ดร.สิรยา คงสมพงษ์ ที่ปรึกษาอาวุโส SEAC กล่าวว่า อุปสรรคของการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันที่ทำให้ผู้เรียนไม่สามารถนำความรู้ไปปรับใช้ได้จริงในงานหรือชีวิตประจำวัน คือ เนื้อหาความรู้ไม่ตอบโจทย์การนำไปใช้ได้จริง ถูกบังคับให้เรียนในสิ่งที่ผู้เรียนไม่ได้สนใจจริงๆ ไม่เกิดความอยากเรียนรู้ และวิธีการวัดผลลัพธ์หลังการเรียนรู้ มองว่าแม้เนื้อหาความรู้ยังคงเป็นเนื้อหาเดิม แต่วิธีการเรียนรู้การนำไปใช้คือจุดเปลี่ยนที่ทำให้เกิดการนำไปปรับใช้ได้จริงในชีวิตประจำวันและในการทำงาน
ทั้งนี้ภาพรวมตลาดธุรกิจด้านการพัฒนาศักยภาพบุคลากรและองค์กร (Corporate Training) ของประเทศไทย มีมูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังโควิด-19 ที่ผู้คนพยายาม Reskill ใหม่ๆ ให้กับตัวเอง แต่จากงานวิจัยพบว่ากว่า 75% ของผู้เรียนไม่ได้รู้สึกว่าการเข้าฝึกอบรมมีประสิทธิภาพจริงและกว่า 88% ของผู้เข้าเรียนไม่สามารถนำความรู้ไปปรับใช้ในการทำงานได้ ซึ่งถือเป็นจำนวนที่มาก หากเทียบกับตัวเลขผู้เข้าเรียนและเม็ดเงินที่ผู้คนได้ใช้จ่ายให้กับอุตสาหกรรมนี้
อีกทั้งการเรียนรู้การทำ workshop อย่างเดียวยังไม่พอ ซึ่ง SEAC เน้นเรื่องการนำสิ่งที่ได้ไปปรับใช้ได้จริงในชีวิตประจำวันและในการทำงาน ดังนั้นจึงได้คิดค้นนวัตกรรม SEAC’s Smart Learning เอกสิทธิ์เฉพาะของ SEAC ที่เน้นให้ผู้เรียนเป็นผู้สอนได้ด้วย โดยมี 3 กลไกหลักในการสร้าง Smart Learning ได้แก่ 4 Line Learning คือ รูปแบบการเรียนรู้หลากหลาย, 5 Phase Development คือการออกแบบให้คนอยากเรียนรู้ และ6 Learning Labs จะเป็นห้องเรียนสู่การลงมือทำจริง
อริญญา เถลิงศรี กรรมการผู้จัดการและผู้ก่อตั้ง SEAC กล่าวว่า ในทุกๆ ธุรกิจไม่สามารถจะทำเหมือนเดิมไปได้ตลอด ดังนั้นเมื่อต้อง Reframe องค์กรต้องเป็นผู้สร้างการเรียนรู้นั้นขึ้นมาเอง เพื่อให้เป็นโมเดลของการสร้างการเรียนรู้ที่ได้ผลลัพธ์ที่นำไปใช้ได้จริง สำหรับ SEAC นั้นได้รวบรวมองค์ความรู้ที่มาจากองค์กรต่างๆ มาร่วมจัดเป็น Smart learning ที่สามารถให้องค์กรต่างๆ นำวิธีการนี้ไปปรับใช้กับความรู้ต่างๆ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถปรับเปลี่ยนความรู้นั้นไปใช้ในการทำงาน
“เราต้องทำให้คนต้องรู้สึกถึงอยากเรียนและต้องรู้ว่าเรียนไปทำไม โดยเราไม่ใช้เวลากับเนื้อหา แต่ใช้เวลาในการออกแบบวิธีการเรียนรู้ว่าคนจะนำความรู้ที่ได้ไปปรับใช้จริงอย่างไร”
ทั้งนี้สิ่งที่ต่างไปจากเดิมที่ทำคือ การเข้าไปคุยกับลูกค้าว่าปัญหาที่ลูกค้าพบเจอคืออะไร โดยมีทั้งปัญหาของลูกค้า และการสร้างโอกาสใหม่ๆ ในการเรียนรู้ และจะต้องใช้ดึงวิธีการแบบไหนเพื่อให้การนำความรู้นั้นมาใช้ได้จริง SEAC เข้าไปออกแบบวิธีการเรียนรู้ให้ ซึ่งเริ่มจากองค์กรเอกชนในประเทศไทยก่อน และมีขยายในหลายประเทศในเอเชีย เช่น เวียดนาม เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ญี่ปุ่น เป็นต้น โดยคนที่เข้าร่วมโปรแกรมนี้ประมาณ 86% ของผู้เรียนสามารถนำไปปรับใช้ในการทำงานจริงขององค์กร
