จีโน่ The Snake So Cool Content Creator !!
28 Sep 2019

 

ช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาการทำการตลาดออนไลน์เป็นที่น่าสนใจ และเข้าถึงผู้คนได้อย่างรวดเร็ว โดยในยุคแรกๆ ของปี 2558 การทำการตลาดออนไลน์นั้นเริ่มกันง่ายๆ จากการใช้ คลิปวิดีโอ ไวรัล ธรรมดาๆ โดยใช้ภาพยนตร์โฆษณาเป็นตัวสร้างแบรนด์ให้คนรู้จัก และสนใจยิ่งขึ้น

แต่ปีต่อมาการทำการตลาดออนไลน์เริ่มจัดเต็มใช้ facebook, twitter, Instagram และ YouTube เพื่อโปรโมทสินค้าให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น โดยใช้เน็ตไอดอล, ดารา, เซเลบริตี้มาช่วยโหมกระแสเพื่อ โปรโมท ด้วยกระแสการทำการตลาดออนไลน์เข้าถึงคนได้ง่ายและตอนหลังๆ ก็เกิดอาชีพใหม่ๆ ขึ้น อาทิ บิวตี้ บล็อกเกอร์ (Beauty Blogger), ยูทูปเบอร์ (YouTuber),วีล็อก (Vlog) รวมไปถึง คอนเทนท์ ครีเอเตอร์ (Content Creator)  

สำหรับอาชีพ"คอนเทนท์ ครีเอเตอร์" อาชีพที่มีหน้าที่สร้างคอนเทนท์ เพื่อไปนำเสนอในรูปแบบต่างๆ นั้นก็ถือเป็นช่องทางหนึ่งของแบรนด์ที่จะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายบน Market Space ได้อย่างแนบเนียน ทว่า เส้นทางของการเป็น Content Creator นั้นต้องใช้เวลา ต้องขายตัวเองเพื่อสร้าง Personal Branding ให้ "ติด" เสียก่อน New Gen ที่ "ยืนหนึ่ง"

ในฐานะ Content Creator ที่น่าสนใจอีกคนของวงการคือ ปิยพล ม่วงมี หรือ "จีโน่ The Snack" เจ้าของเพจ facebook ช่อง YouTube The Snack ที่มียอดผู้ติดตามถึง 2 ล้านคนได้มีโอกาสสะท้อนถึงวิธีการปั้นคอนเทนท์บน The Snack และปั้นความเป็น "จีโน่ The Snack" อย่างเป็นกันเอง

 

 

แรงบันดาลใจที่ทำให้ทำอาชีพ Content Creator  

ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า อาชีพ Content Creator คือ คนที่ทำคอนเทนท์บนแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อให้ได้เงิน ซึ่งช่องทางที่ผมทำคือ  YouTube และ facebook โดยใช้ชื่อว่า The Snack เหมือนกัน โดยส่วนตัวที่เข้ามาทำอาชีพนี้เรียกว่าความบังเอิญดีกว่า

ขอย้อนเล่าเรื่องสมัยเรียนคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ จัดได้ว่าเป็นคนที่เรียนไม่เก่ง ไม่ค่อยสนใจเรียนเท่าไหร่ หรือเรียกว่า "เรียนไม่มา กิจกรรมไม่ขาด" ในตอนนั้นก็ไม่รู้หรอกว่า ช่องทางออนไลน์จะเป็นสื่อที่ทำเงินได้ ซึ่งตอนนั้นมีแค่ช่อง VRZO และ เฟดเฟ่ ที่เป็นช่องออนไลน์ ผมเรียนสาขาวิทยุโทรทัศน์มาก็คิดว่า จบมาจะทำงานเบื้องหลังสื่อทีวี เพราะตอนนั้นทีวีดิจิตอลกำลังเป็นที่นิยม พอจบมาก็ไปทำงานแบบที่เราชอบ คือ ไปทำงานเบื้องหลัง

 

