โควิด-19 เร่งภาคธุรกิจปฏิรูปสู่มาตรฐานใหม่ จับตาธุรกิจอีคอมเมิร์ซ-ธุรกิจชำระเงินออนไลน์
24 Apr 2020

 

การระบาดของไวรัสโควิด-19 เร่งภาคธุรกิจปฏิรูป สู่มาตรฐานใหม่ หลังพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจดั้งเดิมชะงัก จับตา ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ-ธุรกิจชำระเงินออนไลน์ มาแรง ขณะที่ธุรกิจน้ำมัน นับถอยหลังสู่พลังงานยุคใหม่ นักลงทุนรุ่นใหม่ คาดทิศทางตลาดหุ้นไทยในระยะ 1-2 เดือนพักฐานที่ระดับ 1300 จุดปรับกลยุทธ์เก็งกำไรในหุ้นเทคนิคสวย และกระจายความเสี่ยงในตลาดต่างประเทศ

 

 

ณพวีร์ พุกกะมาน ผู้บริหารส่วนภูมิภาค จีเอ็มไอ เอดจ์ กลุ่มสถาบันการเงินจากอังกฤษ และผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space สถาบันให้ความรู้ด้านนวัตกรรมการลงทุนรูปแบบใหม่ เปิดเผยว่า

ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 นอกจากส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และตลาดการเงินอย่างรุนแรงในขณะนี้แล้ว ยังส่งผลทำให้ทั่วโลกมีการจัดระเบียบครั้งใหญ่จนนำไปสู่มาตรฐานใหม่ (New Normal) ไม่ว่าจะเป็นด้านการเมือง สังคม และเศรษฐกิจ โดยหลายธุรกิจ หรืออุตสาหกรรม กำลังปฏิรูปธุรกิจ หรือหยุดชะงัก (Disrupt) จากผลกระทบด้านเทคโนโลยี และการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เป็นตัวกระตุ้นให้ธุรกิจเหล่านั้นล่มสลายไปเร็วขึ้น และมีมาตรฐานใหม่ที่เกิดขึ้นจะเป็นโอกาสของธุรกิจยุคใหม่ รวมถึงการลงทุนในกิจการนั้นๆ เพื่อสร้างผลตอบแทนในระยะยาว

 

กลุ่มธุรกิจยุคใหม่ที่ได้รับผลบวกอย่างชัดเจนมาก คือ ตลาดอีคอมเมิร์ซ หรือตลาดซื้อขายออนไลน์ ที่กำลังจะกลายเป็นกระแสหลักของการค้าขายทั่วโลก ภายหลังการค้าขายแบบดั้งเดิมหยุดชะงักจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้ตลาดออนไลน์มีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สะท้อนจากตัวเลขการเติบโตในช่วงวิกฤตโควิด-19 ของ AMAZON ALIBABA หรือ JD.com และเชื่อว่าหลังจากจบวิกฤตครั้งนี้ผู้บริโภคจะคุ้นชินกับการซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้นแน่นอน ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่ตลาดต่างประเทศจะเติบโต แต่ตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศจะเติบโตขึ้นชัดเจนเช่นเดียวกัน

 

การเปลี่ยนแปลงสู่มาตรฐานใหม่ถัดมา คือ การชำระเงินจะปรับเปลี่ยนมาอยู่ในรูปแบบออนไลน์ แทนวิธีการชำระเงินแบบเดิมที่ใช้เงินสด ซึ่งสอดคล้องกับกระแสการเติบโตของอีคอมเมิร์ซ บวกกับธนบัตรและเหรียญเงิน ต่างเป็นพาหะของเชื้อโรคอย่างดี อีกทั้งนโยบาย Lockdown ส่งผลกระทบอย่างชัดเจนต่อการจับจ่ายซื้อขายด้วยเงินสดของตลาดนัดและห้างสรรพสินค้าที่ลดหายไป ทั้งนี้กลุ่มบริษัทที่ได้รับประโยชน์ตามกระแสดังกล่าวในระยะยาว และมีความน่าสนใจแน่นอนว่าต้องเป็นบริษัทผู้ให้บริการชำระเงินที่ผู้บริโภคทั่วโลกคุ้นเคย อย่าง VISA, MASTERCARD และ PAYPAL ซึ่งทั้งสามบริษัทต่างมีนโยบายชัดเจนที่จะมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาเทคโนโลยีการชำระเงินทางออนไลน์อย่างเต็มรูปแบบ