เจมส์ เอนเกล Chief Learning Architect ของ SEAC กล่าวว่า หน้าที่ของผู้เรียนคือ การนำความรู้ที่ได้ไปใช้งาน ซึ่งจะเป็นการเรียนรู้ที่ได้ผลลัพธ์อย่างแท้จริงของการเข้าเรียน โดยขั้นตอนการเรียนรู้เป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นจึงต้องทำให้มีการนำความรู้เข้าไปในชีวิตประจำวันของผู้เรียนให้ได้ แน่นอนที่ธุรกิจให้ความสำคัญเรื่องงบประมาณที่ต้องใช้ในการผลักดันให้พนักงานเกิดการเรียนรู้ ซึ่งโปรแกรมนี้ทำให้ธุรกิจจ่ายเงินในการเรียนรู้น้อยลงกว่าเดิม แต่พนักงานได้ประสบการณ์เรียนรู้ที่เปลี่ยนไปและได้ลงมือทำจริงจากความรู้ที่ได้
ทั้งนี้สิ่งที่ SEAC ทำคือ ทำให้ผู้เรียนรู้ตั้งแต่ต้นว่าความรู้ที่ได้จากการเรียนจะนำไปใช้กับงานด้านใด สถานการณ์แบบไหนเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ที่มีทิศทางในการนำไปใช้จริง เรียนรู้จากสิ่งที่ผู้เรียนอยากรู้ โดยวิธีนี้สามารถวัดผลลัพธ์ได้จริง ซึ่ง SEAC มีเครื่องมือช่วยติดตามการเรียนของผู้เรียนในการใช้วัดผลของการนำความรู้ไปใช้ ซึ่งการเรียนแบบสร้างการมีส่วนร่วมด้วยกันทำให้เกิดผลลัพธ์การนำไปใช้จริงอย่างเห็นได้ชัดและส่งผลต่อองค์กรในเรื่องการทำงานโดยตรง
อีกทั้งที่ผ่านมา SEAC มีผู้เข้าร่วมอบรมกว่า 2,000,0000 คน สร้างอัตราความสำเร็จหลักสูตรได้ถึง 77% และ 95% ของผู้เรียนกล่าวว่าสามารถนำความรู้และทักษะออกไปใช้สร้างความเปลี่ยนแปลงได้จริง ทั้งนี้ SEAC ยังคงมุ่งมั่นที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนผ่านการเรียนรู้ที่นำไปปรับใช้ได้จริง (Empower Lives Through Learning) โดย SEAC's Smart Learning จะเป็นโซลูชั่นที่อำนวยความสะดวกให้ผู้เรียนสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกตั้งแต่ฐานรากของชีวิต ไปจนถึงระดับองค์กรได้
รูปแบบการเรียนรู้ที่ออกแบบมาให้ผู้เรียนได้รับประสิทธิผลและผลลัพธ์สูงสุด
OnLine เรียนรู้ทฤษฎีได้ทุกที่ทุกเวลาบนแพลตฟอร์มออนไลน์ เปลี่ยนเนื้อหาที่มีแต่ตัวหนังสือน่าเบื่อให้เป็น
การเรียนรู้ที่สนุก ปูพื้นฐานให้ผู้เรียนสามารถเข้าใจและนำไปใช้ได้จริงก่อนเวิร์คช็อป ด้วยเนื้อหาระดับโลก
ที่ดีที่สุด
InLine เรียนจริง ปฏิบัติจริงกับโค้ชตัวจริง ร่วมกับเพื่อนๆ คนอื่น เพื่อเชื่อมโยงเนื้อหาที่ได้รับเข้ากับสถานการณ์จริงที่เต็มไปด้วยความท้าทาย พร้อมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และความรู้สึกกับผู้เรียนที่หลากหลาย
FrontLine เรียนรู้ผ่านเครื่องมือ และคอมมูนิตี้เพื่อการประยุกต์ในชีวิตจริง ทั้งการทำโปรเจกต์ตามที่กำหนด และการลงภาคสนามฝึกทักษะ และฝึกปฏิบัติ
BeeLine คอมมูนิตี้ต่อยอดการเรียนรู้ หรือพื้นที่สำหรับมาแชร์ประสบการณ์ และผลลัพธ์จากการนำสิ่งที่เรียนไปต่อยอดการเรียนรู้ให้กันและกัน จากประสบการณ์การลงมือทำจริงของผู้เรียนที่มีความหลากหลายเพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ดีกว่า และร่วมมือกันวางแผนสิ่งที่จะทำต่อไป
กรอบการออกแบบเส้นทางการเรียนรู้ที่คำนึงถึงบริบทของผู้เรียน เพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ชุดทักษะ ชุดเครื่องมือ และกรอบความคิดใหม่ๆ อีกทั้งสามารถนำไปปรับหรือประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบไปด้วย 5 เฟส ได้แก่
