จากการประชุมมหาสมุทรแห่งสหประชาชาติประจำปี 2568 หรือ United Nations Ocean Conference 2025 ณ เมืองนีซ ประเทศฝรั่งเศส บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU ในฐานะผู้นำอุตสาหกรรมอาหารทะเลระดับโลก ได้แสดงเจตนารมณ์และความมุ่งมั่นในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในการดูแลและใช้ประโยชน์จากมหาสมุทรและทรัพยากรทางทะเล (SDG 14: Life Below Water) พร้อมแสดงความก้าวหน้าผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืนภายใต้กลยุทธ์ SeaChange® 2030
รายงานความยั่งยืนประจำปี 2567 เป็นการสรุปภาพรวมผลการดำเนินงาน เพื่อการบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนของไทยยูเนี่ยน เพื่อส่งเสริมการจัดหาวัตถุดิบอย่างมีความรับผิดชอบ ปกป้องระบบนิเวศทางทะเล พร้อมสร้างความแข็งแกร่งรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในห่วงโซ่อุปทานอาหารทะเลทั่วโลก
ธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า
“การปกป้องท้องทะเล ไม่ได้เป็นเพียงแค่การใส่ใจสิ่งแวดล้อม แต่เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกคน เพื่อสร้างความเป็นอยู่ที่ดีของผู้คนและโลกในระยะยาว กลยุทธ์ความยั่งยืน "SeaChange® 2030” ของไทยยูเนี่ยน คือบทพิสูจน์ว่าเมื่อบริษัทต่างๆ ได้ผนวกการดำเนินงานด้านความยั่งยืนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ธุรกิจ เราสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกที่ยิ่งใหญ่ได้ และภารกิจนี้ไม่อาจสำเร็จได้ด้วยองค์กรเดียว หรืออุตสาหกรรมใด อุตสาหกรรมหนึ่ง แต่ต้องอาศัยการผนึกกำลังจากทุกภาคส่วนและทุกประเทศทั่วโลกต้องช่วยกันจึงจะสำเร็จ”
ภายใต้กลยุทธ์ SeaChange® 2030 ซึ่งเป็นกรอบการทำงานด้านความยั่งยืนระดับโลกของไทยยูเนี่ยน เรามุ่งเน้นการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นเพื่อผู้คนและโลก ด้วย 11 พันธกิจหลัก โดยได้จัดสรรงบประมาณ 200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือประมาณ 7,200 ล้านบาท) เพื่อใช้ดำเนินงานจนถึงปี 2573 โครงการเหล่านี้จะช่วยขับเคลื่อนการตรวจสอบย้อนกลับ สนับสนุนการดูแลมหาสมุทรและทรัพยากรจากท้องทะเล และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างเป็นรูปธรรม
สำหรับผลงานด้านความยั่งยืนที่โดดเด่นในปี 2567 ของไทยยูเนี่ยน ประกอบด้วย
ในฐานะผู้นำในอุตสาหกรรมอาหารทะเลระดับโลก ไทยยูเนี่ยนตระหนักถึงศักยภาพและความรับผิดชอบ ในการขับเคลื่อนภารกิจด้านความยั่งยืนเพื่อส่วนรวม โดยในกลุ่มบริษัทไทยยูเนี่ยนเองมีการดำเนินงานและขับเคลื่อนความร่วมมือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน เพื่อผลักดันให้เกิดการยกระดับในด้านการตรวจสอบย้อนกลับ สิทธิแรงงาน และความสมบูรณ์ของมหาสมุทร สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในรายงานความยั่งยืนประจำปี 2567 ที่นี่
อดัม เบรนนัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า
“ความโปร่งใส ผสานกับหลักการทางวิทยาศาสตร์ และความร่วมมือ คือ รากฐานที่สำคัญของกลยุทธ์ความยั่งยืน SeaChange® 2030 ซี่งการดำเนินงานของไทยยูเนี่ยนมีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง แต่การบรรลุเป้าหมาย SDG 14 จะต้องอาศัยการดำเนินการที่ชัดเจนและรวดเร็วของทุกภาคส่วน โดยภาคธุรกิจมีบทบาทสำคัญ ไม่เพียงแค่ลดผลกระทบของตนเอง แต่ยังต้องกำหนดมาตรฐานใหม่ แบ่งปันความรู้ และสร้างความร่วมมือที่สามารถขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบได้ ไทยยูเนี่ยนได้ผนวกเรื่องความยั่งยืนเข้าไปในทุกภาคส่วนของการดำเนินธุรกิจตลอดทั้งซัพพลายเชน ความอุดมสมบูรณ์ของท้องทะเลคือตัวชี้วัดที่สำคัญถึงอนาคตของอุตสาหกรรมอาหารทะเล ดังนั้นพวกเราทุกคนจึงมีหน้าที่ปกป้องมหาสมุทรและผู้คน เพื่อโลกของเรา”
สำหรับสาระสำคัญในเวทีการประชุมมหาสมุทรแห่งสหประชาชาติประจำปีนี้ ได้มุ่งเน้นไปที่การปกป้องระบบนิเวศทางทะเล การสนับสนุนเงินทุนเพื่อการดูแลมหาสมุทร และการส่งเสริมการประมงที่ยั่งยืน โดยในส่วนของไทยยูเนี่ยนยังคงให้ความสำคัญกับการผนึกกำลังกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน เพื่อช่วยกันดูแลระบบนิเวศของทะเล
นอกจากนี้ ไทยยูเนี่ยนยังคงมีบทบาทสำคัญในกลุ่มพันธมิตรและความร่วมมือระดับโลกที่สนับสนุนการอนุรักษ์มหาสมุทร โดยในปี 2566 ไทยยูเนี่ยนเป็นบริษัทแรกที่ได้ลงนามในคำมั่นสัญญา Protecting Ocean Wildlife ของ Sustainable Fisheries Partnership ที่มุ่งมั่นสร้างความเปลี่ยนแปลงให้อุตสาหกรรมอาหารทะเลอย่างเป็นรูปธรรม ด้วยการตรวจสอบและลดความเสี่ยงในการจับสัตว์น้ำพลอยได้ในการทำประมงที่มีความเสี่ยงสูง ส่งผลให้เกิดการจัดหาวัตถุดิบจากเรือประมงที่มีการปฏิบัติตามข้อปฏิบัติในการปกป้องสัตว์น้ำเท่านั้น พร้อมจัดให้มีผู้สังเกตการณ์บนเรือให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้คือ 100 เปอร์เซ็นต์ และต้องมีการรายงานผลต่อสาธารณะ
ความร่วมมือดังกล่าวส่งผลให้มีรัฐบาลจากหลายประเทศ คิดเป็นสัดส่วน 15 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณการจับปลาทูน่าทั่วโลก รวมถึงบรรดาร้านค้าปลีกรายใหญ่, ซัพพลายเออร์ และกลุ่มบริษัทอาหารต่างๆ ให้ความสนใจและตอบรับเข้าร่วมในคำมั่นสัญญานี้ด้วย
ธีรพงศ์ กล่าวเสริมว่า “มหาสมุทรเป็นทั้งแหล่งอาหารหล่อเลี้ยงผู้คนนับพันล้าน และยังช่วยรักษาสมดุลสภาพภูมิอากาศโลก เราจึงไม่อาจมองข้ามความสำคัญของท้องทะเลได้เลย เราขอเรียกร้องให้ทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล ภาคเอกชน และนักลงทุน มาร่วมกับเราในการปกป้องมหาสมุทรเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน”