
ประเทศไทยต้องการโลหิตเฉลี่ย 700,000 ยูนิตต่อปี แต่สามารถจัดหาได้เพียงประมาณ 650,000 ยูนิต ส่งผลให้ยังขาดแคลนมากกว่า 50,000 ยูนิตต่อปี ซึ่งหมายถึงชีวิตของผู้ป่วยจำนวนมากที่รอเลือดเพื่อการรักษาอย่างเร่งด่วน เลือดหนึ่งถุงจากผู้บริจาคหนึ่งคนสามารถช่วยชีวิตได้ถึง สามคน ผ่านการนำส่วนประกอบสำคัญ ได้แก่ เม็ดเลือดแดง เกล็ดเลือด และพลาสมา ไปใช้ในผู้ป่วยต่างอาการและภาวะวิกฤติ
นี่คือ “การให้” ที่ไม่ต้องใช้เงิน แต่มีคุณค่ามากกว่าสิ่งใด และเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยให้ระบบสาธารณสุขไทยเดินหน้าต่อได้อย่างยั่งยืน

ในยุคที่กิจกรรมเพื่อสังคมหลายอย่างทำได้เพียงคลิกเดียว การบริจาคเลือดเป็นการ “ให้ด้วยร่างกายและหัวใจ” อย่างแท้จริง งานวิจัยทางการแพทย์ยืนยันว่า การบริจาคเลือดทุก 3 เดือนไม่เพียงช่วยผู้ป่วย แต่ยังช่วย
กระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดงใหม่
ลดความหนืดของเลือด ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ
ได้รับการตรวจสุขภาพเบื้องต้นทุกครั้งก่อนบริจาค
ด้านจิตใจ ผู้ที่บริจาคเลือดเป็นประจำมีแนวโน้มรู้สึก “ภูมิใจที่ได้ช่วยชีวิตผู้อื่น” ซึ่งเป็นแรงจูงใจสำคัญที่นำพวกเขากลับมาบริจาคซ้ำอย่างต่อเนื่อง

ท่ามกลางภาวะขาดแคลนเลือด ภาคเอกชนจำนวนมากเริ่มลุกขึ้นมามีบทบาทสำคัญในการเชิญชวนพนักงานร่วมบริจาคโลหิตอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดช่องว่างการขาดเลือดในประเทศ
หนึ่งในตัวอย่างความสำเร็จคือ “เคทีซี” (บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน)) ที่ดำเนินกิจกรรมบริจาคโลหิตต่อเนื่องเป็นปีที่ 19 โดยร่วมกับศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย เปิดพื้นที่ให้ผู้บริหารและพนักงานจิตอาสาบริจาคเลือดทุก 3 เดือน
เฉพาะปี 2568 เคทีซีรวบรวมโลหิตได้กว่า 264 ยูนิต หรือ 118,800 ซีซี คิดเป็นการต่อชีวิตผู้ป่วยได้มากกว่า 792 ชีวิต ผ่านระบบกระจายเลือดของสภากาชาดไทยสู่โรงพยาบาลทั่วประเทศ
กิจกรรมนี้ไม่เพียงเป็น CSR แต่คือ “วัฒนธรรมองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยใจ” สะท้อนความเชื่อว่าการพัฒนาสังคมที่ยั่งยืนคือการเริ่มต้นจากตัวคนทำงาน — และส่งต่อคุณค่าไปสู่สังคมในวงกว้าง
เพื่อให้เลือดสามารถนำไปใช้รักษาผู้ป่วยได้อย่างปลอดภัย ผู้บริจาคควรปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ต่อไปนี้อย่างเคร่งครัด
คุณสมบัติผู้บริจาคเบื้องต้น
อายุ 17–70 ปี (ครั้งแรกไม่เกิน 60 ปี)
น้ำหนัก 45 กก. ขึ้นไป
สุขภาพแข็งแรง พักผ่อนเพียงพอ
การรับประทานอาหารและการดูแลตัวเอง
รับประทานมื้อหลักได้ แต่ หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูงภายใน 6 ชั่วโมงก่อนบริจาค
ดื่มน้ำ 300–500 ซีซี ก่อนบริจาคประมาณ 30 นาที
งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 24 ชม. และงดสูบบุหรี่ก่อน–หลังบริจาคอย่างน้อย 1 ชม.
หลังบริจาค
นอนพัก 5 นาที – นั่งพัก 10–15 นาที
ดื่มน้ำมากกว่าปกติ 24 ชม.
หลีกเลี่ยงยกของหนัก/ออกกำลังกายหนัก
ข้อห้ามสำคัญ
ตั้งครรภ์ ให้นมบุตร สัก/เจาะ/ฝังเข็มไม่ถึง 4 เดือน
หลังผ่าตัดใหญ่ไม่ถึง 6 เดือน
โรคติดเชื้อทางเลือด / พฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ ต้องเว้นตามเกณฑ์ทางการแพทย์

ความจริงที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงคือ ไม่มีสารทดแทนเลือดได้ ผู้ป่วยจำนวนมากกำลังรอเลือดเพื่อรักษา บางรายคือการผ่าตัดฉุกเฉิน บางรายคือผู้ป่วยมะเร็งที่ต้องใช้เลือดตลอดการรักษา
เลือดทุกหยดคือความหวัง และผู้บริจาคทุกคนคือฮีโร่ที่ช่วยต่อชีวิตได้จริง — โดยไม่ต้องใช้เงินแม้สักบาทเดียว





