เอสซีจี เดินหน้าลดเหลื่อมล้ำ สร้างโอกาสส่งต่อความรู้คู่คุณธรรม ผ่าน “โครงการพลังชุมชน” มุ่งให้ชุมชนเปลี่ยนวิธีคิด เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น เสริมแกร่งการตลาด เสิร์ฟสินค้าหลากหลายมัดใจลูกค้าเป็นการตลาด พลิกชีวิต 140 ชุมชน กว่า 10,000 คน ใน 14 จังหวัด ปลดหนี้ มีรายได้เพิ่ม อาชีพมั่นคง สร้างเครือข่ายเข้มแข็ง ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจท้องถิ่น
ล่าสุด เอสซีจี ได้ลงพื้นที่ จ.อุดรธานี เยี่ยมชม “กลุ่มวิสาหกิจวังธรรมผลิตและแปรรูปปลาครบวงจร” (ปลาส้มวังธรรม) ที่เปลี่ยนสินค้าท้องถิ่นธรรมดา ให้มีมูลค่าด้วยการตลาดครบวงจร และ
“กลุ่มวิสาหกิจชุมชนเกษตรกรน้ำหมักเอนไซม์สมุนไพรเพื่อสุขภาพ” บ้านหนองเป็ด ที่หยิบสมุนไพรพื้นบ้าน ผนวกกับความรู้ที่สั่งสมจากการอาศัยอยู่เยอรมนีมากว่า 24 ปี ของ “พี่บัว-เขียว จอดนอก” แปรรูปน้ำหมักเอนไซม์สมุนไพร พัฒนาสินค้าจับตลาดไทยและตลาดนอก
การตลาดรอดจน ด้วยความรู้คู่คุณธรรม
โครงการพลังชุมชน ถือเป็นหลักสูตรเสริมสร้างความรู้ชุมชน สร้างอาชีพยั่งยืน ของ เอสซีจี ที่ขยายผลศาสตร์พระราชาปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง สู่การสร้างแรงบันดาลใจให้ชุมชนลุกขึ้นมาพัฒนา พึ่งพาตนเอง ด้วยภูมิปัญญาและวัตถุดิบท้องถิ่น มาต่อยอดแปรรูปเพิ่มมูลค่า สร้างอัตลักษณ์สินค้าให้โดดเด่น รู้จักตลาดก่อนผลิตและขาย สร้างแบรนด์ ทำการตลาด ขยายช่องทางการขาย ทั้งออฟไลน์ และออนไลน์ รวมถึงวางแผนชีวิตเพื่อความยั่งยืน
วีนัส อัศวสิทธิถาวร ผู้อำนวยการ สำนักงาน Enterprise Brand Management เอสซีจี
วีนัส อัศวสิทธิถาวร ผู้อำนวยการ สำนักงาน Enterprise Brand Management เอสซีจี เผยว่า
เอสซีจี มุ่งแก้จน ลดความเหลื่อมล้ำสังคม ผ่านโครงการพลังชุมชน อบรมเสริมความรู้สร้างอาชีพยั่งยืน น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดำเนินชีวิต เน้นพึ่งพาตนเอง ส่งเสริมชุมชนให้เห็นคุณค่า และพัฒนาศักยภาพตนเอง แปรรูปเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น เข้าใจลูกค้าและตลาดก่อนผลิตและจำหน่าย บริหารจัดการความเสี่ยง สร้างภูมิคุ้มกัน
“แนวทางในการดำเนินธุรกิจของเอสซีจี คือ ESG 4Plus นอกจากเรื่องของ สิ่งแวดล้อม สังคม และความถูกต้องโปร่งใส แล้ว ยังรวมถึง 4 เรื่อง ได้แก่
มุ่ง Net Zero – Go Green – Lean เหลื่อมล้ำ – ย้ำร่วมมือ คือ การสร้างความร่วมมือ สำหรับ โครงการพลังชุมชนอยู่ในหมวด Lean เหลื่อมล้ำ