Introduce & Enroll การทำให้ผู้เรียนเล็งเห็นความสำคัญ และผลลัพธ์ที่ดีก่อนเข้าเรียน ผ่านเครื่องมือ
สร้างแรงบันดาลใจรูปแบบต่างๆ เพื่อเปิดประตูสู่ความรู้สึกอยากเรียนรู้ และพัฒนาตนเองที่มาจากตนเอง
โดยแท้จริง
Baseline & Measure การสำรวจพฤติกรรมตัวเอง ค้นหาช่องว่าง และโอกาสในการพัฒนาตนเองที่ตรงกับ
ทั้งความต้องการ และศักยภาพที่ซ่อนอยู่ สู่การค้นพบคุณค่าที่การเรียนรู้จะถูกนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง
Connect & Inspire การเข้าคอมมูนิตี้ที่จะสนับสนุนความสำเร็จให้กันและกัน ผ่านการสร้างสายสัมพันธ์
และแพชชั่นที่จะช่วยกันบรรลุเป้าหมายการพัฒนาตนเองได้เร็วขึ้นผ่านการเรียนรู้ การแลกเปลี่ยน และการเติมเต็มแรงบันดาลใจจากเพื่อนรอบตัว
Build & Integrate ผู้เรียนสามารถสร้างกรอบความคิด และทักษะที่เชื่อมโยงกับตนเอง สู่การนำไปประยุกต์
ใช้ในชีวิต โดยเชื่อมโยงเนื้อหา และเครื่องมือที่เรียนเข้าสู่สถานการณ์ และบริบทของผู้เรียน ให้รู้ว่าจะนำไปใช้
จริงอย่างไร
Consolidate & Sustain ผู้เรียนสามารถนำสิ่งที่เรียนไปใช้ให้เกิดผลลัพธ์ และการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน
มีการวางแผนร่วมกันกับผู้เรียนคนอื่น เพื่อช่วยเหลือ แบ่งปันประสบการณ์ และความรู้ระหว่างกัน
พื้นที่แห่งการลงมือปฏิบัติจริงในรูปแบบกลุ่ม ที่ผู้เรียนจะได้นำทฤษฎี และทักษะมาฝึกปฏิบัติ อภิปราย และแบ่งปันกับผู้เรียนคนอื่น
1. Unpacking สรุปทบทวนเนื้อหา สร้างความเข้าใจในเชิงลึก หลังเวิร์คช็อปหรือคลาสเรียน ช่วยให้ผู้เรียนทบทวน และเข้าใจเนื้อหา เครื่องมือ และโมเดลที่เรียนมาในเชิงลึก และประยุกต์ใช้ได้
2. S.T.A.R.2 Application & Reflection การตั้งเป้าหมาย กำหนดวิธีการลงมือ และเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ โดยใช้โมเดล S.T.A.R.2 ลงมือปฏิบัติตามแผน และนำกลับมาสะท้อนสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการลงมือทำเพื่อพัฒนา
ต่อยอดการเรียนรู้
3. Skills Practice สนามฝึกซ้อมทักษะ สร้างความมั่นใจก่อนลงมือใช้จริง เน้นการฝึกฝนเพิ่มเติมเกี่ยวกับหัวข้อหรือการใช้เครื่องมือต่างๆ เพื่อสร้างความมั่นใจก่อนนำไปใช้จริง
4. Coaching ผู้เชี่ยวชาญให้เครื่องมือ และสนับสนุนผู้เรียนให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ เพื่อติดตามความคืบหน้าของเป้าหมายที่โค้ช และผู้เรียนตั้งไว้ร่วมกัน
5. Impact Presentations ผู้เรียนประยุกต์ใช้สิ่งที่ได้เรียนกับงานจริงผ่านโปรเจ็กต์การเรียนรู้ แล้วกลับมานำเสนอผลลัพธ์ที่ดีที่เกิดขึ้น รวมถึงเครื่องมือที่ใช้ เป็นการสะท้อนถึงผลลัพธ์ที่ได้จากการเรียนรู้ และการลงมือทำจริง
ของผู้เรียน
6. Communities of Practice ชุมชน และพื้นที่ของนักปฏิบัติเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ทักษะ และประสบการณ์ เพื่อหาแนวทางปฏิบัติที่สร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนร่วมกัน