แก้ปัญหา “เด็กไร้สัญชาติ” สร้างความเสมอภาคการศึกษา Zero Dropout: เด็กทุกคนต้องได้เรียน
07 Jan 2025

การศึกษา ถือเป็นรากฐานนำไปสู่การพัฒนา "ทุนมนุษย์" ซึ่งเป็นทรัพยากรสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ แต่ที่ผ่านมายังพบปัญหาเด็กและเยาวชนไทยหลุดจากระบบการศึกษาเป็นจำนวนมากจากหลายปัจจัย หนึ่งในนั้น คือ “ปัญหาการไร้สัญชาติ” ของบุตรคนกลุ่มน้อยและกลุ่มชาติพันธุ์ที่เกิดในประเทศไทย กลายเป็นอุปสรรคที่สะท้อนความไม่เสมอภาคทางการศึกษา เพราะเมื่อไม่มีสัญชาติไทยทำให้ไม่สามารถเข้าถึงสวัสดิการด้านการศึกษา เช่น การกู้เงินเพื่อการศึกษา รวมถึงการศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา เป็นต้น ปัญหาดังกล่าว จึงนับเป็นการสูญเสียบุคลากรจำนวนมาก ที่จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศได้ในอนาคต

 

อย่างไรก็ตาม เกิดความหวังที่จะคลี่คลายปัญหานี้ เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์เร่งรัดการแก้ไขปัญหาสัญชาติและสถานะบุคคลให้แก่บุคคลที่อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลานาน และกลุ่มบุตรที่เกิดในประเทศไทย (ชนกลุ่มน้อย/กลุ่มชาติพันธุ์ 19 กลุ่ม) ที่รอการพิจารณากำหนดสถานะในปัจจุบัน จำนวน 483,626 คน ให้ได้รับสถานะคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย (ใบสำคัญถิ่นที่อยู่ถาวร) หรือได้รับสัญชาติไทย อย่างรวดเร็ว

โดยร่นระยะเวลาการพิจารณาจาก 270 วันเหลือ 5 วัน สำหรับการขอมีสถานะคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมายแก่ชนกลุ่มน้อย (ใบสำคัญถิ่นที่อยู่)  และร่นระยะเวลาการพิจาณาจาก 180 วันเหลือ 5 วัน สำหรับการขอมีสัญชาติไทยของบุตรคนต่างด้าวที่เกิดในประเทศไทย

 

 

กิตตินัย บวรชนะกุล ที่ปรึกษาประธานกลุ่มแกนนำเยาวชนศุภนิมิต และจิตอาสาสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ในพื้นที่อำเภอทองผาภูมิ และอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี สะท้อนมุมมองว่า

หากมติ ครม.ดังกล่าวดำเนินการเป็นรูปธรรมในพื้นที่ได้จริง จะถือเป็นการ “ปลดล็อก” อุปสรรคทางการศึกษาของบุตรคนต่างด้าวที่เกิดในประเทศไทย ซึ่งมีเป็นจำนวนมากในจังหวัดกาญจนบุรี เนื่องจากเป็นรอยต่อกับประเทศเมียนมาร์ ทำให้ที่ผ่านมามีคนกลุ่มน้อยจากเมียนมาร์หลายชาติพันธุ์อพยพมาอยู่ในพื้นที่ อาทิ ไทยใหญ่ กะเหรี่ยง มอญ ทวาย ขมุ ม้ง เป็นต้น

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาคนต่างด้าวเหล่านี้ มีปัญหาการนำบุตรที่เกิดในประเทศไทยไปขอสัญชาติไทย เนื่องจากขาดความรู้ในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของรัฐ ไม่ได้คลอดบุตรที่โรงพยาบาลจึงขาดหลักฐานการแจ้งเกิด ปัญหาความยากจนทำให้ไม่มีเงินดำเนินการ อีกทั้งหลายกรณีต้องใช้เวลานานในการพิจารณาขอสัญชาติไทย

“เฉพาะในอำเภอทองผาภูมิ มีประชากรที่เป็นคนชาติพันธุ์มากกว่า 60% ของจำนวนประชากรทั้งอำเภอ ซึ่งมากกว่าคนไทย ดังนั้นจึงมีจำนวนบุตรต่างด้าวที่เกิดในประเทศไทยจำนวนมาก ที่ผ่านมาเมื่อการขอสัญชาติไทยทำได้ยาก หลายคนรอนาน 2-3 ปี ทำให้เด็กและเยาวชนไม่มีสัญชาติ ขาดโอกาสเข้าถึงการศึกษา ประกอบกับมีความยากจน ผมก็เป็นเด็กคนหนึ่งที่พ่อแม่เป็นคนชาติพันธุ์ทวาย จึงรู้ปัญหานี้ดี แม้ว่าในพื้นที่จะเปิดโอกาสให้เด็กที่ไม่มีสัญชาติไทย เรียนได้จนถึงระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย และสามารถเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยในจังหวัดได้ แต่ก็ยังไม่สามารถเรียนต่อได้ในมหาวิทยาลัยนอกพื้นที่ นอกจากนี้การไม่มีสัญชาติไทยยังประสบปัญหาในการสมัครงาน โดยเฉพาะการรับราชการ ที่ต้องมีสัญชาติไทย”

 

 

