นับตั้งแต่ที่ ‘ฟูจิตสึ’ ได้เปิดตัววิสัยทัศน์ด้านการบริการและเทคโนโลยีในปี 2014 โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ ‘นวัตกรรมเพื่อมนุษยชาติ’ (Human Centric Innovation) ซึ่งเป็นก้าวย่างในการส่งมอบนวัตกรรมให้แก่ลูกค้าทั่วโลก มาจนถึงปัจจุบันที่ฟูจิตสึได้ปรับแนวทางมาสู่ ‘นวัตกรรมเพื่อมนุษยชาติ : การเปลี่ยนแปลงที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีดิจิตอล’ (Human Centric Innovation - Driving Digital Transformation) ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อเทคโนโลยีเข้ากับธุรกิจและสังคม
โยชิคูนิ ทาคาชิเกะ รองประธานฝ่ายกลยุทธ์ทางด้านการตลาด บริษัท ฟูจิตสึ ลิมิเต็ด จำกัด กล่าวว่า “สำหรับวิสัยทัศน์ของบริษัทในปีนี้ ‘Human Centric Innovation’ เราให้ความสำคัญในเรื่องของคนเป็นอย่างมาก ซึ่งเราจะนำเทคโนโลยีดิจิตอลเข้าไปเสริมศักยภาพหรือความสามารถที่คนมีอยู่เพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ โดยมีหัวข้อสำคัญ 3 เรื่องหลักคือ การเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิตอล (Digital Transformation), อินเตอร์เน็ตในทุกสิ่ง (IoT) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งใหม่ (A New Industrial Revolution)”
ทาคาชิเกะอธิบายเสริมต่อว่า ปัจจุบันมีการนำเทคโนโลยีดิจิตอลเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการธุรกิจมากขึ้น ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนผ่านทางด้านเทคโนโลยีที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถยกระดับการทำงานให้ดีขึ้น ยกระดับการแข่งขัน รวมถึงช่วยยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าให้เพิ่มมากขึ้น โดยปัจจุบันลูกค้าของฟูจิตสึก็เริ่มหันมาใช้ระบบดิจิตอลทรานส์ฟอร์เมชั่นแล้วเช่นเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น ธุรกิจรีเทลที่ได้ร่วมมือกับฟูจิตสึสร้างโซลูชั่นเพื่อวิเคราะห์ความต้องการเฉพาะของลูกค้าแต่ละคน ซึ่งจะทำให้สามารถสร้างโปรโมชั่นได้ตรงกับสิ่งที่ลูกค้าต้องการได้ รวมไปถึงการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับโรงงานผลิตสินค้า ที่จะมีการเชื่อมโยงระบบ IoT (Internet of Things) เข้าไปในทุกกระบวนการผลิต ซึ่งจะช่วยเพิ่มผลผลิตได้ถึง 30%
“ปัจจุบันโลกดิจิตอลกำลังเดินทางจากคลื่นลูกที่ 1 อินเตอร์เน็ต และคลื่นลูกที่ 2 โมบายอินเตอร์เน็ต มาสู่คลื่นลูกที่ 3 Internet of Things ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าภายในปี 2020 จะมีดีไวซ์กว่า 5 หมื่นล้านชิ้นเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ต แต่ในอนาคตจะมีคลื่นที่ใหญ่กว่านั้นเป็นคลื่นลูกที่ 4 ก็คือ AI และ Robotics โดยทั้งคลื่นที่ 3 และ 4 จะส่งผลกระทบต่อทุกอุตสาหกรรม หรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งใหม่ก็ว่าได้” ทาคาชิเกะอธิบาย