โดยการช่วยให้ความรู้กับชุมชน หยิบของในบ้านที่มีมาสร้างมูลค่าเพิ่ม มีรายได้ อาชีพมั่นคง ทั้งต่อยอดความรู้สามารถพัฒนาเป็นการตลาดรอดจน
พร้อมแบ่งปันความรู้ ขยายเครือข่ายชุมชนเข้มแข็ง และเป็นต้นแบบส่งต่อแรงบันดาลใจให้ชุมชนอื่นๆ ต่อไป”
ปัจจุบัน โครงการฯ ให้ความรู้ชุมชนกว่า 450 คน ใน 14 จังหวัด ได้แก่ ลำปาง สระบุรี กาญจนบุรี นครศรีธรรมราช เชียงราย แพร่ อุดรธานี อุบลราชธานี ลำพูน อุตรดิตถ์ บุรีรัมย์ พิษณุโลก ตาก และระยอง ส่งผลให้ชุมชนมีรายได้เพิ่มขึ้นกว่า 10,000 – 100,000 บาท/คน/เดือน อยู่รอด เติบโต พร้อมแบ่งปัน และสร้างเครือข่ายชุมชนเข้มแข็งร่วมกัน
“เอสซีจี เชื่อมั่นว่า หากชุมชนลุกขึ้นมาพึ่งพาตนเอง ใช้ความรู้คู่คุณธรรม ด้วยการปรับเปลี่ยนวิธีคิด ทำสิ่งที่ตนเองเชี่ยวชาญ สร้างสรรค์สินค้าจากผลิตภัณฑ์ใกล้ตัวที่หาได้ในท้องถิ่นให้ตรงใจลูกค้า ตามความต้องการของตลาด ช่วยสร้างอาชีพ รายได้เพิ่ม ขับเคลื่อนเศรษฐกิจท้องถิ่น นำไปสู่การแก้ปัญหาความยากจน และลดเหลื่อมล้ำในสังคม” วีนัส กล่าว
ESG 4Plu
ปลาส้มวังธรรม เป้าหมายสู่ Namsom food & Herbland
การพัฒนาบ้านเกิดที่ อำเภอน้ำโสม จังหวัด อุดรธานี ให้เป็น Namsom food & Herbland เป็นเป้าหมายที่ “ยศวัจน์ ผาติพนมรัตน์ หรือพี่เก๋” ประธานกลุ่มวิสาหกิจวังธรรม ผลิต และแปรรูปปลาครบวงจร อำเภอน้ำโสม จังหวัดอุดรธานี (ปลาส้มวังธรรม) ในวัย 48 ปี บอกเล่าให้ฟังระหว่างลงพื้นที่ กลายเป็นสิ่งที่ผลักดันให้ตัดสินใจลาออก จากการเป็นทหารอากาศ ตั้งแต่ในวัย 42 ปี เพื่อเติมเต็มความฝัน โดยเริ่มจากสิ่งที่ถนัด คือ การทำปลาส้ม และที่สำคัญคือ ต้องคั้นด้วยมือ
ยศวัจน์ ผาติพนมรัตน์ ประธานกลุ่มวิสาหกิจวังธรรมผลิตและแปรรูปปลาครบวงจร อ.น้ำโสม จ.อุดรธานี (ปลาส้มวังธรรม)
เวลากว่า 6 ปีในการกลับมาอยู่บ้านเกิด และเข้าปีที่ 5 กับการเป็นนักเรียนดีเด่นในโครงการพลังชุมชน ทำให้ได้ความรู้การทำตลาดครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำ (ผลิต) - กลางน้ำ (แปรรูป) - ปลายน้ำ (จัดจำหน่าย) มีแหล่งวัตถุดิบแปรรูปผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นให้มีมูลค่าเพิ่ม และควบคุมสินค้าให้มีคุณภาพสูง กลายเป็นหลักการตลาดรอดจน ประกอบด้วย
อีกทั้งยังส่งเสริมให้ชุมชนเลี้ยงปลาเพื่อนำมาแปรรูปเป็นปลาส้ม สร้างรายได้ให้ชุมชนเฉลี่ย 200,000-300,000 บาทต่อเดือน
นอกจากนี้ ยังถ่ายทอดความรู้ด้านการเพิ่มมูลค่าสินค้าท้องถิ่นให้แก่ นักเรียนโรงเรียนน้ำโสมวิทยาคม นำไปทำเป็นโครงงานวิชาการเข้าประกวด และได้รับรางวัลชนะเลิศระดับประเทศ