 

หากไปดูราคาหุ้นของ VISA, MASTERCARD และ PAYPAL ถือว่ามีความน่าสนใจมาก เพราะราคาหุ้นที่ผ่านมาได้ปรับตัวลดลงตามภาวะตลาดหุ้นทั่วโลก แต่พอตลาดฟื้นและความกังวลเริ่มลดลง ราคาหุ้นต่างปรับตัวขึ้นแรง ซึ่งทิศทางธุรกิจในระยะยาวทั้งสามบริษัทจะเติบโตโดดเด่น แต่หากมองฝั่งเอเชีย ต้องจับตาที่การขายไอพีโอของ Ant Financial บริษัทลูกของ ALIBABA ที่เป็นฟินเทคที่ใหญ่ที่สุดในโลก เจ้าของแพลตฟอร์มชำระเงินที่มีคนใช้ทั่วโลกกว่า 1,000 ล้านคน หากเข้าตลาดหุ้นจะเป็นหนึ่งในการลงทุนที่น่าสนใจอย่างมาก

 

สุดท้าย มองว่าธุรกิจน้ำมันแบบฟอสซิล ที่มีจุดอ่อน (Pain Point) ในด้านต้นทุนต่อหน่วยที่สูง เริ่มนับถอยหลังสู่พลังงานยุคใหม่ (New Energy) ที่สามารถแก้ไข Pain Point เดิมได้ ปรากฏการณ์นี้มาพร้อมกับความขัดแย้งของชาติผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อย่างซาอุดิอาระเบีย และรัสเซีย ขณะที่การ Lockdown ทั่วโลก กระทบต่อการเดินทางระหว่างประเทศอย่างรุนแรง มีการคาดการณ์ว่าอาจต้องใช้เวลากว่าสองปี การเดินทางระหว่างประเทศจึงจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติเหมือนเดิมก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19 ซึ่งธุรกิจที่จะได้รับผลบวก คือ TESLA ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่มีคนรู้จักมากที่สุด แม้ในเวลานี้บริษัทยังไม่สามารถทำกำไรได้ แต่ราคาหุ้นหลังโควิด-19 เริ่มผ่อนคลายลง ดีดตัวขึ้นอย่างรวดเร็วจนใกล้ที่จะกลับไปใกล้เคียงกับระดับเดิม ก่อนที่ตลาดหุ้นจะถูกเทขายอย่างหนักแล้ว

 

 

ปุณยวีร์ จันทรขจร นักลงทุนคนรุ่นใหม่ และวิทยากรด้านการลงทุนที่ลงทุนทั้งในไทยและต่างประเทศ ทั้งหุ้น ค่าเงิน และสินค้าทางการเงินมากมาย กล่าวถึงมุมมองด้านการลงทุนว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยในระยะสั้นอาจเห็นการทยอยขายสินทรัพย์ เพื่อเก็บเงินสดไว้ก่อน ทั้งในการชำระหนี้และการรักษาสภาพคล่องบ้าง ขณะที่ราคาน้ำมันตลาด Future ในช่วงนี้ร่วงลงมาติดลบอย่างต่อเนื่อง เป็นผลกระทบจากความขัดแย้งของกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันกดดันราคาน้ำมันดิบ ซึ่งราคาน้ำมันที่ลดลงมีผลบวกในด้านต้นทุนของผู้ผลิตที่ลดลง ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนส่ง และธุรกิจโรงไฟฟ้า แต่มองในเชิงจิตวิทยาอาจทำให้เกิดการเทขายสินค้าอื่นบนความผันผวนที่รุนแรงได้เช่นกัน

