300 ดอลลาร์ (1,800 ปอนด์) ทำให้เกิดการตั้งคำถามถึงคุณภาพที่ได้รับ ถึงการไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย
จะได้งานได้อย่างไร?
นอกจากนี้สิ่งที่ท้าทายสำหรับแว่นตา AR/VR คือ ผู้บริโภคพยายามหาการใช้งานที่ต้องเกี่ยวข้องกับอุปกรณ์เหล่านี้ หนึ่งในตัวอย่างที่ทำให้คนทั่วไปเปิดประสบการณ์ AR/VR คือการมาถึงของเกม Pokemon GO ซึ่งผู้คนสามารถพบตัวการ์ตูนน่ารักปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์เมื่อมองโลกแห่งความจริงผ่านกล้อง
ในไม่ช้า เมืองต่างๆ ก็เต็มไปด้วยแฟนๆ ที่ถือสมาร์ทโฟน ซึ่งสร้างความหวาดกลัวว่ามันกำลังเพิ่มอุบัติเหตุร้ายแรงบนถนนที่พลุกพล่าน
กระนั้นความกระตือรือร้นสำหรับเกมก็มอดลงในไม่ช้า นั้นเป็นเพราะเทคโนโลยี AR จำนวนมากประสบปัญหาในการเชื่อมต่อกับผู้คนทั่วไป หรือเชื่อมต่อได้เพียงชั่วครู่ชั่วยามในฐานะที่เป็นแฟชั่นหรือเกม ซึ่งแม้แต่ Apple ก็ถูกมองว่า ยังไม่น่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องดังกล่าวในระยะเวลาอันนั้นนี้
แต่ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าการพัฒนาที่สำคัญ 2 ประการในเทคโนโลยีพื้นฐานที่อยู่เบื้องหลังแว่นตาดังกล่าว จะทำให้ Apple มีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่าที่เคยเป็นมา
เทคโนโลยีการติดตามที่ระบุว่าผู้สวมแว่นตาอยู่ตำแหน่งใดในโลก และซ้อนอินเทอร์เฟซแบบกราฟิกในตำแหน่งที่เหมาะสม ได้ก้าวไปสู่จุดที่สามารถทำได้แบบเรียลไทม์
นอกจากนี้เทคโนโลยีการแสดงผลกราฟิกก็เร็วขึ้นเช่นกัน หมายความว่ามีความล่าช้าน้อยลงระหว่างการกระทำต่างๆ
(Apple อ้างว่าชิปคอมพิวเตอร์ R1 ที่ฝังอยู่ภายในอุปกรณ์สามารถสตรีมภาพใหม่ได้ภายใน 12 มิลลิวินาทีซึ่งเร็วกว่าการกะพริบตาถึงแปดเท่า)
กระนั้นยังคงมีปัญหาของช่องว่างระหว่างความเป็นจริงกับการโฆษณาว่า นี่เป็นประสบการณ์ใหม่ที่นำพาไปสู่การใช้งานจริงได้หรือไม่
ราคาสมกับเป็น Apple
Apple ได้สร้างชื่อเสียงในด้านการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ แม้ว่าจะมีราคาระดับพรีเมียมก็ตาม
เช่นเดียวกัน Apple Vision Pro ที่มาพร้อมกับราคาแสนมหัศจรรย์ด้วยตัวเลข 3,500 ดอลลาร์ หรือราว 123,000 บาท
เรียกว่า แพงมากสำหรับแว่นตาที่ยังไม่สามารถการันตีได้ว่า จะสามารถนำไปใช้ด้านใดในชีวิตประจำวันได้บ้าง
เทียบให้เห็นว่า ราคาของ Apple Vision Pro แพงกว่า 5 เท่า เมื่อปรับตามอัตราเงินเฟ้อ หากวัดจากราคาของ iPhone รุ่นแรกที่วางจำหน่ายในปี 2007
ด้วยราคาดังกล่าวจึงอาจเป็นเรื่องยากที่ Apple จะโน้มน้าวใจผู้ใช้จำนวนมากให้มาลองใช้
ดังนั้นนักวิจารณ์ด้านเทคโนโลยีบางคนแนะนำว่า Apple ควรกำหนดเป้าหมาย Vision Pro เวอร์ชั่นแรก ไปที่ผู้ใช้ที่เชี่ยวชาญ
เช่น สถาปนิก ซึ่งสามารถใช้ความเป็นจริงเสริมเพื่อจินตนาการว่าอาคารจะมีลักษณะอย่างไร
แล้วค่อยหวังลูกค้าเป็นกลุ่มคนทั่วไปเมื่อราคาลดลงเนื่องจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
การมุ่งเป้าไปที่ลูกค้าเฉพาะกลุ่มซึ่งเป็นเส้นทางที่คู่แข่งของ Apple อย่าง Microsoft ล้มเหลว เมื่อเปิดตัวชุดหูฟังความเป็นจริงผสม Hololens ในปี 2016
โดยนักวิเคราะห์ IDC กล่าวว่า การเปิดตัวดังกล่าวไม่ได้ทำให้โลกลุกเป็นไฟ เพราะ Microsoft สามารถขายอุปกรณ์ได้ 300,000 เครื่องตั้งแต่เปิดตัว
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ Hololens ขาดคือ จำนวนผู้ใช้ ซึ่งชดเชยด้วยวิธีที่พยายามทำให้ตัวเองมีประโยชน์อย่างการนำมาใช้เพื่อช่วยศัลยแพทย์ในการทำหัตถการที่ซับซ้อนในสมองและเพื่อช่วยในการผ่าตัดมะเร็งลำไส้
และเมื่อเร็วๆ นี้ Microsoft ได้ประกาศข้อตกลงมูลค่า 21.9 พันล้านดอลลาร์ เพื่อจัดหาชุดหูฟัง 120,000 ชุดให้กับกองทัพสหรัฐฯ
ขายได้เท่าไรยังต้องลุ้น
Apple Vision Pro จะไม่สามารถสั่งซื้อได้จนถึงต้นปีหน้าในสหรัฐอเมริกา และในปีถัดไปสำหรับตลาดอื่นๆ
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ต้องรู้คือ ตลาดสำหรับอุปกรณ์ VR ยังมีขนาดเล็กมาก
สะท้อนจากยอดขายจอแสดงผลสำหรับ VR และการใช้งานที่เกี่ยวข้องที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 18% เป็น 16 ล้านเครื่อง
ในขณะที่บริษัทวิจัย Display Supply Chain Consultants (DSCC) ของสหรัฐฯ รายงานในเดือนพฤษภาคมว่า
นี่ถือเป็นสัดส่วนเล็กน้อยของสมาร์ทโฟนมากกว่า 1 พันล้านเครื่องที่จัดส่งทั่วโลกในแต่ละปี
Guillaume Chansin ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยจอภาพของ DSCC กล่าวว่า
ยอดขายอุปกรณ์ VR นั้นน่าผิดหวัง และอุปกรณ์ของ Apple มีแนวโน้มว่าจะขายเพียงเล็กน้อยในตอนแรก
ขณะที่นักวิเคราะห์คนหนึ่งบอกกับ BBC ว่า พวกเขาเชื่อว่า Apple สามารถขายชุดหูฟัง Vision Pro ได้มากถึง 150,000 ชุดในปีแรกที่วางจำหน่าย
ด้าน Dan Ives กรรมการผู้จัดการของ Wedbush Securities กล่าวว่า
"ในขณะที่ชุดหูฟัง AR อื่นๆ ประสบความสำเร็จเพียงเล็กน้อย แต่เราเชื่อว่า Vision Pro ของ Apple จะมาพร้อมกับแอปและกรณีการใช้งานมากมาย ที่จะทำให้ผลิตภัณฑ์ใหม่นี้แตกต่างจากคลังฮาร์ดแวร์อื่นๆ ของ Apple”
ขณะเดียวกันชุดหูฟังของ Apple เป็นข่าวดีสำหรับผู้เล่นที่มีอยู่แล้วในตลาดอุปการณ์เสมือนจริงและความเป็นจริงเสริม
แม้ว่าจะทำให้การแข่งขันรุนแรงขึ้น ทว่าการปรากฏตัวของ Apple จะกระตุ้นความสนใจในอุตสาหกรรมและการลงทุนในระบบนิเวศ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้เล่นทุกคน
“ความได้เปรียบของ Apple เหนือคู่แข่งคือระบบปฏิบัติการบนชุดหูฟังใหม่นี้จะทำให้ผู้ใช้คุ้นเคยในทันที และเนื้อหาทั้งหมดของพวกเขา เช่น รูปภาพ ภาพยนตร์ เพลง และอื่นๆ จะพร้อมใช้งานทันที”
การจะบอกว่า Apple Vision Pro จะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวนั้นยังต้องรอให้ถึงเวลาที่ขายจริงๆ
สำหรับ Apple ‘เวลา’ ไม่ได้ถือว่าเป็นความท้าทายมากนัก เพราะ Apple ได้บทเรียนจากการใช้เวลา 8 เดือนในระหว่างเปิดตัวและก่อนที่ Apple Watch รุ่นแรก
ถึง Apple Watch จะได้รับคำปรามาสมากมาย ในที่สุดนาฬิกาก็กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ประสบความสำเร็จ
โดยสร้างรายได้เกือบ 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว ตามการประมาณการของ Visible Alpha
แต่นั่นต้องใช้เวลาในการสร้างและพัฒนาให้มีจุดขายที่ชัดเจนในการตรวจสอบสุขภาพและการติดตามการออกกำลังกาย
แต่ก็ยังมีข่าวดีสำหรับ Apple เพราะมีสถิติที่เผยว่า กลุ่มรุ่นเก่าซึ่งโดยทั่วไปไม่คุ้นเคยกับเทคโนโลยี มีแนวโน้มน้อยกว่าที่จะเป็นเจ้าของอุปกรณ์ Apple หลายเครื่อง
ในทางกลับกันคนหนุ่มสาวที่เป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ Apple มักจะเป็นเจ้าของอุปกรณ์หลายเครื่องและมีส่วนร่วมกับระบบนิเวศของ Apple อย่างจริงจัง
ลูกค้าอายุน้อยเหล่านี้มีเวลาอีกมากที่จะสามารรอคอยเทคโนโลยีในอนาคต ในขณะที่ Apple ปรับปรุง Vision Pro อย่างต่อเนื่อง
หากราคาของชุดหูฟังลดลงเมื่อเวลาผ่านไป อาจทำให้ผลิตภัณฑ์น่าสนใจยิ่งขึ้นสำหรับผู้ใช้อายุน้อยที่อาจไม่มีทรัพยากรทางการเงินเท่ากับผู้ใช้รุ่นเก่า
ดังนั้นพวกเขาอาจมีแนวโน้มที่จะซื้อชุดหูฟังและกระตุ้นให้เกิดการนำไปใช้มากขึ้น
แม้ว่า Vision Pro จะไม่ได้แทนที่ iPhone ในฐานะอุปกรณ์คอมพิวเตอร์หลัก แต่ก็ไม่น่าจะล้มเหลวในฐานะ ‘ผลิตภัณฑ์’ สักชิ้นหนึ่ง