ยูโอบีประกาศผลกำไรสุทธิ ครึ่งปีแรก พุ่งแตะ 3.1 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์
09 Aug 2023

กลุ่มธนาคารยูโอบีประกาศผลกำไรสุทธิจากธุรกิจหลักในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 อยู่ที่ 3.1 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 53 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ด้วยแรงหนุนจากผลกำไรที่เติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งจากแฟรนไชส์ธุรกิจ ผลกำไรสุทธิจะอยู่ที่ 2.9 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์หากรวมค่าใช้จ่ายครั้งเดียวที่เกิดขึ้นจากการรวมธุรกิจจากซิตี้กรุ๊ป

 

คณะกรรมการบริษัทเสนอจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลที่ 85 เซ็นต์ต่อหุ้นสามัญหรือคิดเป็นอัตราการจ่ายเงินตอบแทนอยู่ที่ประมาณร้อยละ 49 เพิ่มขึ้นร้อยละ 42 จากเงินปันผลระหว่างกาลที่เสนอจ่ายเมื่อปีที่ผ่านมา

 

ผลกำไรสุทธิจากธุรกิจหลัก1 ในไตรมาส 2 ปี 2566 เพิ่มขึ้นร้อยละ 35 หรือ 1.5 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ เมื่อเทียบกับปี 2565  โดยรายได้จากดอกเบี้ยรับสุทธิปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากถึงร้อยละ 31 ในขณะที่รายได้อื่นๆ เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว จากรายได้จากการบริหารตลาดเงินที่เกี่ยวกับลูกค้าที่เพิ่มสูงขึ้น และผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งจากกิจกรรมที่เกี่ยวกับการค้าและการบริหารสภาพคล่อง (trading and liquidity management) ผลกำไรสุทธิประจำไตรมาส 2 ปี 2566 จะอยู่ที่ 1.4 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ หากรวมค่าใช้จ่ายครั้งเดียวที่เกิดขึ้นจากการควบรวมธุรกิจจากซิตี้กรุ๊ป

คุณภาพของสินทรัพย์มีความแข็งแกร่ง โดยมีอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) อยู่ที่ร้อยละ 1.6 เงินกันสำรองต่อเงินให้สินเชื่อยังคงอยู่ที่ 30 จุด นอกเหนือจากความเสี่ยงเฉพาะ (specific exposure) เงินกันสำรองยังอยู่ในระดับที่คงที่ กลุ่มธนาคาร     ยูโอบียังมีการตั้งสำรองที่เพียงพอเพื่อรองรับเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง 

 

รายได้จากกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ (Wholesale Banking) ประจำงวดครึ่งปีแรกของปี 2566 เติบโตขึ้นร้อยละ 24 อยู่ที่ 3.6 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ เมื่อเทียบกันช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลจากการที่กลุ่มธนาคารให้ความสำคัญกับการปล่อยสินเชื่อคุณภาพดี ยอดปล่อยสินเชื่อกลับมาเติบโตเพิ่มขึ้นที่ร้อยละ 2 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสก่อน จากการซื้อขายและการปล่อยสินเชื่อที่ช่วยขับเคลื่อนกิจกรรมของลูกค้าเดิมของธนาคาร

ในขณะที่รายได้ข้ามพรมแดนปรับตัวขึ้นร้อยละ 17 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้า ซึ่งเกิดจากความเชื่อมโยงของกลุ่มธนาคารที่เข้มแข็ง ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอน ในขณะที่การให้บริการธุรกรรมธนาคาร (Transaction Banking) ขยายตัวคิดเป็นร้อยละ 53 ของรายได้จากกลุ่มลูกค้ารายใหญ่

 

รายได้ของกลุ่มลูกค้ารายย่อย (Retail) ในครึ่งปีแรกปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 58 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา อยู่ที่ 2.7 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งจากการฟื้นตัวของการใช้จ่ายของผู้บริโภค และการรวมพอร์ตโฟลิโอจากซิตี้กรุ๊ปในภูมิภาค เงินฝากของกลุ่มลูกค้ารายย่อยมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