ทำไมไม่คิดที่จะเป็นนักจัดรายการวิทยุ

ผมมีความคิดมาตลอดว่า ผมทำงานอะไรก็แล้วแต่ มันต้องมีคนดู เราจึงจะรู้สึกว่า งานเราประสบความสำเร็จ แต่ในช่วงนั้นเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านของสื่อวิทยุและโทรทัศน์ แต่เนื่องจากเราเป็นเพียงเด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่ง เราจะไปมีสิทธิ มีอำนาจในการทำรายการแบบที่เราคิดได้อย่างไร ในยุคนั้นมันยากมาก เพราะทางช่องรายการของสื่อต่างๆ ก็จะมีลำดับขั้นตอนของตนเอง

แล้วก็เป็นความบังเอิญที่เพื่อนของผมได้ไปทำงานที่ช่องของ "บี้ เดอะ สกา" ตอนนั้นเขาคิดที่จะขยายแนวทางการทำคอนเทนท์ของเขา ด้วยการผลิตซีรี่ย์กับช่อง Line TV และต้องการคนเขียนบท เพื่อนเลยดึงผมเข้าไปเขียนบทในซีรี่ย์เรื่องนั้น ทำให้ผมได้รู้จักในตัวของ "บี้ เดอะ สกา"  พอได้ทำงานร่วมกันก็รู้สึกว่า ทำงานด้วยกันได้ เคมีตรงกันวว่างั้นเถอะ ผมเลยทิ้งงานที่เก่า มาทำช่องออนไลน์ ซึ่งช่องของ "บี้ เดอะ สกา" นี่คือจุดเริ่มต้นของผม จนเราเห็นว่า เราอยาก "ปล่อยของ" เราอยากเล่นตามประสาวัยรุ่น แต่ช่องของ "บี้ เดอะ สกา"  จะเป็นแนวครอบครัวที่สามารถดูได้ทุกช่วงอายุ ผมเลยเปิดช่องใหม่ดีกว่า เพื่อที่จะได้ "ปล่อยของ" ทำในสิ่งที่อยากทำกัน

 

 

ตอนนั้นทำช่องทางออนไลน์เก่งหรือยัง

ในตอนนั้นโชคดีที่ว่า เราได้เข้าไปทำไปทำงานเกี่ยวกับคอนเทนท์ออนไลน์แบบเต็มตัว เรียกว่า ทั้งชีวิตของเราเจิมหน้าผากอยู่กับการทำคอนเทนท์ออนไลน์แบบเต็มตัวแล้ว ทำให้เราได้รู้ว่า ควรที่จะเริ่มอย่างไร และด้วยตัวของ "บี้ เดอะ สกา"  เองก็ทำ YouTube มา 6-7 ปี เขาก็จะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ผมเลยพลอยได้เรียนรู้ไปกับพี่เขาด้วย

 

Content ในแบบฉบับของ The Snack เป็นอย่างไร

หลักๆ ผมจะนำเสนอความเป็นตัวเอง ทำอะไรก็ได้ที่มีความสุข แล้วสื่อสารมันออกเป็นคอนเท้นท์ แล้วคอนเทนท์ของช่อง The Snack บางทีเราก็มองไม่ออกว่า จะทำคอนเทนท์อะไรก็เลยถามคำถามปลายเปิดในคลิปแรกถามคนดูไปเลยว่า อยากให้พวกเราทำอะไร แต่พอถามไปสักพักก็มาดูบุคลิกของพวกเราว่าเป็นอย่างไร

เราก็ค้นพบว่า บุคลิกของพวกเราจะดูสนุกเวลาเราแกล้งกัน ก็เลยถ่ายคอนเทนท์แนวแกล้งกันไปก่อน แล้วทีนี้การแกล้งกันของเราช่วงหนึ่งมันหนักมาก แกล้งจนทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ เวลาเราออกไปเจอคนภายนอก เด็กๆ ที่ดูก็จำเราได้ แต่เขาจำในสิ่งที่ไม่ดี ทำให้เรารู้สึกว่า เด็กจำสิ่งที่ไม่ดีออกไป พอเราออกไปเจอจริงๆ ทำให้เรารู้สึกไม่ดี ไม่มีความสุขเลย

