
เมื่อความตึงเครียดในตะวันออกกลางปะทุขึ้น ธุรกิจไทยไม่อาจรอให้ปัญหาประดังเข้ามาถึงตัว การปรับตัวเชิงรุกและวางกลยุทธ์ที่รอบด้านคือเกราะป้องกันที่สำคัญ เพื่อรักษาเสถียรภาพ ต้นทุน และโอกาสทางการค้า ท่ามกลางความปั่นป่วนของเศรษฐกิจโลก
1. ประเมินและบริหาร “ความเสี่ยงด้านต้นทุน”
- จับตาราคาน้ำมันและก๊าซ: ปรับนโยบายซื้อขายล่วงหน้า (hedging) ป้องกันต้นทุนพุ่ง
- บริหารสต็อก: เร่งเจรจากับผู้จัดหาวัตถุดิบ จัดเก็บสต็อกเพื่อเลี่ยงปัญหาการขาดแคลน
- หาตลาดทางเลือก: ขยายการจัดหาวัตถุดิบและส่งออกไปยังพื้นที่ที่มีเสถียรภาพมากขึ้น
2. ปรับโครงข่ายโลจิสติกส์
- ประเมินเส้นทางขนส่งใหม่ หากต้องเลี่ยงพื้นที่ตึงเครียด (เช่น ช่องแคบฮอร์มุซ, ทะเลแดง)
- มองหาพันธมิตรหรือผู้ให้บริการขนส่งสำรอง เพื่อป้องกันการหยุดชะงัก
- เร่งใช้เทคโนโลยีเพื่อตรวจสอบและคาดการณ์ “ดีเลย์” หรือ “ค่าระวาง” ที่อาจพุ่งขึ้น
ขณะนี้แม้จะเป็นเพียงแค่คำขู่ แต่หากการเจรจาต่อรองไม่สัมฤทธิ์ผล ก็มีความเป็นไปได้สูงที่อิหร่านจะประกาศปิดช่องแคบฮอร์มุซ เส้นทางขนส่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติใหญ่ที่สุดในโลก (20–30% ของปริมาณน้ำมันดิบขนส่งทางทะเล) หากเกิดการปิดกั้นหรือโจมตี จะทำให้ค่าระวางเรือและต้นทุนพลังงานพุ่งสูง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจไทยอย่างแน่นอน ทำให้ต้นทุนขนส่งสูงขึ้น เพราะระยะทางเพิ่มขึ้น (ต้องอ้อมแหลมกู๊ดโฮป) ทำให้ค่าระวางเรือสูงขึ้น 20–30%, เวลาการขนส่งล่าช้า การนำเข้า-ส่งออกใช้เวลานานขึ้น 1–2 สัปดาห์ มีผลต่อสินค้าที่ต้องส่งตรงเวลา, ห่วงโซ่อุปทานหยุดชะงัก สินค้าอุตสาหกรรม วัตถุดิบ และชิ้นส่วนต้องบริหารสต็อกใหม่ และเบี้ยประกันสูงขึ้น โดยเฉพาะประกันการขนส่ง (War risk premium) พุ่งขึ้นจากความเสี่ยงพื้นที่สู้รบ

3. บริหารการเงินและอัตราแลกเปลี่ยน
- ติดตามค่าเงินและแนวโน้มดอกเบี้ยทั้งไทยและโลก
- ป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน โดยเฉพาะผู้ที่ต้องชำระหรือรับเงินเป็นดอลลาร์สหรัฐฯ
- จัดสรรเงินทุนสำรองและสภาพคล่องเพื่อรองรับ “แรงกระแทก” ในกรณีฉุกเฉิน
4. สร้างพันธมิตรและขยายตลาดใหม่
- เร่งหาตลาดใหม่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตะวันออกไกล (ญี่ปุ่น เกาหลีใต้) รวมถึงภูมิภาคอื่น ๆ ที่อยู่นอกเขตความขัดแย้ง
- จัดตั้งพันธมิตรในกลุ่มเศรษฐกิจใหม่ (อินเดีย ตะวันออกกลางฝั่งอ่าวอาหรับ) เพื่อรักษาเสถียรภาพการค้า
- จัดทำแผนร่วมกับผู้ผลิต/ผู้จัดจำหน่าย เพื่อบริหารความเสี่ยงร่วมกัน
5. เตรียมมาตรการบริหารวิกฤติและสื่อสารเชิงรุก
- ตั้ง “ศูนย์บริหารวิกฤติ” เพื่อจับตาและตอบสนองเร็ว
- สร้างแผนรับมือทั้งการเงิน โลจิสติกส์ และบุคลากร
- สื่อสารตรงไปตรงมากับผู้มีส่วนได้เสีย เพื่อรักษา “ความเชื่อมั่น”

กล่าวโดยสรุป ธุรกิจไทยต้องรับตัวด้วยกลยุทธ์ 3R
- Resilient Supply Chain: ห่วงโซ่อุปทานต้องทนทาน หลากหลาย และคล่องตัว
- Risk Management: จัดทำและทดสอบแผนบริหารความเสี่ยงเป็นประจำ
- Revisit Market Focus: ประเมินใหม่ว่าตลาดไหน “รุ่ง” หรือตลาดไหน “เสี่ยง” ในบริบทใหม่
[อ่าน 3,168]