ประกอบกับปัจจุบันมีการไหลเข้าใหม่ของอัตราเงินฝากสุทธิจากกลุ่มลูกค้ามั่งคั่งอยู่ที่ 12 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ทำให้สินทรัพย์ภายใต้จากการบริหารจัดการของธนาคารเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 165 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ19 จากปีทีผ่านมา

 


 

วี อี เชียง รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารยูโอบี กล่าวว่า

“เราสามารถสร้างผลงานในครึ่งปีแรกนี้ได้อย่างน่าชื่นชม ด้วยผลกำไรสุทธิที่ทำสถิติเพิ่มสูงขึ้น จากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่แข็งแกร่ง รายได้จากการซื้อขายและการลงทุน นอกจากนี้ความต่อเนื่องในการขยายฐานลูกค้าทั่วภูมิภาคยังส่งเสริมให้งบการเงินของกลุ่มธนาคารมีความเข้มแข็ง

ถึงแม้การคาดการณ์สถานการณ์เศรษฐกิจทั่วโลกยังมีความไม่แน่นอน เราคาดว่าภูมิภาคอาเซียนสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับปานกลางทั่วภูมิภาค และจากภาคธุรกิจท่องเที่ยวและบริการที่กลับมาฟื้นตัว

 

การซื้อกิจการธุรกิจลูกค้ารายย่อยของซิตี้กรุ๊ปของเรากำลังเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง ทำให้สถานะทางการตลาดของเรามีความเข้มแข็งและมีฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น ซึ่งช่วยสร้างโอกาสในการแสวงหาความร่วมมือระดับโลก และยกระดับการให้บริการแก่ลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ท่ามกลางสถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอนในปัจจุบัน เรายึดมั่นที่จะสนับสนุนลูกค้า และสร้างคุณค่าให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เราตั้งใจจะลงทุนและสร้างแฟรนไชส์ระดับภูมิภาคของเราให้เติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว”

 

ผลการดำเนินงานทางการเงิน

 

กำไรสุทธิครึ่งปีแรก ปี 2566 เปรียบเทียบกับกำไรสุทธิครึ่งปีแรก ปี 2565

กำไรหลักสุทธิครึ่งปีแรก ปี 2566 ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 53 จากปีก่อนหน้า มาอยู่ที่ 3.1 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ โดยได้รับแรงหนุนจากรายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิที่แข็งแกร่ง และรายได้จากการซื้อขายและการลงทุน ผลกำไรสุทธิจะอยู่ที่ 2.9 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์หากรวมค่าใช้จ่ายครั้งเดียวที่เกิดขึ้นจากการควบรวมธุรกิจจากซิตี้กรุ๊ป

รายได้จากดอกเบี้ยรับสุทธิปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 37 อยู่ที่ 4.8 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ จากการขยายตัวของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิที่แข็งแกร่งที่ 50 จุด อยู่ที่ร้อยละ 2.13 จากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น

ค่าธรรมเนียมสุทธิและรายได้จากคอมมิชชันปรับลดลงอยู่ที่ 1.1 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ จากการปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำและการดำเนินกิจกรรมในตลาดทุน ในขณะที่ทัศนคติของนักลงทุนที่ยังคงมีความระมัดระวังส่งผลต่อการฟิ้นตัวของการบริหารความมั่งคั่ง อย่างไรก็ดีค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตทำสถิติเพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ สืบเนื่องจากยอดค่าใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตที่ต่อเนื่อง และจากการเข้าซื้อกิจการธุรกิจลูกค้ารายย่อยจากซิตี้กรุ๊ปจาก 3 ประเทศในภูมิภาคนี้

รายได้อื่นๆ เติบโตขึ้นถึง 1.1 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ เป็นผลมาจากรายได้จากการบริหารตลาดเงินที่เกี่ยวกับลูกค้าที่ทำสถิติสูงสุดใหม่ จากการเพิ่มขึ้นของความต้องการป้องกันความเสี่ยง (hedging demand) และผลการดำเนินการที่ดีจากกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายและการบริหารสภาพคล่อง

 

ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานหลักรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 29 อยู่ที่ 2.9 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ แต่การเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายยังน้อยกว่ารายได้ที่เติบโตขึ้นส่งผลให้อัตราค่าใช้จ่ายต่อรายได้ปรับตัวดีขึ้นร้อยละ 3.4 อยู่ที่ร้อยละ 40.9 กลุ่มธนาคารยูโอบีให้ความสำคัญกับการลงทุนเชิงกลยุทธ์ เช่น การลงทุนในบุคคลากร และเทคโนโลยี และการมีวินัยในการใช้จ่าย

เงินกันสำรองเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 534 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ในครึ่งปีแรกของปีนี้ จากเดิมอยู่ที่ 315 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ในปีที่ผ่านมา โดยเงินกันสำรองเฉพาะรายเพิ่มสูงขึ้นจากการตั้งสำรองของลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ในประเทศไทย ประกอบกับมีการตั้งเงินกันสำรองเชิงรุกเพื่อชดเชยอย่างรอบคอบ ทำให้เงินกันสำรองต่อเงินให้สินเชื่อเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 27 จุด ในครี่งปีแรกของปี 2566

 


 

ไตรมาส 2 ปี 2566 เปรียบเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2566

กำไรหลักสุทธิสำหรับไตรมาส 2 ปรับลดลงร้อยละ 4 อยู่ที่ 1.5 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ผลกำไรสุทธิจะอยู่ที่ 1.4 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์หากรวมค่าใช้จ่ายครั้งเดียวในการซื้อกิจการ

 

รายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิยังคงที่อยู่ที่ 2.4 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ จากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิยังทรงตัวอยู่ที่ร้อยละ 2.12 เนื่องจากสภาพคล่องส่วนเกินถูกนำไปใช้ในสินทรัพย์คุณภาพสูงที่ให้ผลตอบแทนต่ำ ในขณะที่ส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยในการให้สินเชื่อปรับขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 2.62 รายได้จากค่าธรรมเนียมสุทธิลดลงร้อยละ 5 จากไตรมาสที่แล้ว มาอยู่ที่ 524 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ เป็นผลมาจากค่าธรรมเนียมกลุ่มความมั่นคั่งปรับตัวลดลง เนื่องจากทัศนคติของนักลงทุนยังไม่เปลี่ยนแปลง รายได้อื่นๆปรับตัวขึ้นร้อยละ 3 อยู่ที่ 581 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ สืบเนื่องจากรายได้จากการซื้อขายและการลงทุนทำสถิติสูงขึ้นใหม่ในไตรมาสนี้อีกครั้ง

 

อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว โดยคงอยู่ที่ร้อยละ 40.9 เงินกันสำรองเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 365 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ทำให้เงินกันสำรองรวมต่อเงินให้สินเชื่อเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 30 จุด ซึ่งมีผลมาจากการตั้งสำรองสำหรับลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ในประเทศไทย รวมถึงมีการตั้งสำรองเชิงรุกเพื่อชดเชยไว้เพิ่มเติม

 

ไตรมาสที่ 2 ปี 2566 เปรียบเทียบกับไตรมาสที่ 2 ปี 2565

รายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 31 จากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิที่ปรับเพิ่มขึ้น 45 จุด ค่าธรรมเนียมจากกิจกรรมที่เกี่ยวกับสินเชื่อ และค่าธรรมเนียมจากการบริหารจัดการความมั่งคั่งปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว จากทัศนคติของผู้ลงทุนที่ยังมีความอ่อนไหว

แต่เนื่องจากค่าธรรมเนียมจากบัตรเครดิตที่เพิ่มขึ้นลดผลกระทบที่เกิดขึ้นได้ รายได้อื่นๆ เติบโตอย่างรวดเร็วอยู่ที่ 581 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ โดยได้อานิสงส์จากรายได้ของการบริหารตลาดเงินที่เกี่ยวกับลูกค้าที่เพิ่มสูงขึ้น และผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งจากกิจกรรมที่เกี่ยวกับการค้าและการบริหารสภาพคล่อง (trading and liquidity management) ในไตรมาสนี้

 

อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ปรับตัวดีขึ้น 2.9 จุด อยู่ที่ร้อยละ 40.9 ได้แรงหนุนจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งบวกกับการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายอย่างมีวินัย ทำให้การกันสำรองต่อเงินให้สินเชื่อเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 30 จุดจากการตั้งเงินสำรองเชิงรุกเพื่อชดเชยไว้เพิ่มเติม

 


 

คุณภาพของสินทรัพย์

ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2566 คุณภาพของสินทรัพย์ยังคงมีเสถียรภาพ โดยมีอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) อยู่ที่ร้อยละ 1.6 อัตราส่วนความเพียงพอของเงินกันสำรองของสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ยังคงอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ร้อยละ 99 หรือร้อยละ 209 หากนับรวมหลักประกัน ส่วนเงินกันสำรองรวมสำหรับสินเชื่อที่ก่อให้เกิดรายได้ยังคงอยู่ที่ร้อยละ 1.0

 

เงินทุน ฐานะเงินทุน และสภาพคล่อง

เงินทุน สภาพคล่อง และฐานะเงินทุนของกลุ่มธนาคารยูโอบียังคงแข็งแกร่งในไตรมาส 2 ปี 2566 โดยมีอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่หนึ่งที่เป็นส่วนของเจ้าของ (CET1) รักษาระดับที่ร้อยละ 13.6 ค่าเฉลี่ยอัตราส่วนการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องเพื่อรองรับสถานการณ์ด้านสภาพคล่องที่มีความรุนแรง (LCR) ในทุกสกุลเงินเฉลี่ยที่ร้อยละ 167

ในขณะที่อัตราส่วนการดำรงแหล่งที่มาของเงินให้สอดคล้องกับการใช้ไปของเงิน (NSFR) อยู่ที่ร้อยละ 121  ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์กำหนดขั้นต่ำทั้งหมด ส่วนอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อเงินรับฝาก (LDR) ยังคงแข็งแกร่งที่ร้อยละ 83.5

[อ่าน 1,087]
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ออร์บิกซ์เปิดตัวแคมเปญ “Power Up Your Life” ทุกการเทรดสะสม OBX Point แลกรับสูงสุด 100,000 คะแนน
AIS ยืนหยัดต้านคอร์รัปชัน ตอกย้ำองค์กรโปร่งใส เดินหน้ายกระดับมาตรฐานธุรกิจ
Primal เปิดตัวโซลูชัน SEO ยุคใหม่ “ElevateSEO” หนุนธุรกิจรับมือการเปลี่ยนแปลงจาก AI Search
เปิดแล้ววันนี้! AIS Shop สาขาใหม่ เซ็นทรัล พาร์ค พร้อมเติมเต็มประสบการณ์ดิจิทัลเหนือระดับ ใจกลางกรุงเทพฯ
ไม่โกง…. ตรวจสอบได้! ทรูย้ำจุดยืนในวันต่อต้านคอร์รัปชัน 2568 ภายใต้แนวคิด “ไม่โกง ไม่เกิด…จริงหรือ?”
Chivas Regal ร่วมสดุดีพลังแห่งการขับเคลื่อนเบื้องหลังทีม Scuderia Ferrari HP

MAGAZINE UPDATE
Owner
DOUBLE D CREATION Co.,Ltd.
เอเวอร์กรีนวิว ทาวเวอร์ ชั้น 4
เลขที่ 22/43 ซอยบางนา-ตราด 56 ถนนบางนา-ตราด
แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร 10260
Tel : 0-2751-4995-6
Mobile : 062-194-4561
Advertising
ติดต่อโฆษณา และ การตลาด
คุณศุภากร ยาตพงศ์ (บู)
Mobile : 08-1355-3636
Tel : 0-2751-4995-6
E-mail : market-plus@hotmail.com
info@marketplus.in.th
PR News
ส่งข่าวประชาสัมพันธ์
E-mail : info@marketplus.in.th,
market-plus@hotmail.com,
marketplus@hotmail.co.th
Copyright © 2016 DOUBLE D CREATION Co.,Ltd. All rights Reserved