ดังนั้น เราจึงย้อนกลับมาดูและวิเคราะห์แนวคอนเทนท์กันใหม่อีกครั้งว่า สิ่งที่เราสนใจมันคืออะไรก็เลยถูกปรับเปลี่ยนเพื่อมาเกาะแนวของกลุ่ม Youth Culture ซึ่งเป็นวัฒนธรรมของคนหนุ่มสาวในหลายๆ ด้าน อาทิ​ แฟชั่น การท่องเที่ยว หรือเรื่องที่วัยรุ่นช่วงมัธยมปลายถึงมหาวิทยาลัย เขาทำกัน

 

 

The Snack มีการบริหารเพจ facebook อย่างไรบ้าง

ตอนแรกผมก็ไม่เห็นความสำคัญกับเรื่องนี้หรอก นึกอยากจะโพสต์อะไรก็โพสต์ โดยไม่ต้องใส่ใจ หรือสนใจอะไร แต่หลังๆ ผมมาคิดว่า เราควรที่จะโฟกัสอะไรมากขึ้น ผมเลยจ้างแอดมิน (Admin) ซึ่งโชคดีที่ว่าเป็นแอดมินที่เขาชอบที่จะทำอะไรแบบนี้ หายใจเข้าหายใจออกเป็นออนไลน์ แล้วเขาต้องการที่จะพัฒนาตัวเขาอยู่เสมอ แอดมินที่จ้าง เขาจะทดลองว่า โพสต์เวลาไหนคนจะเห็นมาก เริ่มตั้งแต่ตอนเช้าไปจนถึงเย็น หรือบางทีโพสต์ถี่ โพสต์ไม่ถี่บ้าง โพสต์แนวอื่นๆ โพสต์แนวตลก แนวที่เขากำลังฮิตกันบ้าง เขาเริ่มจากการลองผิดลองถูก จนทุกวันนี้เป็นอะไรที่ลงตัวมากขึ้น แต่มันก็หยุดไม่ได้ 

เราจะต้องคอยคิดแล้วก็วิเคราะห์ตัวเพจของเราทุกสัปดาห์ ว่า กลุ่มเป้าหมายของเพจเรา เขาสนใจอะไรกันแล้วบ้าง เขากินอะไรกัน ฯลฯ

 

กลุ่มเป้าหมายของ The Snack เป็นใคร

อายุประมาณ18-24 ปี เป็นกลุ่มที่เราวัดจากตัวเลขในเพจ facebook

 

เราต้องซื้อโฆษณา facebook หรือไม่

มีต้องซื้อบ้าง  แต่เป็นบางส่วน ส่วนแรกคือ เมื่อ The Snack ของเรามี Brand Content เข้ามา ทางตัวแบรนด์เอง เขาก็ติดต่อเราว่า ขอเข้าไปบูสต์โพสต์หน่อยได้หรือไม่ เพื่อให้สินค้าของเขากระจายไปกว้างมากขึ้น  อีกส่วนหนึ่งก็คือ จะเป็นคอนเทนท์ที่เกิดจากพวกเราเอง ทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับทางเราแล้วว่า ตัวเราจะบูสต์โพสต์ หรือไม่บูสต์ ซึ่งคอนเนทนท์ในส่วนที่พวกเราทำเองจะไม่ค่อยบูสท์เท่าไหร่

 

 

ใช้เวลาสะสมยอด Subscribe ขนาดนี้นานเท่าไร

สำหรับผม ในคลิปแรกๆ ผมก็ถือว่าเยอะ ผมประกาศเลยว่าถ้าไม่ถึง 1,000 คน ผมจะไม่ทำ ซึ่งต้องบอกก่อนว่า ตอนนั้นผมทำงานกับ "บี้ เดอะสกา" พี่เขาก็ช่วยผมแชร์ ซึ่งบอกได้เลยว่า เรื่องคอนนคชั่นนี่สำคัญและมีส่วนช่วยให้เรามีกำลังใจทำงานและประสบความสเร็จได้มากๆ และกว่าจะมาถึงจุดนี้ ผมใช้ระยะเวลาประมาณ 3 ปีในการทำช่องนี้ขึ้นมา ซึ่งในตอนนี้ยอด Subscribe ก็เกือบ 3 ล้านแล้ว

