เรื่องของความยั่งยืน หรือ Sustainability ถูกกล่าวถึงอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมิติของการดำเนินธุรกิจ ที่หลายองค์กรต่างบรรจุนโยบายและเป้าหมายด้านความยั่งยืนไว้ในแผนการดำเนินธุรกิจ
เช่นเดียวกับ ยูนิโคล่ (ประเทศไทย) ที่ล่าสุดออกมาตอกย้ำพันธกิจในการ “ปลดล็อคพลังแห่งเสื้อผ้า” เดินหน้าแผนปฏิบัติการด้านความยั่งยืน
และสานต่อแผนใหญ่ของบริษัทแม่อย่าง ฟาสต์ รีเทลลิ่ง ด้วยการประกาศเป้าหมายด้านความยั่งยืนระยะกลาง ตั้งแต่ปี 2566-2568 เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของคนไทย
โดยบริษัทแม่ของยูนิโคล่อย่าง “ฟาสต์ รีเทลลิ่ง” ได้วางเป้าหมายและแผนปฏิบัติการด้านความยั่งยืนระดับโลกในปีงบประมาณ 2030 ด้วยแนวคิด 2 ประการ คือ
1. ผลิตเสื้อผ้าที่ดีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและโลก ตั้งเป้าผลิตสินค้าจากวัสดุรีไซเคิลให้ได้ 50% ภายในปี 2030 โดยปัจจุบันมีสินค้าหลากหลายประเภทที่เริ่มเพิ่มสัดส่วนการใช้วัสดุรีไซเคิล ไม่ว่าจะเป็นโพลีเอสเตอร์ ดาวน์ หรือ ไนลอนรีไซเคิล ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 5% ของสินค้าทั้งหมด
2. ผลิตเสื้อผ้าที่ดีสำหรับผู้คนและสังคม ส่งเสริมการจัดตั้งสภาพแวดล้อมการทำงานที่สามารถปกป้องสุขภาพ ความปลอดภัย และสิทธิมนุษยชน ตลอดจนดำเนินกิจกรรมช่วยเหลือสังคม ทั้งในระดับสากลและระดับท้องถิ่นเพื่อสร้างสังคมที่ดีขึ้นร่วมกับลูกค้า
โดยปี 2022 ที่ผ่านมา ฟาสต์ รีเทลลิ่ง ได้สนับสนุนเงินจำนวน 8.8 พันล้านเยน ผ่านกิจกรรมเพื่อสังคมต่างๆ รวมถึงบริจาคเสื้อผ้ากว่า 6.98 ล้านชิ้น โดยมีจำนวนผู้ที่ได้รับประโยชน์จากกิจกรรมดังกล่าวมากถึง 7.49 ล้านคนทั่วโลก
นอกจากนี้ ฟาสต์ รีเทลลิ่ง ยังตั้งเป้าเพิ่มจำนวนผู้ที่ได้รับประโยชน์เป็น 10 ล้านคน เพิ่มเสื้อผ้าในการบริจาคเป็น 10 ล้านชิ้น และเพิ่มเงินสนับสนุนเป็น 10 พันล้านเยน ภายในปี 2050
สำหรับ ยูนิโคล่ (ประเทศไทย) นอกจากการสานต่อตามเป้าหมายและแผนปฏิบัติการด้านความยั่งยืน ของฟาสต์ รีเทลลิ่งแล้ว ยังได้วางเป้าหมายและกำหนดระยะเวลาในการบรรลุเป้าหมายอื่นๆ ของแผนของการพัฒนาที่ยั่งยืนไว้ด้วยเช่นกัน
มร. โยชิทาเกะ วาคากุวะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยูนิโคล่ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า
“ในฐานะหนึ่งในบริษัทเครื่องแต่งกายชั้นนำระดับโลก ยูนิโคล่ให้ความสำคัญกับผู้คน สังคม และโลก ในฐานะ Global Citizen ที่ดี ทั้งในระดับโลกและระดับท้องถิ่น ยูนิโคล่ (ประเทศไทย) มุ่งมั่นที่จะตอบสนองสังคมระดับท้องถิ่น เราจึงได้วางเป้าหมายระยะกลางของยูนิโคล่ (ประเทศไทย) ตั้งแต่ปี 2566 – 2568 เพื่อผลักดันให้ความคิดริเริ่มต่างๆ ของเราเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้”