หนึ่งในนวัตกรรมเพื่อมนุษยชาติที่ฟูจิตสึได้พัฒนาขึ้นและถูกนำไปใช้จริงแล้วในปัจจุบันอย่าง ‘Fujitsu PalmSecure’ โซลูชั่นการพิสูจน์ตัวตนแบบองค์รวม ที่บริษัท Sberbank ในประเทศรัสเซีย ได้นำไปใช้เพื่อบริหารจัดการระบบการซื้ออาหารกลางวันภายในโรงเรียน เพื่อช่วยแก้ปัญหาการใช้เงินสดที่เด็กๆ มักจะทำหายหรือถูกขโมยได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการจับภาพรูปแบบเส้นเลือดบนฝ่ามือของนักเรียนแต่ละคน และเก็บไว้ในฐานข้อมูลของโรงเรียน ซึ่งวิธีนี้ยังช่วยลดความซ้ำซ้อนในการต่อคิวซื้ออาหารและชำระเงิน อีกทั้งยังมีการแจ้งเตือนไปให้ผู้ปกครองทราบด้วยว่าเด็กๆ ซื้ออะไรทานที่โรงเรียนบ้างแบบอัตโนมัติ ซึ่งโซลูชั่นเหล่านี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของโลกอนาคตที่ไม่ได้ไกลตัวอีกต่อไป
“ในปี 2015 ฟูจิตสึได้มีความร่วมมือกับลูกค้ากว่าหลายร้อยรายทั่วโลกในการทำเรื่อง IoT รวมไปถึงในประเทศไทยฟูจิตสึก็ได้แนะนำเทคโนโลยี IoT ให้กับหลายอุตสาหกรรม แต่ก็ยังมีอีกหลายองค์กรที่ยังไม่สามารถเริ่มต้นได้ เนื่องจากไม่เข้าใจหลักการและไม่มีความรู้ในเรื่องนี้”
อย่างไรก็ตาม แนวทางธุรกิจของฟูจิตสึต่อจากนี้ยังคงยึดยุทธศาสตร์ One Asia ซึ่งจะทำตลาดโดยมองเอเชียเป็นหนึ่งเดียว เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตรงต่อความต้องการของลูกค้าในแต่ละประเทศ โดยความร่วมมือจากสำนักงานใหญ่ในประเทศญี่ปุ่น และสำนักงานอื่นๆ ในเอเชีย
โดยล่าสุด ฟูจิตสึได้เปิดตัวศูนย์ Fujitsu Digital Transformation Center (DTC) ในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เพื่อการทดสอบระบบ IoT ที่ร่วมกับผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับ IoT และบริการอื่นๆ จากฟูจิตสึและองค์กรพันธมิตร ซึ่งลูกค้าและผู้พัฒนาแอปพลิเคชั่นสามารถเข้ามาทดสอบระบบได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย และจะได้รับการสนับสนุนทางเทคนิคจากวิศวกรผู้เชี่ยวชาญของฟูจิตสึ พร้อมกันนี้ฟูจิตสึยังได้เปิดให้บริการ FUJITSU IoT Solution IoT Business Support Services เพื่อให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่กำลังมองหา IoT ไปใช้เพื่อพัฒนาธุรกิจให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยให้บริการตั้งแต่กระบวนการวางแผน ทดสอบต้นแบบ การออกแบบ สร้าง และดำเนินงานระบบ IoT ที่รองรับเวนเดอร์หลากหลาย โดยในปัจจุบันศูนย์ DTC ได้เปิดให้บริการแล้ว 7 แห่งทั่วโลก ได้แก่ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ อังกฤษ เยอรมนี สเปน สหรัฐอเมริกา และออสเตรเลีย
“จากยุทธศาสตร์ดังกล่าวเราได้ตั้งเป้าว่า ภายในปี 2020 ฟูจิตสึจะมีรายได้เพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 50% จากการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิตอลในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งถือเป็นภูมิภาคสำคัญของเศรษฐกิจโลกในอนาคต โดยประเทศไทยถือเป็นอีกหนึ่งตลาดที่ฟูจิตสึให้ความสำคัญ” ทาคาชิเกะกล่าว