จริงๆ ผมกลับไม่ได้มองที่ยอด Subscribe แต่ผมจะมองที่ความชอบของตัวเองก่อนว่า โดยในในช่วงแรกๆ ผมจะมองว่า เราอยากทำอะไร เราชอบอะไรและทำออกไปสุดท้ายคนที่ชอบเหมือนกันกับเราก็จะมาดูกันเอง แต่ต่อมา คนเรามันก็ "ต้องกิน ต้องใช้" มันก็ต้องมีสปอนเซอร์บ้าง

ผมเลยทำสูตรขึ้นมาโดยจะเป็นสูตร 3 วงกลม นึกภาพง่ายๆ วงกลมสามวงซ้อนทับกันแบบของช่อง 7 สี คือ

  • วงกลมแรก คือ "แบบที่เราอยากทำ"
  • วงกลมที่ 2 คือ "วงกลมที่คนดูอยากดู"
  • วงกลมที่ 3 คือ "สิ่งที่ลูกค้าอยากได้"

แล้วเราก็หยิบ 3 วงกลมนี้มารวมกันแล้ว หยิบตรงกลางที่มันทับกันออกมา ซึ่งคลิปที่ออกมาให้ผู้ชมได้ชมนั้นเกิดการคิดวิเคราะห์มาแล้ว

 

ทำคอนเทนท์มาก็มากมี "ความคิดตัน" ไปไม่สุดซอยหรือไม่

ผมเคยคุยกับพี่ปลื้ม VRZO เขาบอกว่า บนโลกนี้ไม่มีอะไรที่แปลกใหม่ตลอดเวลา ทุกสิ่งทุกอย่างมันมีมาหมดแล้ว เพียงแต่ว่าเราจะดัดแปลงสิ่งที่มีมาอยู่แล้ว ให้มันแปลกใหม่และเป็นของเราได้อย่างไรสำหรับผมถ้าผมคิดไม่ออก ผมจะสร้างกลุ่มเป้าหมายมาคนหนึ่ง แล้วคิดจินตนาการขึ้นไปว่า เขาชอบอะไร อยู่อย่างไร ชอบไปเที่ยวที่ไหน มีไลฟ์สไตล์อะไร อย่างไร ฯลฯ เขียนและคิดออกให้ได้มากที่สุด แล้วแยกสิ่งที่เราเขียนเอาไว้และจะหยิบจับอันนั้นมาทำเป็นคอนเทนท์ ตรงนี้เองที่ช่วยสร้างความแตกต่างให้กับคอนเทนท์ของเราได้มาก

 

รู้ว่า FC มีมาก แต่ที่แปลกๆ มีหรือไม่

แปลกสุด คือ ผมเคยเจอที่แบบน่ารักมากๆ ผมไปปัตตานี ไปเดินตลาด มีคุณป้าเอาก๋วยเตี๋ยวหลอดมาให้ แล้วบอกว่า หลาน ... ป้าชอบผมมาก ผมก็งงว่า "ได้ด้วยหรอ" (หัวเราะ)

 

เวลาปล่อยคลิปไป หากมีคอมเม้นท์เชิงลบ เราจัดการอย่างไร

ตรงนี้ ต้องแยกก่อนว่า มันจะมีคอมเม้นท์แบบ "ด่าไปเรื่อย" ... "อยู่เฉยๆ ก็ด่า"  ฯลฯ  แบบนี้ ผมจะปล่อยมันไป กับคอมเม้นท์อีกประเภทที่ "ติเพื่อก่อ" เราก็จะหยิบออกมาเพื่อพัฒนาต่อ ส่วนคนที่ชมก็จะเก็บไว้มาเป็นกำลังใจต่อไป

 

คอนเท้นท์ที่เราทำมาจากความคิดของเราคนเดียวหรือไม่

การทำงานของผมจะมี 2 ส่วนด้วยกัน คือ

  • ส่วนที่หนึ่ง ผมทำอยู่กับ"บี้ เดอะสกา"ในฐานะที่เป็น Creative Director แล้วจะมีสมาชิกในทีมที่ผมจะกระจายงานให้ ดูว่า ช่วงนี้เทรนด์ไหนกำลังมาแรง ผมก็จะคอยบอกว่า งานมันควรจะเป็นในทิศทางไหน แล้วก็ให้น้องๆ ทำ แล้วเอามาให้ผมตรวจว่าโอเคหรือไม่