โดยเป้าหมายระยะกลางของยูนิโคล่ (ประเทศไทย) ตั้งแต่ปี 2566 – 2568 นั้น คือการมุ่งสู่การเป็น “บริษัทร่วมทุนที่ยั่งยืนที่สุดในประเทศไทย” โดยเน้นใน 3 เป้าหมายตามแผนพัฒนาอย่างยั่งยืนของสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UNGA) ได้แก่
เป้าหมายที่ 3 – ส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีสำหรับทุกคนในทุกวัย
เป้าหมายที่ 14 – อนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากมหาสมุทร ทะเล และทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืน และ
เป้าหมายที่ 15 - ปกป้อง ฟื้นฟู และสนับสนุนการใช้ระบบนิเวศบนบกอย่างยั่งยืน
ซึ่งที่ผ่านมายูนิโคล่ได้ดำเนินกิจกรรมเพื่อบรรลุเป้าความยั่งยืนที่วางไว้ เช่น การเปลี่ยนไปใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ทั้งร้านสาขาและสำนักงานใหญ่
ให้การช่วยเหลือฉุกเฉิน เช่น การบริจาคเสื้อผ้าและของใช้สำหรับเหตุการณ์น้ำท่วมที่จังหวัดอุบล ในปี 2565
สนับสนุนกิจกรรมการแข่งขันการเก็บขยะ SPOGOMI World Cup รวมถึงโครงการ UNIQLO Recycling Clothes Donation ภายใต้แคมเปญ RE.UNIQLO ในการส่งต่อเสื้อผ้าใช้แล้วที่ยังอยู่ในสภาพดีให้แก่ผู้ที่ต้องการ
โดยนับตั้งแต่เริ่มโครงการ UNIQLO Recycling Clothes Donation ในปี 2558 ปัจจุบัน ยูนิโคล่ (ประเทศไทย) ได้ส่งต่อเสื้อผ้าที่ได้รวบรวมจากลูกค้าทั่วประเทศมากกว่า 194,273 ชิ้น ให้กับองค์กรพันธมิตรต่างๆ ในระดับท้องถิ่น
สำหรับปีนี้ยูนิโคล่สานต่อโครงการดังกล่าว ด้วยการจัดกิจกรรมรับบริจาคและส่งต่อเสื้อกันหนาวจำนวน 50,000 ชิ้น เพื่อมอบให้กับผู้ประสบภัยหนาวจาก 3 องค์กร อย่างมูลนิธิกระจกเงา มูลนิธิบ้านร่มไทร และ UNHCR ที่จะเป็นตัวแทนส่งมอบเสื้อหนาวที่ได้รับการบริจาคจากยูนิโคล่ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2566 – กุมภาพันธ์ 2567
โดยดึง ญาญ่า – อุรัสยา แบรนด์พรีเซนเตอร์ของยูนิโคล่มาร่วมโปรโมตแคมเปญ ซึ่งถือว่าเป็นเป้าหมายที่ท้าทายไม่น้อยเลย เพราะที่ผ่านมาสามารถเก็บรวบรวมได้เพียงหลักพันชิ้นเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น ยูนิโคล่ (ประเทศไทย) ยังได้เปิดตัว RE.UNIQLO STUDIO เป็นครั้งแรกในประเทศไทย ภายใต้คอนเซปต์ Repair / Remake / Reuse / Recycle
เพื่อเป็นการนำเสื้อผ้าเดิมกลับมาซ่อมแซมและสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ เพื่อต่ออายุการใช้งาน และนำไอเทมโปรดกลับมาใช้หมุนเวียนอีกครั้ง
โดย RE.UNIQLO STUDIO จะเปิดให้บริการที่ร้านยูนิโคล่ เซ็นทรัลเวิลด์ เป็นสาขาแรกในประเทศไทย และเป็นสาขาที่ 3 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากมาเลเซีย และสิงคโปร์
ที่น่าสนใจคือมีการนำเทคนิคการตัดเย็บด้วยมือแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น หรือที่เรียกว่า Sashiko มาให้บริการอีกด้วย
และถ้ากระแสการตอบรับเป็นไปด้วยดี ในอนาคตเราอาจจะได้เห็น RE.UNIQLO STUDIO เกิดขึ้นในสาขาอื่นๆ ของ ยูนิโคล่ (ประเทศไทย) ด้วยเช่นกัน