ที่ปรึกษาประธานกลุ่มแกนนำเยาวชนศุภนิมิต ยังบอกด้วยว่า เมื่อเด็กและเยาวชนชาติพันธุ์เหล่านี้ ต้อง “หลุดจากระบบการศึกษา” เป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดปัญหาสังคมตามมา โดยเฉพาะปัญหาการค้าและเสพยาเสพติด ปัญหาการท้องก่อนวัย และปัญหาการลักขโมย ดังนั้นการได้สัญชาติไทย จะทำให้เด็กและเยาวชนชาติพันธุ์เหล่านี้ ได้รับการศึกษา และสวัสดิการเพื่อสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา จึงถือเป็นการแก้ปัญหาทางสังคมของประเทศ

 

 

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แถวหน้าของไทย เป็นหนึ่งองค์กรที่ให้ความสำคัญในการสร้างความเสมอภาคในทุกมิติ  หนึ่งในนั้น คือ การสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา โดยได้เดินหน้าโครงการ "Zero Dropout : เด็กทุกคนต้องได้เรียน" มาตั้งแต่ปี 2565 นำร่องที่จังหวัดราชบุรี เพื่อหวังเป็น "โมเดลต้นแบบ" ในการสร้างกลไกการเปลี่ยนแปลงการศึกษาขยายผลไปสู่จังหวัดอื่นๆ ตามมา

โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือเด็กที่หลุดจากการศึกษาจากปัญหาต่างๆ รวมถึงปัญหาเด็กไร้สัญชาติ ให้ได้กลับเข้ามาเรียน โดยแสนสิริเป็นผู้สนับสนุนเงินทุนจำนวน 100 ล้านบาท ผ่านนวัตกรรมทางการเงิน ด้วยการ "ออกหุ้นกู้เพื่อลงทุนทางการศึกษา" ถือเป็น ภาคเอกชนรายแรก และยังผลักดันรูปแบบการศึกษายืดหยุ่น "1 โรงเรียน 3 รูปแบบ"  ได้แก่ การเรียนในระบบ, นอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย เพื่อเป็นทางเลือกทางการศึกษาให้กับเด็กและเยาวชนแก้ปัญหาเด็กหลุดจากระบบการศึกษาจากอุปสรรคต่างๆ

การที่ ครม. เห็นชอบหลักเกณฑ์เร่งรัดการแก้ไขปัญหาสัญชาติและสถานะบุคคลให้แก่บุคคลที่อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลานาน และกลุ่มบุตรที่เกิดในประเทศไทย รวมถึงหาก พ.ร.บ. ชาติพันธุ์ มีผลบังคับใช้ย่อมส่งดีต่อการผลักดันโครงการ "Zero Dropout: เด็กทุกคนต้องได้เรียน” ให้สามารถจัดการหลักสูตรการเรียนการสอนได้ด้วยตนเองและยืดหยุ่น 1 โรงเรียน 3 รูปแบบ เปิดโอกาสออกแบบหลักสูตรการศึกษา โดยบูรณาการองค์ความรู้พื้นบ้าน และหลักสูตรแกนกลางโดยคนท้องถิ่น จะช่วยให้สามารถจัดสรรเนื้อหาการเรียนที่เข้ากับวิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ได้เหมาะสม และช่วยให้ภูมิปัญญาท้องถิ่นไม่ถูกด้อยค่าหรือสูญหาย ที่สำคัญยังเป็นการแก้ปัญหาสังคม และสร้างบุคลากรที่มีศักยภาพเป็นอีกกำลังหลักในการพัฒนาประเทศ

[อ่าน 1,796]
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
EGCO Group ปิดดีลซื้อหุ้นเพิ่ม 10% โรงไฟฟ้า Linden Cogen สหรัฐฯ ดันสัดส่วนถือหุ้นแตะ 38%
CMG ยกทัพแบรนด์แฟชั่นระดับโลกปักหมุด Central Park 
ตอกย้ำ Fashion Destination
กลุ่มธุรกิจอาหาร ไทยเบฟ คว้า 2 รางวัลด้านอาหารจากเวที RED TABLE AWARDS 2025
AIS ร่วมมือ ETDA และ กสทช. 
เปิดตัว AIS ID บริการยืนยันตัวตนด้วยเบอร์มือถือ ยกระดับความปลอดภัยสู่มาตรฐานสากล
CHAO คว้าการรับรอง “หุ้นยั่งยืนระดับ A” จาก SET ESG Ratings ปี 2568
เคทีซี ผนึก MAGURO Group ฉลองครบรอบ 10 ปี เดินหน้าสร้างมาตรฐานใหม่ ด้าน Dining Lifestyle
MAGAZINE UPDATE
Owner
DOUBLE D CREATION Co.,Ltd.
เอเวอร์กรีนวิว ทาวเวอร์ ชั้น 4
เลขที่ 22/43 ซอยบางนา-ตราด 56 ถนนบางนา-ตราด
แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร 10260
Tel : 0-2751-4995-6
Mobile : 062-194-4561
Advertising
ติดต่อโฆษณา และ การตลาด
คุณศุภากร ยาตพงศ์ (บู)
Mobile : 08-1355-3636
Tel : 0-2751-4995-6
E-mail : market-plus@hotmail.com
info@marketplus.in.th
PR News
ส่งข่าวประชาสัมพันธ์
E-mail : info@marketplus.in.th,
market-plus@hotmail.com,
marketplus@hotmail.co.th
Copyright © 2016 DOUBLE D CREATION Co.,Ltd. All rights Reserved