 

  • ส่วนที่สอง เป็นของ The Snack ส่วนนี้ผมถือเป็นงานอดิเรก ในทีมก็จะมีอยู่ 3 คน ตอนนี้ก็มีตัดต่อเพิ่มมาอีก1 คนแล้ว ทุกคนก็จะทำหน้าที่ของตัวเองแค่นั้น

 

จุดขายและจุดหมายของ The Snack คืออะไร

สำหรับจุดขายผมมองว่า ผมมีความเป็นตัวของตัวเอง ผมเคยทำไม่ดีก็มาวิเคราะห์ว่า มันไม่ดี แล้วก็ไม่ทำมันอีก แล้วภาษาที่ใช้ก็อาจจะเป็นภาษาที่ดูเหมือนเราเป็นเพื่อนกับคนดู สบายๆ เลยทำให้คนดูรู้สึกชื่นชอบเรา ส่วนจุดหมายนั้น แน่นอนว่า ตอนนี้ YouTube กำลังมา แต่เราก็ไม่รู้ว่า มันจะอยู่กับเราไปอีกนานแค่ไหน อนาคตมันอาจจะมีแพลตฟอร์มใหม่ขึ้นมาก็ได้ ง่ายๆ เราเป็น Content Creator เราก็ทำงานให้มันสนองกับความต้องการของคนดูให้ได้ในทุกๆ แพลตฟอร์ม คนดูไปที่ไหนเราก็ไปที่นั่น หรือเราจะนำคนดูไปที่นั่นก็ได้

           

งานที่ยากที่สุดของเราคืออะไร

คืองานที่ลูกค้าไม่เข้าใจว่า Content Creator คืออะไร

อันนี้จะยากมาก ด้วยตัวเราก็จะมีความดื้อของเรา คนเข้ามาดูคอนเทนท์ของเราเพราะเราเป็นเรา แต่ลูกค้าอยากได้เฉพาะส่วนที่เป็นประโยชน์กับของเขา อย่างตัวผมเองจะไม่ไปคุยกับลูกค้าเอง ผมจะให้ AE ไปคุย

 

ถ้ามีคนอยากจะเริ่มที่จะทำ YouTube เป็นของตัวเอง จะให้คำแนะนำอย่างไร

อันดับแรก อย่าคิดว่า เราทำเพราะอยากมีเงินเพิ่ม หรืออยากเป็นที่รู้จัก ผมมองว่าถ้าเราคาดหวังมันจะทำให้เราไม่มีความสุข ทำตามความสุขของตัวเองก่อนเลยว่า เราชอบอะไร อยากทำอะไรจะดีกว่า หรือให้คิดว่า อยากให้คนจำเราในแบบไหนจะดีที่สุด

 


BIZ PLUS MORE  //  พิชญ์สินี ทิพย์จันทร์

[อ่าน 25,962]
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
“สะสม” แค่กระแส หรือจงรักภักดี
ฉากทัศน์แห่งความรุ่งเรืองของธุรกิจ Art Toy ในประเทศไทย
The Charming Business of Art Toy
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เสริมแกร่งธุรกิจครอบครัวสู่การเติบโตยั่งยืน
Soft Power เอาจริงหรือ?
ยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์ไทย แนะแบรนด์เสริมกลยุทธ์
MAGAZINE UPDATE
Owner
DOUBLE D CREATION Co.,Ltd.
เอเวอร์กรีนวิว ทาวเวอร์ ชั้น 4
เลขที่ 22/43 ซอยบางนา-ตราด 56 ถนนบางนา-ตราด
แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร 10260
Tel : 0-2751-4995-6
Mobile : 062-194-4561
Advertising
ติดต่อโฆษณา และ การตลาด
คุณศุภากร ยาตพงศ์ (บู)
Mobile : 08-1355-3636
Tel : 0-2751-4995-6
E-mail : market-plus@hotmail.com
info@marketplus.in.th
PR News
ส่งข่าวประชาสัมพันธ์
E-mail : info@marketplus.in.th,
market-plus@hotmail.com,
marketplus@hotmail.co.th
Copyright © 2016 DOUBLE D CREATION Co.,Ltd. All rights Reserved