“อันดับแรกเราต้องอยู่รอด มีข้าวกิน มีบ้านอยู่ พอกินพอใช้ และแบ่งปัน จากเดิมที่ต้องทำงานไปด้วย และตื่นตี 3-4 เพื่อทำปลาส้มขายจนภรรยาเข้าโรงพยาบาล
แต่ตอนนี้ไม่ต้องอดนอนแล้ว เพราะทำตามความต้องการตลาด ท้ายนี้ ฝากว่าทำอะไรก็ตาม หากทำใหญ่ขึ้นต้องสบายลง หากสวนทางกันจงอย่าทำ” ยศวัจน์ กล่าว
น้ำหมักเอนไซม์ สร้างอาชีพยั่งยืน
“เขียว จอดนอก หรือพี่บัว” ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเกษตรกรน้ำหมักเอนไซม์สมุนไพรเพื่อสุขภาพ บ้านหนองเป็ด อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี
เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของคนที่มองเห็นศักยภาพในสิ่งที่มีอยู่ใกล้ตัว อย่างพืช ผัก ผลไม้พื้นบ้านของไทย จุดประกายให้พี่บัว ตัดสินใจทิ้งชีวิตการทำงานดูแลผู้สูงอายุ ที่ประเทศเยอรมนี กว่า 24 ปี นำความรู้การทำน้ำหมักเอนไซม์ซึ่งได้สั่งสมมา ผนวกกับความเชี่ยวชาญด้านสมุนไพรพื้นบ้าน กลับมาพัฒนาอาชีพของตัวเองและชุมชน
“จากที่เราได้ไปอยู่เยอรมนี ได้เห็นว่าเขาพัฒนาอาหารเป็นยา ทำให้มีความฝันที่จะกลับมาอยู่บ้าน เพราะส่วนใหญ่คนไทยจะเน้นใช้ผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศ
แต่ความจริงสมุนไพรบ้านเรามีศักยภาพ และหากใส่นวัตกรรมเข้าไปในสมุนไพรไทย จะสามารถยกระดับเป็นจุดขาย
โดยเฉพาะปัจจุบัน เรื่องของโพรไบโอติกส์ เอนไซม์ มีมูลค่า สามารถต่อยอดไปได้ในอนาคต”
ระยะเวลากว่า 5 ปีของการกลับมาอยู่บ้านเกิด กับการมุ่งมั่นแปรรูปน้ำหมักเอนไซม์สมุนไพร และพัฒนาผลิตภัณฑ์บนมาตรฐานตามหลักวิทยาศาสตร์ ทำให้ปัจจุบัน ได้มีการต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์หลากหลายตอบรับเทรนด์ลูกค้าที่รักสุขภาพ ครอบคลุมทั้ง 5 กลุ่ม ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ ความงาม, สุขภาพ, ทำความสะอาด, ปรับอากาศ และปศุสัตว์
ช่องทางขายปัจจุบันจำหน่ายทั้งออฟไลน์ และออนไลน์ รวมถึง OEM ซึ่งได้รับความสนใจจากต่างประเทศ เช่น เวียดนาม จีน และลาว
เขียว จอดนอก หรือ พี่บัว ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเกษตรกรน้ำหมักเอนไซม์สมุนไพรเพื่อสุขภาพ บ้านหนองเป็ด อ.เมือง จ.อุดรธานี
ทั้งนี้ พี่บัว ยังเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมโครงการพลังชุมชน ของ เอสซีจี เมื่อ 6 เดือนที่ผ่านมา และได้เรียนรู้หลักคิด 'ง่าย ไว ใหญ่ ยั่งยืน' ใช้สิ่งที่มี มาปรับใช้กับการพัฒนาสินค้า ทำให้คนรู้จัก กล้า และเข้าใจในสิ่งที่เราทำ รวมถึง สามารถถ่ายทอด และแบ่งปันสู่ชุมชน