อย่างไรก็ดีดัชนีหุ้นไทย (SET) ในระยะสั้น 1- 2 เดือน น่าจะการพักฐานก่อน โดยจะยังไม่เห็นการทำจุดต่ำสุดใหม่ (New low) และอาจจะกลับขึ้นไปทดสอบที่ระดับ 1300 จุดได้ เพราะความแข็งแกร่งของไทยที่สูงกว่าเพื่อนบ้านในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ส่วนทิศทาง SET ระยะกลางและยาวไม่สามารถคาดการณ์ได้จากปัจจัยใหม่ๆ ที่เข้ามาทุกวัน โดยจับตา ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ คือกุญแจสำคัญที่จะกำหนดทิศทางการลงทุนทั่วโลกหลังจากนี้ เพราะหากดอลลาร์แข็งค่า จะทำให้มีการเทขายสินทรัพย์อื่นๆ เพื่อไปถือดอลลาร์แทน ทั้งในเชิงการเก็งกำไร และการประกันความเสี่ยง

 

การลงทุนปีนี้ค่อนข้างคาดการณ์ยาก จึงปรับกลยุทธ์การลงทุน เป็นการมองหาโอกาสเก็งกำไรระยะสั้นจากความผันผวนสูงของตลาด โดยให้เน้นลงทุนหุ้นรายตัวที่มีสัญญาณกราฟทางเทคนิคที่แข็งแรงเป็นหลัก เพราะขณะนี้การเคลื่อนที่ของสินทรัพย์เป็นไปตามสภาพคล่องมากกว่าปัจจัยพื้นฐาน และกลุ่มที่น่าสนใจจะมีแรงซื้อนำให้เห็นเองโดยไม่ต้องเดา อย่างไรก็ดียังได้กระจายเงินออกไปต่างประเทศด้วย เพื่อลดความเสี่ยง และอีกมุมก็เป็นการเพิ่มโอกาสทำกำไร ด้วยเพราะวิกฤตโควิด-19 กระทบต่อตลาดการลงทุนทั่วโลกที่ผันผวนเช่นเดียวกัน
นายปุณยวีร์ กล่าวปิดท้าย

[อ่าน 1,070]
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์ไทย แนะแบรนด์เสริมกลยุทธ์
The Importance of Building ​Nation Brand
9 แนวทางการสื่อสารความยั่งยืนให้กับองค์กร Effective Sustainability Communications
เปิดมุมมอง “ปิยะพงศ์ จิตต์จำนงค์” ถึงกลยุทธ์ KFC ของ CRG และแผนรุกตลาด QSR ปี 2567
Do & Don’t และแผนการสืบทอดธุรกิจครอบครัว
EMMA Clinic มอบอัตลักษณ์ความงามเฉพาะคุณ
MAGAZINE UPDATE
Owner
DOUBLE D CREATION Co.,Ltd.
เอเวอร์กรีนวิว ทาวเวอร์ ชั้น 4
เลขที่ 22/43 ซอยบางนา-ตราด 56 ถนนบางนา-ตราด
แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร 10260
Tel : 0-2751-4995-6
Mobile : 062-194-4561
Advertising
ติดต่อโฆษณา และ การตลาด
คุณศุภากร ยาตพงศ์ (บู)
Mobile : 08-1355-3636
Tel : 0-2751-4995-6
E-mail : market-plus@hotmail.com
info@marketplus.in.th
PR News
ส่งข่าวประชาสัมพันธ์
E-mail : info@marketplus.in.th,
market-plus@hotmail.com,
marketplus@hotmail.co.th
Copyright © 2016 DOUBLE D CREATION Co.,Ltd. All rights Reserved